ทว่าหากคุณปู่เย่เกิดอะไรขึ้นเพราะเขาจริงๆ เย่ซือเฉินจะไม่สบายใจแน่นอน ไม่ว่ายังไง นั่นก็เป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกับเขา คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ไม่นึกถึงความเป็นญาติ ทว่าตลอดหลายปีมานี้เย่ซือเฉินก็ยังนึกคิดถึงความเป็นญาติมาโดยตลอด
หากไม่ใช่เพราะคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ทำให้เรื่องเลยเถิดเกินไป วันนี้เย่ซือเฉินไม่มีทางเปิดงานแถลงข่าวตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเย่แน่นอน
ตอนนี้รู้แล้วว่าคุณปู่เย่แกล้งป่วย เย่ซือเฉินก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองแล้ว!!
“ฉิงฉิงพูดถูก ที่สำคัญคือซือเฉิน ซือเฉินพึ่งเปิดงานแถลงข่าวตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเย่ ในใจต้องรู้สึกแย่แน่นอน หากคุณปู่เย่ป่วยเพราะเขาจริงๆ ในใจของซือเฉินต้องรู้สึกผิดแน่นอน” ท่านปู่ถังเห็นด้วยกับการพูดของเวินลั่วฉิง
“งั้นก็ทำให้ซือเฉินโดนด่าฟรีๆเลยสิ? ทำไมคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ถึงโหดร้ายขนาดนี้เนี่ย? ซือเฉินเป็นหลานแท้ๆของพวกเขาเลยนะ พวกเขาทำร้ายซือเฉินขนาดนี้ได้ไง?” ท่านย่าถังอดถอนหายใจไม่ได้ ความโกรธยังไม่หายไป รู้สึกสงสารแทนเย่ซือเฉิน
“เจ้าเด็กนี่ก็ช่างน่าสงสารจริงๆ พบเจอกับครอบครัวแบบนี้ คุณปู่คุณย่าสามารถทำออกมาได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ ส่วนพ่อก็ไม่สนใจเขาเลย ส่วนแม่ก็……” ท่านย่าถังถอนหายใจอีกครั้ง “เปลี่ยนเป็นใคร ใครก็ทนไม่ไหว เจ้าเด็กนี่กลับเข้มแข็งยืนหยัดมาก อยู่ในครอบครัวแบบนี้ยังใจสู้ขนาดนี้ มีอนาคตขนาดนี้ พัฒนาบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปได้เจริญขนาดนี้”
คำพูดของคุณย่าถังหยุดชะงักไปสักพัก จู่ๆก็นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา ท่านย่าถังรีบหันไปทางเวินลั่วฉิง “ก่อนหน้านี้ที่ซือเฉินเปิดงานแถลงข่าวว่าจะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเย่ เขาได้โอนย้ายหุ้นส่วนของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปกลับไปให้คุณปู่เย่แล้ว อีกอย่างซือเฉินก็ไม่เอาเงินของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปแม้แต่บาทเดียว งั้นซือเฉินก็ตกงานแล้วใช่ไหม?”
เวินลั่วฉิงได้ยินคำพูดของท่านย่าถังแล้วตะลึงงันไปเลย เย่ซือเฉินไม่สนใจบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปก็แสดงว่าตกงานแล้ว?
ธุรกิจตัวเองของเย่ซือเฉินนั้นมีเป็นหลายเท่าของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปเลย
แน่นอนว่าธุรกิจพวกนั้นของเย่ซือเฉินคนทั่วไปจะไม่รู้ หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะรุ่นพี่บอกเขา มู่หรงดัวหยางไปสืบ เกรงว่าป่านี้เธอก็คงยังไม่รู้
เพราะว่าเวินลั่วฉิงตะลึงงันไปกะทันหัน ดังนั้นจึงไม่ได้ตอบคำถามของท่านย่าถัง
“ฉิงฉิง ฉันจะบอกให้นะ เธอห้ามรังเกียจซือเฉินเพราะเหตุผลนี้นะ ยัยเด็กนั่นมีอนาคต มีความสามารถ มีเสน่ห์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปแล้ว เขาก็จะพัฒนาได้ดีแน่นอน” ท่านย่าถังเห็นเวินลั่วฉิงไม่พูดอะไร ท่านย่าถังกลัวว่าเวินลั่วฉิงจะคิดมาก จึงเริ่มพูดโน้มน้าวเวินลั่วฉิง
เวินลั่วฉิงยักคิ้ว อดไม่ไหวหัวเราะออกมา เธอรังเกียจเย่ซือเฉิน?
