กินยา ? ได้ยินมาว่าอันตรายมาก แต่ด้วยสถานการณ์ที่เธอต้องพบเจออยู่ในขณะนี้ นี่อาจเป็นวิธีแก้ปัญหาเพียงวิธีเดียวที่มี ! !
แต่หากเธอจะต้องไปซื้อยาก็คงจะไม่สะดวกนัก
เธอไม่สามารถเดินทางไปที่โรงพยาบาลได้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะการเดินทางของเธอถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้ เธอคอยติดตามอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่มาโดยตลอด ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากองค์ชายใหญ่ ดังนั้นจึงมีหลายฝ่ายที่แอบจับตามองเธออยู่ เพื่อคอยจ้องจับผิดเธอ
ดังนั้น การเดินทางของเธอในตอนนี้ ไม่ว่าจะในที่ลับหรือในที่แจ้ง ต่างมีคนคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
เธอเกรงว่าแค่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงพยาบาลเพียงไม่กี่นาที ก็อาจเรียบเรียงออกมาได้ว่าเธอป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่นับรวมเรื่องที่ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ และต้องการได้รับยาทำแท้ง
แน่นอนว่าคลินิกเหล่านั้นก็ไปไม่ได้ เพราะหากไปที่คลินิกก็อาจถูกพบเจอเข้าเช่นเดียวกัน
ตราบใดที่เธอยังอยู่ในประเทศR เธอก็จะถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเธอควรพิจารณาเรื่องออกนอกประเทศหรือไม่ เพราะหลังจากออกนอกประเทศแล้ว เธอจะสามารถดำเนินเรื่องต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่มีแผนการที่จะเดินทางไปต่างประเทศบ้างหรือไม่ ในระยะนี้เธอมีอาการแพ้ท้องที่รุนแรงมาก จึงมักไม่ค่อยมีชีวิตชีวา อีกทั้งเธอรู้สึกว่าสมองของเธอดูเหมือนจะโง่เขลาลงไปมาก การตอบสนองก็ไม่รวดเร็วอย่างเช่นแต่ก่อน
หากเป็นเมื่อก่อน ตารางงานขององค์ชายใหญ่ในช่วงระยะเวลาครึ่งเดือน เธอจะสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ ทว่าตอนนี้ตารางงานในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่วันขององค์ชายใหญ่เธอกลับไม่รู้ด้วยซ้ำ
หลินเป้ยรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกหดหู่อย่างที่สุด ทำไมเธอช่างโชคร้ายเช่นนี้ เพียงแค่ครั้งเดียว เธอกลับตั้งครรภ์เสียแล้ว ?
อีกทั้งเวลาคนอื่นตั้งครรภ์ ก็ไม่มีอาการแพ้ท้องรุนแรงอย่างเช่นเธอ ตอนนี้เธอไม่กล้าทานอาหาร เพราะทานเข้าไปเท่าไหร่ก็อาเจียนออกมาจนหมด ทานน้อยก็อาเจียนน้อย แน่นอนว่าต่อให้ไม่ทานอะไรลงไปก็ยังอาเจียนออกมาเป็นครั้งคราว เธอรู้สึกเหมือนแทบจะอาเจียนเอาเครื่องในออกมาแล้ว
หลินเป้ยเงยหน้าขึ้น แล้วหันมองตัวเองที่อยู่ในกระจก ใบหน้าของคนที่อยู่ในกระจกซีดเผือด ไม่มีเลือดฝาดแม้สักนิด ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ดูเหมือนว่าเธอจะผอมลงไปไม่น้อย
ใบหน้าที่แต่เดิมนั้นเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งดูเล็กเข้าไปใหญ่ และทำให้ดวงตาที่สดใสของเธอ ยิ่งดูกลมโตมากยิ่งขึ้น
เพราะเมื่อครู่เธอเพิ่งทุกข์ทรมานจากการอาเจียน ตอนนี้ดวงตาของเธอจึงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ใบหน้าของเธอเปียกปอน ช่างมีสภาพที่น่าสงสารเป็นอย่างมาก
เมื่อหลินเป้ยเห็นตัวเองในสภาพเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบด่าอยู่ในใจ
นี่คือตัวเองจริง ๆ หรือ ? เธอมีสภาพเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
หากเธอออกไปในสภาพเช่นนี้ จะปลอมตัวเป็นผู้ชายได้อย่างไร ?
