หลินเป้ยรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้อารมณ์ของตัวเองไม่ดีนัก และรู้อีกว่าน้ำเสียงของตัวเองก็ไม่ดีอย่างมากเหมือนกัน เธอมั่นใจว่าเจ้าชายใหญ่จะต้องฟังน้ำเสียงเสียดสีของเธอออก แต่เธอไม่มีคำจะอธิบาย!!
เธอไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง ได้ยินก็ได้ยินเถอะ เธอทุ่มเททำอะไรไปตั้งหลายอย่างแต่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากเสด็จพ่อ ดังนั้นตอนนี้เธอไม่สนใจหากพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของเธอบ้าง
หลายปีที่ผ่านมานี้ เธอเสแสร้งจนรู้สึกเหนื่อย
“แต่ถังหลินจะมาถึงพรุ่งนี้ เราไม่ไปกับพี่หรอ……” เจ้าชายใหญ่ที่กำลังพูดอยู่ปลายสายชะงักไป เขารู้ดีว่าการที่เสด็จพ่อไม่อนุญาตให้หลินเป้ยไปต่างประเทศ ทำให้หลินเป้ยไม่พอใจ
หลินเป้ยอยู่ข้างกายเขามานานแล้ว เขาไม่เคยเห็นหลินเป้ยแสดงอาการไม่พอใจออกมาเลย ไม่ว่าจะมีเรื่องไม่สบายใจอะไร ไม่ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากเสด็จพ่อ หลินเป้ยก็ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรและไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
เจ้าชายใหญ่คิดเพียงว่าการที่หลินเป้ยขอออกไปเที่ยว ทำไปเพื่อต้องการระบายอารมณ์เท่านั้น
แต่ที่ผ่านมาทุกคนต่างรู้ดีว่าหลินเป้ยเป็นคนอารมณ์ดี ไม่ใช่สิ เป็นคนไม่มีอารมณ์
“ถังหลินจะมาแล้วทำไมผมต้องไปต้อนรับด้วย เขาจะมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” เดิมทีในใจของหลินเป้ยก็รู้สึกเสียความรู้สึกอยู่แล้ว ตอนนี้พอได้ยินชื่อถังหลิน อารมณ์ของเธอก็ยิ่งขุ่นมัวขึ้นมาอีก
การที่ถังหลินมา เป็นเรื่องวิเศษขนาดนั้นเลยหรือไง
พอถังหลินมา เธอต้องไปคอยดูแลด้วยงั้นหรือ
เจ้าชายใหญ่ “……”
คราวนี้เจ้าชายใหญ่เป็นฝ่ายไร้คำพูด หลินเป้ยอยู่กับเขามาเป็นเวลานานแล้ว และเขาไม่เคยเห็นเธอโมโหมาก่อนเลย อันที่จริงแล้วหลินเป้ยไม่เคยแสดงอารมณ์กับใครทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ หลินเป้ยกลับอารมณ์เสียใส่เขา?
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เจ้าชายใหญ่เป็นคนฉลาด เขารู้ดีว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น ไม่อย่างนั้นหลินเป้ยคงไม่แสดงอาการแบบนี้
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เหนื่อย อยากออกไปเที่ยวสักช่วงหนึ่งเท่านั้น” หลินเป้ยเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเสียอาการ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
เมื่อครู่นี้คนที่เธอโมโหใส่คือเจ้าชายใหญ่เชียวนะ
ในเมื่อระบายอารมณ์ออกไปแล้ว หลินเป้ยก็ไม่มีอะไรจะปิดบัง ตอนนี้เธอจึงลดน้ำเสียงของตัวเองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นเพราะเสด็จพ่อไม่อนุญาตให้เราไปต่างประเทศใช่ไหม” เจ้าชายใหญ่ฟังความผิดปกติในน้ำเสียงของหลินเป้ยออก แม้ว่าเขาจะถามไปแบบนี้ แต่กลับรู้สึกว่าไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เสด็จพ่อไม่เคยให้ความสำคัญกับเธอ แต่ที่ผ่านมาหลินเป้ยไม่เคยแสดงอาการไม่พอใจอะไรออกมาทั้งนั้น
แต่เมื่อเทียบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อก่อน เรื่องราววันนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ไม่มีเหตุผลที่หลินเป้ยจะแสดงอาการแบบนี้ออกมา
ดังนั้นเจ้าชายใหญ่จึงพอคาดเดาได้ว่าจะต้องมีสาเหตุอื่นอีก
“พี่ใหญ่ ความพยายามหลายปีที่ผ่านมาของผม เขาไม่เคยเห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมทำเลย ผมเหนื่อย เหนื่อยจริงๆ” หลินเป้ยรู้ดีว่าความกลัดกลุ้มในจิตใจของเธอ จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเพราะเสด็จพ่อไม่เห็นความสำคัญของเธอ เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเสด็จพ่อไม่เคยให้ค่าอะไรกับตน เวลาหลายปีทำให้เธอรู้สึกชินชา จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโมโห
สาเหตุแท้จริงที่ทำให้เธอกลัดกลุ้มเป็นเพราะเธอไม่มีเหตุผลดีๆ มาใช้อ้างในการเดินทางออกนอกประเทศ ถ้าไม่ได้ไปต่างประเทศ เธอก็คงไม่สามารถจัดการปัญหาที่เธอท้องได้ ถ้าไม่สามารถจัดการเรื่องการคลอดลูกได้ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากอื่นๆ หลังจากนั้นตามมา
ถ้ามีใครรู้ว่าเธอท้องขึ้นมา เหตุการณ์ต่อจากนั้นคงไม่สวยแน่
เธอไม่สามารถเล่าเรื่องแบบนี้ให้เจ้าชายใหญ่ฟังได้ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจหาเหตุผลอื่นมาอ้างแทน โดยโยนความผิดไปที่เรื่องที่ท่านพ่อไม่ยอมให้เธอเดินทางไปต่างประเทศ
“บางทีเสด็จพ่อคงจะมีเหตุผลของท่าน เราไปคนเดียวเสด็จพ่อคงไม่ค่อยสบายใจ เพราะคนต่างแดนพวกนั้นไม่น่าไว้ใจ อีกอย่างเสด็จพ่อคงเป็นห่วงเราด้วย……” เจ้าชายใหญ่รู้อยู่เต็มอก แต่เขาไม่สามารถพูดเรื่องไม่ดีของเสด็จพ่อลับหลังได้
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องพูดแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่างดี” หลินเป้ยกล่าวแทรกคำพูดของเจ้าชายใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของการเยาะเย้ยถากถาง
เป็นห่วงเธอ?
