ในงานแถลงข่าวสายตาของเย่ซือเฉินกวาดมองนักข่าว ฟังสิ่งที่ทุกคนพูด แววตาของเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนที่พวกนั้นพูดไม่ใช่เขา
เย่ซือเฉินกลอกตา หันไปมองกล้อง จากนั้นพูดขึ้นช้าๆอีกครั้ง:“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องแถลง”
เสียงของเย่ซือเฉินไม่ดังมาก แต่ว่าทันทีที่เย่ซือเฉินพูด ทั่วทั้งงานแถลงก็เงียบลง เมื่อครู่ที่กำลังพูดคุยกัน และนักข่าวที่ถามคำถามเย่ซือเฉินเงียบเสียงลงทันที
สายตาคู่นั้นของเย่ซือเฉินกวาดมองนักข่าวแต่ละคน ไม่ได้พูดอธิบาย แต่ยื่นมือออกไป ยื่นไปทางเลขาหลิว
เลขาหลิวรอคอยมาโดยตลอด รอจนเริ่มร้อนใจแล้ว เห็นท่านประธานยื่นมือมา เขาก็เข้าความหมายของท่านประธานทันที
เลขาหลิวหยิบสัญญาทั้งหมดที่เมื่อกี้ดำเนินการออกมาทันที แล้วยื่นไปให้เย่ซือเฉิน
เย่ซือเฉินเปิดสัญญา จากนั้นยื่นไปตรงหน้ากล้อง เพราะอยู่ใกล้มาก ดังนั้นจึงหน้ากล้องจึงเห็นตัวหนังสือในสัญญาชัดเจน
เย่ซือเฉินไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย แต่ให้ทุกคนดูเอาเอง เขารู้เรื่องที่นักข่าวพวกนี้อยากจะรู้ เขาไม่จำเป็นต้องพูด พวกเขาดูด้วยความชัดเจนเองได้ จากนั้นก็สามารถรายงานข่าวอย่างชัดเจน
เวลานี้มีเพียงกล้องของไม่กี่สำนักที่เบียดอยู่ด้านหน้าเท่านั้นถึงจะเห็นชัด สื่อสำนักอื่นๆอยากจะเบียดเข้ามาแทบตาย โดยเฉพาะนักข่าวที่เมื่อกี้ถามคำถามเย่ซือเฉินก็ฮึดสุดแรง แต่ว่า นักข่าวของแต่ละสื่อที่อยู่ด้านหน้าไม่มีวันยอมให้พวกเขาสมปรารถนา เบียดพวกเขาออกไปด้านนอก
เย่ซือเฉินถือสัญญาเอาไว้ เห็นทุกคนอ่านด้านหน้าใกล้จบแล้ว จึงพลิกแผ่นหลังต่อ
แน่นอน เพราะสัญญาที่เย่ซือเฉินถือไว้นั้นหันไปหากล้อง ดังนั้นจึงเห็นอย่างชัดเจนผ่านถ่ายทอดสด
นักข่าวสำนักอื่นๆที่เบียดเข้ามาไม่ได้จึงทำได้เพียงอ่านเนื้อหาของเอกสารผ่านถ่ายทอดสด
“นี่คือการโอนย้ายหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปเหรอ?”
“คุณชายสามเย่ให้พวกเราดูสัญญาการโอนย้ายหุ้นทำไม? เรื่องที่คุณปู่เย่โอนหุ้นบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปให้เขาทุกคนต่างรู้ดี ยังต้องดูด้วยเหรอ?”
“นายดูดีๆสิ เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ”
“มีอะไรผิดปกติ?”
“เหมือนไม่ได้โอนให้คุณชายสามเย่ เหมือนโอนให้คุณปู่เย่”
“โอนให้คุณปู่เย่? เป็นไปได้ยังไง? หรือว่าคุณชายสามเย่โอนหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปให้กับคุณปู่เย่แล้ว บริษัทตระกูลเย่กรุ้ปมีหุ้นมากมายขนาดนั้น ต้องเป็นเม็ดเงินมูลค่าเท่าไหร่ บนโลกใบนี้มีคนโง่ขนาดนี้ด้วยเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกี้คุณชายสามเย่บอกว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลเย่ ถ้าหากคุณชายสามเย่โอนหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปคืนให้กับคุณปู่เย่ ถ้าอย่างนั้นคุณชายสามเย่ก็ไม่มีอะไรแล้ว”
“ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่สัญญาเขียนเอาไว้ว่าโอนให้คุณปู่เย่จริงๆ นายดูให้ละเอียดสิ” เวลานี้เย่ซือเฉินพลิกหน้าสัญญาจนหมดแล้ว ทุกคนอ่านจนจบแล้ว ดังนั้นคือสัญญาอะไรกันแน่ทุกคนย่อมต้องอ่านอย่างชัดเจนแล้ว”
“ให้ตายสิ คุณชายสามเย่บ้าไปแล้วรึเปล่า ธุรกิจประจำตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่เอา? เป็นไปได้ยังไง?”
