“คุณแม่ แม่ต้องเชื่อใจฉิงฉิง ตอนนี้ทำตามที่ฉิงฉิงบอกก่อน ใครก็อย่าแทรกมือเข้ามาในเรื่องของเมืองไห่ คุณแม่ แม่รออยู่ที่บ้านอย่างเงียบสงบก่อน ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น อะไรก็ไม่ต้องทำ จำไว้ อะไรก็ไม่ต้องทำ” ถึงแม้ถังหลิน
ตอนนี้ตระกูลถังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
เฟิ่งเหมียวเหมียวในขณะนี้เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ว่าถังหลินกับเวินลั่วฉิงพูดแบบนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นห่วง ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อีกอย่างตอนนี้ลูกชายกำลังออกคำสั่งกับเธอ เธอจำเป็นต้องฟัง
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับถังหยุนเฉิง เธอไม่มีวิธีอะไรเลย ตอนนี้เธอทำได้แต่เชื่อฟังลูกชาย ได้แต่เชื่อฟังฉิงฉิง
เป็นเหมือนกับที่เวินลั่วฉิงคิดไว้เลย จากที่ถังหยุนเฉิงออกตากหมู่บ้านยู่สุ่ย แล้วกลับไปยังเมืองไห่ ก็ถูกนักข่าวล้อมรอบเลย
ในตอนที่ถังหยุนเฉิงเห็นเรื่องราวพวกนั้นที่เกี่ยวกับเขา เขามีความตกใจจริงๆ แต่ว่าในตอนที่เขาเผชิญหน้ากับนักข่าว สีหน้าปกติมาก ยังมีความเงียบสงบเหมือนเดิม มั่นคงเอาเรื่อง
ถังหยุนเฉิงได้พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อวานอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมถึงเรื่องของดินถล่ม เขาถูกกันไว้ รวมถึงว่าเรื่องที่เขาช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างไร แน่นอนว่า รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เขาพาเด็กผู้หญิงไปพักที่ชุมชนเล็ก และเรื่องที่ตอนสุดท้ายเด็กผู้หญิงถูกพ่อของเธอพาตัวไป
ถังหยุนเฉิงอธิบายได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ และไม่มีการปกปิดใดๆ ความมั่นคงเอาเรื่องนี้ทำให้นักข่าวหลายๆ คนไม่กล้าสบตากับเขาเลย
ถังหยุนเฉิงแค่พูดอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อคืน เรื่องอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ถึงขั้นไม่ได้พูดเลยว่าตัวเองถูกใส่ร้าย
เพราะว่ามีคำพูดของเด็กผู้หญิงเข้ามาก่อน การอธิบายของถังหยุนเฉิง จึงไม่ได้รับการเชื่อถือมากนัก แต่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่ด่าทอถังหยุนเฉิงก็เริ่มกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงแม้ว่าจะมีหน้าจอคั่นอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นใครก็ตาม
แต่ว่าพอนึกถึงแววตาที่แหลมคมของถังหยุนเฉิงแล้ว คำพูดที่เกินไปมากมายก็ไม่กล้าพูดออกมาแล้ว
ต่อมา ถังหยุนเฉิงก็ไม่ได้ออกหน้าพูดอะไรอีก แม้กระทั่งนักข่าวที่อยู่ข้างกายของเขาเสี่ยวอู๋ที่ถูกนักข่าวกันไว้ก็ไม่ได้อธิบายให้หัวหน้าของตัวเอง
เสี่ยวอู๋มองดูกล้องด้วยความเฉยชา ไม่ว่านักข่าวจะถามอย่างบีบบังคับยังไง ก็ไม่พูดออกมาสักคำ ความเฉยชาทำให้ผู้คนรู้สึกเงียบสงบ ไม่อยากแยแส ราวกับว่าคนที่เกิดเรื่องไม่ใช่หัวหน้าของเขา
ส่วนคนในตระกูลถังก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่เพียงแต่คนในตระกูลถังไม่มีการเคลื่อนไหว ขอแค่คนที่มีความเกี่ยวข้องกับถังหยุนเฉิงต่างก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าคนที่เกิดเรื่องขึ้นคือถังหยุนเฉิงตัวปลอม
ถึงขั้นมีคนเผยออกมาว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลถังตอนแรกนั้นอยู่ที่เมืองไห่ แต่ว่าเช้าวันนี้กลับมาที่เมืองAเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรื่องนี้ทำให้มีการพูดถึงขึ้นมากมาย ใครก็คิดไม่ออกว่านี่เกิดอะไรขึ้น
เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้กับถังหยุนเฉิง ตระกูลถังกลับ……
มีคนพูดถึง มีคนคาดเดา แน่นอนว่าก็มีคนเริ่มกังวล…..
ตามการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนจากถังหยุนเฉิงแล้ว นักข่าวก็ไปหาชุมชนเล็กที่พักนั้นเจอ และเจอเจ้าของที่พักชุมชนเล็ก
“เมื่อคืนประมาณเที่ยงคืน เขาได้อุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมา ตอนนั้นทั้งตัวของเด็กผู้หญิงเต็มไปด้วยขี้ดิน เขาให้ฉันช่วยหาเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้เด็กผู้หญิง ให้ฉันช่วยเด็กผู้หญิงอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนเสื้อให้เด็กผู้หญิง” หญิงสาวเผชิญหน้ากับนักข่าวที่ล้อมรอบมากมายมีความตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ว่าก็พูดได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่หญิงสาวพูดคือความจริงทั้งหมด ไม่มีเรื่องเท็จแม้แต่น้อย
“ตอนที่ฉันช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นอาบน้ำ เด็กผู้หญิงก็ตื่นแล้ว แต่ว่าหลังจากที่ฉันเปลี่ยนเสื้อให้เด็กผู้หญิงเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกไปแล้ว”
“งั้นความหมายของเธอก็คือ ตอนนั้นมีเพียงเด็กผู้หญิงและเขาอยู่ในห้องสองต่อสอง” มีนักข่าวคนหนึ่งจับจุดนี้ของข้อความไว้ได้
“ใช่” ผู้หญิงคิดไปคิดมา จากนั้นก็ค่อยๆ พยักหน้า “ตอนนั้นเขาบอกว่าให้คนไปซื้อยาให้เด็กผู้หญิงแล้ว น่าจะมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย”
“แล้วคนอื่นๆ กลับมาเมื่อไหร่? เขาและเด็กผู้หญิงอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสองนานเท่าไหร่?” นักข่าวมักชอบจับจุดสำคัญไว้ได้ ดังนั้นคำถามที่ถามก็มักจำเป็นคำถามที่สำคัญ
“ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย เพราะว่าง่วงมาก พอฉันกลับไปที่ห้องก็หลับแล้ว จากนั้นก็ตื่นเพราะเสียงดัง ประมาณตีสอง ตอนนั้นมีคนไม่กี่คนพุ่งเข้ามา หนึ่งในนั้นบอกว่าเป็นพ่อของเด็กผู้หญิง จะมาเด็กผู้หญิงไป” หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ากำลังนึกถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่ “ตอนนั้นตอนที่คุณพ่อของเด็กผู้หญิงจะมาเด็กผู้หญิงไป พวกเขาได้พบเจอกับคนที่นำยากลับมา”
“งั้นก็แสดงว่า คนที่นำยากลับมานั้นกลับมาประมาณตีสอง? และเวลาสองชั่วโมงนี้ เด็กผู้หญิงก็อยู่ในห้องกับเขาสองต่อสอง?” นักข่าวคนหนึ่งได้รับบทสรุปออกมาเลย
“ตอนนั้นฉันหลับไปงีบหนึ่ง หลักๆ แล้วไม่ค่อยชัดเจน” หญิงสาวตื่นเต้นมาก แต่ว่าพูดอย่างยืนหยัด สิ่งที่ไม่รู้ก็ไม่พูดไปมั่ว
“ระหว่างนั้นเธอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวไหม?” นักข่าวคนหนึ่งรีบถามไปประโยคหนึ่ง คำถามนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว
“ไม่มี ฉันหลับสนิทมาก คืนนั้นดึกมากแล้ว พอกลับถึงห้องฉันก็หลับแล้ว” หญิงสาวส่ายหน้า ตอบอย่างธรรมชาติ
“ฉันไม่เห็น” หญิงสาวคิดไปคิดมา ส่ายหัวอีกครั้ง
“ไม่เห็น? บนร่างกายของเด็กผู้หญิงมีแผลที่หนักมาก ตอนนั้นเธอไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย?” คนที่ถามประโยคนี้ถึงแม้ว่าจะมีความไม่ค่อยอยากจะเชื่อ รู้สึกว่าหญิงสาวกำลังพูดโกหก หรืออาจจะเพราะกำลังปกป้องถังหยุนเฉิง “เธออย่ากลัว พูดความจริงออกมาเลย”
“ฉันไม่เห็นจริงๆ เสื้อผ้าที่ฉันหามาให้เด็กผู้หญิงค่อนข้างใหญ่ ใส่อยู่บนตัวแล้วปกปิดดีดีมาก บนร่างกายของเธอไม่แผล ตอนนั้นใครก็มองไม่เห็น” หญิงสาวมองไปทางนักข่าวคนนั้น “ตอนนั้นเด็กผู้หญิงถูกคุณพ่อของเธออุ้มไว้ แล้วคุณพ่อของเขาเห็นแผลบนร่างกายของเด็กผู้หญิงหรือเปล่า”
ประโยคหนึ่งของผู้หญิง ทำเอานักข่าวงงกันไปหมด
หญิงสาวพูดประโยคนี้อย่างเป็นธรรมชาติ ฟังแล้วเหมือนเป็นคำถามปกติ แต่ว่าฟังแล้วเหมือนเป็นคำพูดธรรมดา กลับมีคำถามมากมายแฝงอยู่
คำพูดนี้เหมือนจะปกติ แต่กลับดูมีพื้นฐานมาก
เวินลั่วฉิงในขณะนี้กำลังดูถ่ายทอดสดในห้อง ริมฝีปากของเธอค่อยๆ โค้งขึ้น รอยยิ้มค่อยๆ โค้งขึ้น
จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เวินลั่วฉิงหันไปมองหนึ่งที แววตาเปล่งปลั่ง แล้วรีบรับขึ้นมา
“เห็นรายการถ่ายทอดสดหรือยัง?” ในโทรศัพท์มีเสียงดังผ่านมา มีน้ำเสียงที่ประสมความสำเร็จอยู่!!!
“เห็นแล้ว” น้ำเสียงของเวินลั่วฉิงในขณะนี้ดูผ่อนคลาย หลักการทำงานของเธอ ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ต้องหาคนที่ชำนาญ คนที่ชำนาญมาแก้ปัญหาจึงจะทำให้วางใจได้!!