ก็แค่ตั้งครรภ์ไม่ใช่หรือ ? ทำไมถึงมีสภาพเช่นนี้ได้ ?
หลินเป้ยรู้ดีว่าสภาพของเธอในตอนนี้ ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนได้ ตอนนี้เธอไม่สามารถควบคุมอาการแพ้ท้องของตัวเองได้ อีกทั้งสภาพหลังจากการแพ้ท้องก็ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย
แต่ว่า ด้วยฐานะของเธอในตอนนี้ มีหลายเรื่องที่เธอไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นงานเลี้ยงเมื่อสองวันก่อน วันนั้นเธอรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง มีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง และทานอะไรไม่ลง รู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรง แต่เธอจะไม่ไปร่วมงานก็ไม่ได้
โชคยังดีที่ในงานวันนั้นเธอสามารถควบคุมตัวเองได้ และไม่แสดงความผิดปกติออกมาให้เห็น
แต่หลินเป้ยรู้ดีว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน จึงจำเป็นต้องกำจัดเด็กโดยเร็วที่สุด
แต่เธอจะกำจัดเด็กอย่างราบรื่นได้อย่างไร ? เธอจะต้องหาใครสักคนมาช่วย
มีชั่วขณะหนึ่งที่หลินเป้ยนึกถึงถังหลิน นี่ถือเป็นปัญหาที่ถังหลินก่อเอาไว้ เธอจะไปหาถังหลินเพื่อขอความช่วยเหลือได้หรือไม่ ?
เมื่อเธอนึกถึงเรื่องที่ถังหลินเคยพูดว่าจะแต่งงานกับเธอ ถ้าหากถังหลินรู้ว่าเธอตั้งท้องลูกของเขา เธอจะถูกบังคับไปจดทะเบียนสมรสหรือไม่ เมื่อหลินเป้ยนึกถึงนิสัยของถังหลิน ก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูง
ดังนั้นเธอจึงไปขอความช่วยเหลือจากถังหลินไม่ได้เด็ดขาด ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากถังหลินได้เท่านั้น อีกทั้งเรื่องนี้ก็ห้ามไม่ให้ถังหลินรู้เข้าโดยเด็ดขาด ให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด
“หลินเป้ย ลูกอยู่ในห้องน้ำกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?” มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาจากด้านนอก เป็นเสียงของคุณแม่หลิน
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้” หลินเป้ยรีบแต่งตัว แล้วเช็ดคราบน้ำตาออกจนหมด
ถึงแม้นั่นจะเป็นแม่ของเธอ แต่เรื่องที่ตั้งครรภ์ หลินเป้ยกลับยังไม่ได้บอกผู้เป็นแม่
หลินเป้ยรู้ดีว่า หากบอกแม่ไป นอกจากจะทำให้แม่รู้สึกเป็นห่วงจนร้อนใจแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก
ตอนที่หลินเป้ยเปิดประตูออกมา แม่ของเธอก็กำลังยืนอยู่หน้าประตู
“ลูกไม่สบายหรือเปล่า ? ทำไมสีหน้าของลูกถึงดูซีดเซียวเช่นนี้” แม่จ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“หนูไม่เป็นไรค่ะ” หลินเป้ยหันมองแม่ของตัวเอง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“ถ้าลูกไม่สบายก็ไปเอายามากินซะ ถ้าปล่อยไว้จะยิ่งเป็นหนักขึ้น ตอนนี้องค์ชายใหญ่เชื่อใจลูก ไปไหนก็ต้องพาลูกไปด้วย ถ้าหากเกิดความเสียหายขึ้นเพียงเพราะลูกไม่สบายคงไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่ว่าด้วยสถานการณ์ของลูกในตอนนี้ จะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก็คงไม่สะดวกนัก ถ้าหากถูกใครจับได้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่” คุณแม่หลินอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา
“หนูรู้แล้วค่ะ” จู่ ๆ หลินเป้ยก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ไม่รู้เป็นเพราะมีสามเหตุมาจากการตั้งครรภ์หรือไม่ ที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายเป็นพิเศษในช่วงนี้
“ถูกเป็นหวัดหรือเปล่า ? แม่จะไปหยิบยาแก้หวัดมาให้ลูกนะ” ดูเหมือนคุณแม่หลินจะไม่ทันสังเกตเห็นอาการหงุดหงิดของเธอ จากนั้นจึงเดินไปหยิบยาแก้หวัดมาให้
“แม่คะ ถ้าหนูไม่ได้เป็นหวัดล่ะ ? ถ้าหนูเป็นโรคอื่นล่ะ ? แม่ไม่กลัวว่าจะรักษาหนูผิดวิธีหรืออย่างไร ?” หลินเป้ยเชื่อฟังคำพูดของแม่มาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยโต้เถียงกับแม่เลยสักคำ แต่ว่าตอนนี้เมื่อเธอเห็นแม่หยิบยาแก้หวัดมาให้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงได้ตะคอกออกไปเช่นนั้น
คุณแม่หลินผงะไป เธอจ้องมองหลินเป้ย ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย และในไม่ช้าเธอก็หัวเราะออกมาเบา ๆ : “หลินเป้ยของแม่สุขภาพแข็งแรง ไม่มีทางเป็นโรคอย่างอื่นแน่นอน อย่างมากก็เป็นแค่หวัดเท่านั้น”
เมื่อหลินเป้ยได้ยินคำพูดนี้ของแม่ เธอก็นึกขำขึ้นมาทันที ร่างกายของเธอแข็งแรงอย่างนั้นหรือ ?
แม่รู้ได้อย่างไรว่าร่างกายของเธอแข็งแรง ?
หลายปีมานี้ เป็นเพราะเธอต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย จึงไม่เคยตรวจสุขภาพมาก่อน หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร เธอก็ต้องรักษาตัวภายในบ้านมาโดยตลอด
หลายปีมานี้ เธอคอยอยู่ข้างกายของ องค์ชายใหญ่ เพื่อต้องการได้รับความไว้วางใจและได้รับความสำคัญจากองค์ชายใหญ่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ทรมาน อย่างเช่นการดื่มเหล้าเป็นต้น
ใคร ๆ ก็รู้ว่าการดื่มเหล้านั้นทำลายสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นผู้หญิง แต่ในบางสถานการณ์เธอก็จำเป็นต้องดื่มอย่างขัดไม่ได้
ถึงแม้เธอจะคอแข็ง แต่ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าเข้าไปในปริมาณมาก เธอกลับรู้สึกทุกข์ทรมานจริง ๆ และเป็นเพราะเธอดื่มเหล้ามาเป็นเวลานาน เธอจึงมักจะปวดท้องบ่อย ๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอดื่มเหล้าเข้าไปมากจนเกินไป หลังจากกลับมาก็รู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง อีกทั้งในตอนนั้นเธออาเจียนเป็นเลือดออกมาด้วย ทำให้เธอรู้ได้โดยทันทีว่าต้องมีเลือดออกในกระเพาะอาหารอย่างแน่นอน
ตอนนั้นเธอรู้สึกปวดท้องขั้นรุนแรง แต่แม่ของเธอกลับไม่พาเธอไปส่งโรงพยาบาล
เธอรู้ดีว่าฐานะของเธอไม่อาจถูกเปิดเผยได้ เธอรู้ดีว่าหากไปโรงพยาบาล เธอก็จะต้องถูกเปิดโปง เธอจึงเข้าใจถึงความกังวลของแม่ดี
แต่บางครั้งเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ ถ้าหากเธอตายล่ะ ?