เวลานี้ ภายในห้องโถงของตระกูลเย่ คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ดูถ่ายทอดสดตลอดเวลา ดังนั้นจึงเห็นสัญญาแล้ว พวกเขาอ่านเนื้อความในสัญญาอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งสองตกตะลึง ชั่วขณะหนึ่งถึงขั้นลืมไหวตัว พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเย่ซือเฉินจะทำแบบนี้
ธุรกิจประจำตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ เย่ซือเฉินกลับบอกว่าไม่เอาเนี่ยนะ?
“ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะอ่านสัญญากันจบแล้ว หุ้นที่ก่อนหน้านี้คุณปู่เย่โอนให้ผม และหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ที่ผมมีอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ผมโอนให้คุณปู่เย่ทั้งหมด ไม่เหลือเอาไว้แม้แต่น้อย”เย่ซือเฉินเห็นทุกคนอ่านจบแล้ว จึงเก็บสัญญา แล้วพูดอธิบาย
เขาพูดอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่โอนคืนหุ้นที่ก่อนหน้านี้คุณปู่เย่โอนให้เขา แม้แต่หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของเขาที่มีอยู่แล้วก็โอนคืนให้คุณปู่เย่
เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในงานแถลงข่าวต่างตะลึงงัน คนๆนี้บ้าไปแล้ว บริษัทตระกูลเย่กรุ้ปเป็นบริษัที่ใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ หุ้นที่เย่ซือเฉินพูดเมื่อกี้เมื่อเอามารวมกันแล้วมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เย่ซือเฉินไม่เอาซะอย่างนี้เลยเนี่ยนะ?
“มันคิดจะทำอะไร? มันหมายความว่าอะไร? มันกำลังข่มขู่ผมเหรอ?” ในที่สุดคุณปู่เย่ก็ดึงสติกลับมา ชั่วขณะหนึ่งโมโหจนเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา ร้องตะโกน ด่าทอเย่ซือเฉิน แต่ว่าเวเลานี้สิ่งที่มีมากกว่าความโมโหของคุณปู่เย่กลับกลายเป็นความกังวล เย่ซือเฉินโอนหุ้นทั้งหมดที่มีให้เขา?
เย่ซือเฉินทำเด็ดขาดขนาดนี้ หมายความว่าอะไร?
“เด็กคนนี้ทำแบบนี้ได้ยังไง? เขาทำให้พวกเราเสียใจขนาดนี้ได้ยังไง?” คุณย่าเย่ขดตัวอยู่บนโซฟา มองดูแล้วสีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ไม่มีความนิ่งงันและได้ใจเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว
ภายในใจของคุณย่าเย่รู้ดี สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถใช้ในการข่มขู่เย่ซือเฉินได้คือหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปตอนนี้เย่ซือเฉินไม่ต้องการหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเขาจะควบคุมเย่ซือเฉินต่อไปได้ยังไง?
“เกินไปแล้วจริงๆ มันตั้งใจทำให้ผมโมโห” คุณปู่เย่ตะคอกด่าด้วยความโมโห เพียงแต่เสียงโมโหนั้นเพราะมีความกังวลปนอยู่ด้วย จึงดูไม่มีพลังอย่างชัดเจน สิ่งที่คุณย่าเย่คิดได้คุณปู่เย่ก็ต้องคิดได้เหมือนกัน เขาเองก็รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เย่ซือเฉินยอมทิ้งบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปเขาก็ไม่สามารถควบคุมเย่ซือเฉินได้แล้ว
“ผมไม่เชื่อว่ามันจะไม่เอาบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปจริงๆ ต่อให้มันมีธุรกิจเป็นของตนเอง แต่ว่าบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่เอา มันทำให้พวกเราดูแน่ๆ คิดอยากจะข่มขู่พวกเราแน่นอน” ถึงตอนนี้แล้ว คุณปู่เย่ยังคงคิดว่าเย่ซือเฉินกำลังทำให้เขาตกใจเท่านั้น กำลังข่มขู่เขา
เห็นได้ชัด คุณปู่เย่ไม่รู้จักเย่ซือเฉินแม้แต่น้อย
“คราวที่แล้วคุณบอกว่าคุณสืบรู้ว่าซือเฉินมีธุรกิจเป็นของตนเอง เขามีธุรกิจอะไรเป็นของตนเองบ้าง?” คิ้วของคุณย่าเย่ขมวดเล็กน้อย เริ่มวางแผน ความหมายของคุณย่าเย่ที่ถามคำถามนี้ชัดเจนมาก เธออยากจะช่งน้ำหนักดูว่าธุรกิจของเย่ซือเฉินใหญ่พอที่จะทิ้งบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปหรือไม่?
“มีไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก ผมเห็นมันมีธุรกิจอยู่หลายที่ แต่ว่ามีเท่านั้นผมเองก็ไม่รู้รายละเอียด อีกทั้งกำไรขาดทุนเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ เหมือนว่าจะทำเงินไม่มาก” เวลานี้คิ้วของคุณปู่เย่ก็ขมวดเป็นปม หลังจากเวินลั่วฉิงเตือนเขาเมื่อคราวก่อน เขาให้คนไปสืบธุรกิจของเย่ซือเฉิน สืบได้ไม่น้อย แต่ว่ารายละเอียดเป็นยังไงเขาไม่รู้
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เขารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะใหญ่กว่าบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเงินได้มากกว่าบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปแน่นอน ที่คุณปู่เย่คิดแบบนี้ หนึ่งเป็นเพราะไม่เข้าใจธุรกิจพวกนั้นของเย่ซือเฉิน ไม่เข้าใจกำไรของธุรกิจพวกนั้น สองเป็นเพราะตอนนั้นมู่หรงดัวหยางเอาหนึ่งในธุรกิจส่วนน้อยของเย่ซือเฉินให้คุณปู่เย่ดูเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นธุรกิจส่วนที่ดูแล้วไม่ทำงานที่สุด
เหตุที่มู่หรงดัวหยางทำแบบนี้ หนึ่งเป็นเพราะคุณปู่เย่ใช้เวลาสั้นแค่นั้นถ้าสืบได้เยอะเกินไปต้องสงสัยอย่างแน่นอน สองเป็นเพราะตอนนั้นมู่หรงดัวหยางเข้าใจคุณปู่เย่บ้างแล้ว รู้ว่าคุณปู่เย่คนนี้ใจคด
มู่หรงดัวหยางกลัวว่าคุณปู่เย่จะใช้ชื่อของตระกูลเย่ฮุบธุรกิจพวกนั้นของเย่ซือเฉิน ไม่พูดไม่ได้จริงๆว่าสิ่งที่มู่หรงดัวหยางเป็นกังวลนั้นมีหลักการ
ตอนนั้นคิดว่า ต่อให้ต้องแบ่งทรัพย์สินของเย่ซือเฉิน ฉิงฉิงของเขาควรจะมีสิทธิ์มากกว่า
ตอนนั้น ถ้าหากคุรปู่เย่รู้ธุรกิจทั้งหมดของเย่ซือเฉิน รู้ว่าเย่ซือเฉินหาเงินได้มากขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะบีบให้เย่ซือเฉินยกธุรกิจพวกนั้นให้กับบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปก็ได้
ความเป็นจริงแม้ว่ามู่หรงดัวหยางจะเอาแค่ธุรกิจส่วนน้อยที่ดูแล้วไม่ทำเงินที่สุดให้คุณปู่เย่ คุณปู่เย่เองก็มีความคิดที่จะฮุบธุรกิจเหล่านั้นรวมเข้ากับบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปไม่อย่างนั้นตอนนั้นเป็นไปไม่ได้ที่คุณปู่เย่จะโอนหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปให้เย่ซือเฉินเร็วขนาดนั้น
ตอนนั้นคุณปู่เย่คิดว่า เขาโอนหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปให้เย่ซือเฉิน บริษัทตระกูลเย่กรุ้ปก็คือของเย่ซือเฉิน ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้น เย่ซือเฉินต้องเอาธุรกิจพวกนั้นของตนรวมเข้ากับบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปถึงเวลานั้นบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปก็จะยิ่งใหญ่
“ธุรกิจของซือเฉินสามารถเทียบกับบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปได้ไหมคะ?” คุณย่าเย่าถามต่อ
“ไม่ ไม่มีทาง ธุรกิจพวกนั้นของเขามองดูแล้วมีไม่น้อย แต่ว่ากระจัดกระจายเกินไป ไม่สามารถยิ่งใหญ่อะไรได้ อีกทั้งดูแล้วทำเงินไม่มาก ไม่มีทางใหญ่กว่าบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปและไม่มีวันทำกำไรได้เท่าบริษัทตระกูลเย่กรุ้ป” คุณปู่เย่แทบไม่ได้คิด ก็ให้คำตอบทันที แน่นอน ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้มู่หรงดัวหยาง จึงทำให้คุณปู่เย่เข้าใจผิดแบบนี้ ไม่พูดไม่ได้จริงๆสิ่งที่มู่หรงตัวหยางคิดในตอนนั้นไม่ผิดเลยจริงๆ