“เธอหัวเราะอะไร? เธอต้องจำคำพูดของฉันเอาไว้ เมื่อยากลำบากจะพบเจอรักแท้ เวลานี้เธอห้ามรังเกียจเย่ซือเฉินเด็ดขาด ต้องทำดีกับเย่ซือเฉินนะ” ท่านย่าถังเห็นสภาพของเวินลั่วฉิงแล้วรู้สึกไม่วางใจมาก
“โอเคค่ะ” เวินลั่วฉิงพยักหน้าตอบกลับ เธอรู้สึกว่าท่านย่าถังน่ารักมากจริงๆ
“ก่อนหน้านี้เธอก็ได้ยินสิ่งที่ซือเฉินพูดแล้ว เขาได้โอนหุ้นส่วนให้คุณปู่เย่ทั้งหมดแล้ว เขายังไม่เอาเงินสักบาทจากบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปด้วย งั้นตอนนี้ซือเฉินก็หมดตัวแล้ว” ท่านย่าถังอดส่ายหัวไม่ได้ “ตัดความสัมพันธ์กับคนในบ้านแล้ว ตอนนี้ก็หมดตัวอีก”
เวินลั่วฉิงสำลักน้ำลายของตัวเองเลย “……”
เมื่อกี้เธอได้ยินว่าอะไรนะ?
เย่ซือเฉินหมดตัว?
หากเย่ซือเฉินเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าหมดแล้ว?!
งั้นเวินลั่วฉิงไม่รู้เลยจริงๆว่าควรพูดยังไงแล้ว!
“ฉิงฉิง ตอนนี้ซือเฉินไม่มีบ้านแล้ว ยังหมดตัวอีก บ้านถังของเราก็คือบ้านของเขา ต่อจากนี้เธอก็ให้เขามาอยู่บ้านถังเถอะ ยายมีเงิน ยายให้เงินเขาเอง” ท่านย่าถังอาจจะกลัวว่าคำพูดนี้จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จึงพูดเสริมอีกประโยคว่า “ยายให้เงินเขา ให้เขากลับไปสร้างธุรกิจใหม่”
ถึงแม้เวินลั่วฉิงฟังแล้วอยากจะหัวเราะ ทว่าในใจกลับซึ้งใจมาก แน่นอนเวินลั่วฉิงรู้ว่าท่านย่าถังทำแบบนี้ต่างก็เพื่อเธอ
แต่ว่า ท่านย่าถังกับท่านปู่ถังน่ารักมากจริงๆ หากเป็นผู้ปกครองบ้านอื่นพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว ต้องพูดโน้มน้าวให้เธอคิดพิจารณาดีๆ ไม่ว่ายังไงแล้วตอนนี้ในสายตาของท่านย่าถังเย่ซือเฉินไม่มีบ้านแล้ว ยังหมดตัวอีกด้วย
ทว่าท่านย่าถังกลับให้เธอประสบความยากลำบากพร้อมกับเย่ซือเฉิน นิสัยความคิดแบบนี้ต่างหากที่พบได้ยาก
“ท่าย่าถังจะให้เงินผมไปสร้างธุรกิจใหม่? ไม่รู้ว่าท่านย่าถังเตรียมเงินไว้ให้ผมเท่าไหร่ครับเนี่ย?” เย่ซือเฉินที่ ‘หมดตัว’ เดินเข้ามาในห้องรับแขกแล้วได้ยินประโยคนี้ของท่านย่าถังพอดี มองดูความอ่อนโยนบนใบหน้าของเวินลั่วฉิง ทันใดนั้นเย่ซือเฉินรู้สึกว่าความหนักแน่นในเมื่อกี้หายไปหมด อารมณ์ก็ดีขึ้นแล้ว
เรื่องที่คุณปู่เย่ ‘สลบ’ แล้วเรียกรถพยาบาลแน่นอนว่าเย่ซือเฉินรู้อยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงแล้วเรื่องนั้นก็ใหญ่โตบานปลายขนาดนี้ เขาจะไม่รู้ได้ยังไง
เย่ซือเฉินรู้จักคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ดีเกินไปแล้ว ดังนั้นเขามองแวบแรกก็มองออกแล้วว่าคุณปู่เย่แกล้งป่วย สิ่งที่เวินลั่วฉิงสังเกตเกตเห็นก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเย่ซือเฉินเองก็เห็นแล้ว อีกอย่างเย่ซือเฉินยังเห็นรายละเอียดบางอย่างที่เวินลั่วฉิงไม่เห็น ไม่ว่ายังไงบ้านเย่ก็เป็นบ้านที่เขาอยู่มาเกือบสามสิบปี เขาเข้าใจสถานการณ์บ้านของตระกูลเย่มากจริงๆ เขาเองก็รู้ดีในพฤติกรรมบางอย่างของคุณปู่เย่
ดังนั้นหลังจากที่เย่ซือเฉินเห็นภาพที่นักข่าวเผยออกมาแล้ว เพียงแวบแรกก็มองออกแล้วว่าคุณปู่เย่แกล้งป่วย
วินาทีนั้น เย่ซือเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ทำออกมาได้ทุกอย่างจริงๆ
เย่ซือเฉินรู้ว่าคุณปู่เย่แกล้งป่วยเพราะอยากให้เขากลับบ้านเย่แน่นอน ทว่าพวกเขาเคยคิดหรือเปล่าว่า การที่พวกเขาทำแบบนี้จะผลักดันเขาไปยังสภาพแวดล้อมแบบนั้น
เย่ซือเฉินรู้ว่าคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ต่างก็เป็นคนที่ฉลาด ดังนั้นคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ก็รู้ดีว่าผลที่ตามมาของเรื่องนี้คือยังไง พวกเขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้จะนำพาผลกระทบอะไรมาให้เขา ทว่าพวกเขาก็ยังทำแบบไหน?