อันที่จริงแล้วหลินเป้ยรู้ดีว่าต่อให้เธอตายไป ก็จะเปิดเผยความจริงไม่ได้เด็ดขาด เพราะเธอรู้ดีว่าหากฐานะของเธอถูกเปิดเผยออกมา คนที่จะต้องตายจะไม่ได้มีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เธอบอกกับตัวเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะอย่างไร ก็จะเปิดเผยฐานะของตัวเองออกมาไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้ตายก็เปิดเผยไม่ได้
แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หลังจากที่เธอตั้งครรภ์แล้ว เธอกลับมีอารมณ์ที่อ่อนไหวขึ้นมาในทันที
“มานี่สิ กินยาซะ อาการจะได้ดีขึ้น” เมื่อคุณแม่หลินเห็นท่าทางที่ดูไร้ชีวิตชีวาและทรุดโทรมของหลินเป้ย ก็มั่นใจว่าเธอจะต้องเป็นหวัดอย่างแน่นอน
“หนูไม่กินค่ะ” หลินเป้ยหันมองยาที่อยู่ในมือของแม่ และการปฏิเสธของเธอก็เริ่มหนักแน่นขึ้น แม้แต่น้ำเสียงของเธอก็สูงขึ้นไม่น้อย
คุณแม่หลินผงะไป ใบหน้าของเธอเมไปด้วยความงุนงง
“แม่คะ หนูไม่ได้เป็นหวัด หนูแค่เหนื่อยเกินไป พักผ่อนสักเดี๋ยวก็คงดีขึ้น ไม่ต้องทานยาหรอกค่ะ” หลินเป้ยรู้ดีว่าเมื่อครู่ตัวเองนั้นใจร้อนเกินไป เธอแอบสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อระงับสติอารมณ์ของตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นลูกก็ไปพักผ่อนเถอะ” คุณแม่หลินขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา
ช่วงนี้หลินเป้ยเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน แม้กระทั่งงานเลี้ยงก็เข้าร่วมน้อยมาก เธอรู้สึกเหนื่อยตรงไหนกันแน่นะ ?
แต่ว่า ท่าทางของหลินเป้ยก็ดูเหมือนจะเหนื่อยจริง ๆ ?
“จริงสิ เมื่อกี้ตอนที่ลูกอยู่ในห้องน้ำ องค์ชายใหญ่โทรศัพท์มาหาลูก ลูกโทรศัพท์กลับไปหาเขาหน่อยสิ” ในขณะที่หลินเป้ยกำลังจะกลับเข้าห้อง คุณแม่หลินก็รีบพูดเสริมขึ้นมา
“ค่ะ หนูรู้แล้ว” หลินเป้ยไม่ได้พูดอะไรต่อ อันที่จริงแล้วเธอเองก็คิดที่จะไปหาองค์ชายใหญ่อยู่พอดี เธออยากจะลองดูว่าในช่วงนี้เธอสามารถเดินทางไปต่างประเทศเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่ เมื่อออกนอกประเทศแล้ว เธอก็สามารถทำแท้งได้ง่ายขึ้น
หลินเป้ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินเข้าห้องไป จากนั้นจึงต่อสายหาองค์ชายใหญ่
“หลินเป้ย ช่วงนี้นายเป็นอะไรของนาย ? ทำไมถึงไม่เห็นหน้านายเลย ? นายมัวแต่ยุ่งอะไรอยู่หรือ ?” ทันทีที่ต่อสายติด เสียงขององค์ชายใหญ่ก็ดังขึ้นจากปลายสาย ก่อนหน้านี้ หลินเป้ยคอยติดตามเขาอยู่ข้างกายมาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะไปไหน หลินเป้ยก็จะตามไปด้วย
แต่หลายวันมานี้หลินป้ยกลับหายตัวไป และไม่ปรากฏตัวออกมา งานเลี้ยงเมื่อสองวันก่อน เขาเป็นคนจงใจโทรศัพท์ไปเรียกให้หลินเป้ยออกมา
นี่ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของหลินเป้ย สถานการณ์เช่นนี้ถือว่าไม่ปกติ ไม่สิ ถือว่าผิดปกติมากจริง ๆ ! !