หรืออาจจะพูดว่าพวกเขาตั้งใจสร้างผลกระทบแบบนั้นขึ้นมาให้เขา พวกเขาอยากให้เขาถูกตำหนิ ถึงขั้นถูกผู้คนด่า จากนั้นพวกเขาก็สามารถออกมาเป็นคนดี มา ‘ช่วย’ เขา
ทว่าเขาไม่ต้องการความ ‘ช่วยเหลือ’ ของพวกเขา ในเมื่อเขาตักความสัมพันธ์กับตระกูลเย่แล้ว งั้นก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป
แน่นอนว่าความช่วยเหลือในวิธีแบบนี้ของคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ เขาเองก็รับไม่ไหว
“นายต้องการเท่าไหร่ฉันก็ให้นายเท่านั้น หากเงินของฉันไม่พอก็ยังมีคุณปู่ถังใช่ไหมล่ะ? ถ้าไม่พอจริงๆก็ยังมีถังหลินอีก” ท่านย่าถังรู้ว่าขณะนี้เย่ซือเฉินกำลังพูดล้อเล่น ทว่าเธอจริงจังมาก เธออยากจะหยิบเงินออกมาช่วยเย่ซือเฉินสร้างธุรกิจใหม่จริงๆ
“นายก็ถือว่าย่าถังลงทุนละกัน ย่าถังเชื่อใจนายนะ” ท่านย่าถังอาจจะกลัวว่าจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของเย่ซือเฉิน จึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค
“โอเคครับ ผมจะไม่ทำให้ย่าถังผิดหวังแน่นอนครับ” เย่ซือเฉินยิ้มโค้งที่มุมปาก บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนๆ การอยู่ที่บ้านถังทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นญาติอย่างแท้จริง
“อื้ม แบบนี้แหละถูกแล้ว นายจะต้องช่วยย่าถังหาเงินเยอะๆ พอถึงเวลาฉันจึงมีอั่งเปาให้พวกนายไง” ในที่สุดความโมโหของท่านย่าถังก็หายไป ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาสักที จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนในครอบครัวปรองดองกัน
“โอเคครับ” เย่ซือเฉินพยักหน้าตอบกลับ ขณะนี้บนใบหน้าของเขาไม่มีความเย็นชาในวันปกติแล้ว มีเพียงแต่ความอ่อนโยนที่เห็นได้ยาก
“จื่อซีล่ะครับ?” เย่ซือเฉินไม่เห็นเจ้าเด็กจื่อซี นึกถึงก่อนหน้านี้ที่คุณปู่เย่ใช้จื่อซีขู่เขา เขายังไม่ค่อยวางใจ
“จื่อซีนอนอยู่บนห้อง” เวินลั่วฉิงพึ่งลงมาหลังจากที่ถังจื่อซีหลับแล้ว เย่ซือเฉินถามแบบนี้ เวินลั่วฉิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ฉันขึ้นไปดูจื่อซีนะ” เย่ซือเฉินนึกถึงเสียงตะโกนของถังจื่อซีในโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่วางใจ เขาต้องเห็นจื่อซีกับตาจึงจะวางใจ
“โอเค โอเค นายขึ้นไปเลย จื่อซีคือเจ้าความสุขของพวกเรา ถ้านายเจอจื่อซีแล้วความเจ็บปวดทั้งหมดก็จะหายไป” ท่านย่าถังพยักหน้า ไม่ได้ห้ามเย่ซือเฉินไว้เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เย่ซือเฉินและเวินลั่วฉิงขึ้นตึกไปพร้อมกัน
เย่ซือเฉินพึ่งเดินไปครึ่งทาง จู่ๆโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นกะทันหัน เบอร์โทรศัพท์นี้มีเพียงแต่คนที่สนิทกับเย่ซือเฉินมากๆจึงจะรู้ เบอร์นี้แม้กระทั่งคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ก็ไม่รู้
โทรศัพท์ที่ใช้ในวันปกติ เขาวางไว้ที่ห้องทำงานแล้ว
เย่ซือเฉินหยิบโทรศัพท์ออกมา เห็นภาพแสดงบนหน้าจอ นัยน์ตาคู่หนึ่งเปล่งประกายขึ้น จากนั้นก็รีบรับสาย “พี่ใหญ่”
คำว่าพี่ใหญ่คำนี้ของเขาก็สามารถรู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร
“เรื่องในวันนี้ฉันเห็นหมดแล้ว ไม่ว่านายจะทำอะไร ไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง พี่ใหญ่ก็สนับสนุนนาย” อีกฝั่งหนึ่งทางโทรศัพท์ น้ำเสียงของถังหลินดังผ่านมาอย่างเชื่องช้า เบาแต่กลับยืนหยัด!!