ฮึ เธอกลับมาอยู่ในราชวงศ์มาตั้งหลายปีแล้ว เสด็จพ่อไม่เคยเหลียวมองเธอเลย และไม่เคยยอมรับเธออย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ
เจ้าเมืองไม่เคยสนใจความเป็นตายของเธอ แล้วจะเป็นห่วงเธอได้อย่างไร
น่าขำจริงๆ
“พี่ใหญ่ ผมอยากหลบไปพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง” หลินเป้ยเกิดความรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา เมื่อก่อนเธอพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ตอนนี้เธอไม่อยากจะต่อสู้อะไรอีกแล้ว
เดิมทีสาเหตุที่เธอกลับมายังราชวงศ์เป็นเพราะเสด็จแม่ แต่ตอนนี้ชีวิตของเสด็จแม่มั่นคงแล้ว ขอเพียงเรื่องที่เธอปลอมกายเป็นชายไม่ถูกเปิดเผยออกมา ต่อให้เธออยู่เฉยๆ เสด็จแม่ของเธอก็คงไม่ได้รับผลกระทบอะไร
“ไปพักผ่อนสักช่วง? นานแค่ไหนล่ะ” เจ้าชายใหญ่ขมวดคิ้วแน่น เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ตอนนี้เขาเชื่อใจหลินเป้ยมาก และต้องมีหลินเป้ยคอยช่วยเหลือ เขาคงไม่ชินหากไม่มีหลินเป้ยอยู่ข้างกายเขา
“ไม่รู้ครับ แต่อาจจะนานหน่อย” หลินเป้ยไม่ได้ยืนยันเวลาที่แน่นอน เพราะนี่เป็นความคิดที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เธอแค่อยากจะพักผ่อนสักช่วง เธอไม่อยากทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยอีก
การใช้ชีวิตแบบที่ต้องระแวดระวังตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย
“หลินเป้ย เราหมายความว่าไม่อยากติดตามพี่แล้วหรือ พูดง่ายๆ ว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในราชวงศ์แล้ว?” สีหน้าของเจ้าชายใหญ่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความหมายในคำพูดของหลินเป้ยชัดเจนมากอยู่แล้ว
“ผมเป็นส่วนเกินในราชวงศ์อยู่แล้ว อีกอย่างผมไม่มีอำนาจอะไรในการยุ่งเรื่องราวในราชวงศ์เลยด้วยซ้ำ” หลินเป้ยหัวเราะเยาะในใจ ราชวงศ์? เธอไม่เคยได้รับการยอมรับอยู่แล้ว
“แต่ถ้าเราติดตามพี่ พี่ไม่มีทางทำให้เราลำบากแน่ พี่จะต้องให้ความสำคัญกับเรา” เจ้าชายใหญ่ได้ยินน้ำเสียของเธอเวลานี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจขึ้นมา เขาไม่อยากเห็นหลินเป้ยมีท่าทีแบบนี้ เขาชอบหลินเป้ยที่ไม่กลัวอะไรบนโลกใบนี้ ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความยากลำบากทั้งปวงมากกว่า
ความหมายในคำพูดของเจ้าชายใหญ่ตอนนี้ชัดเจนมากเช่นกัน ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรผิดพลาด เขาจะต้องได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองคนต่อไป รอวันให้เขาได้รับตำแหน่งเมื่อไหร่ เขาจะต้องยกย่องหลินเป้ยอย่างแน่นอน
หลินเป้ยแอบถอนใจ เธอเชื่อคำพูดนี้ของเจ้าชายใหญ่ อันที่จริงเธอเองก็มีความคิดแบบนี้มาตลอดเช่นกัน นี่คือสาเหตุที่เธอเลือกติดตามเจ้าชายใหญ่มาตั้งแต่แรก
แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเข้าไปแข่งขันด้วยแล้ว
“พี่ใหญ่ ผมต้องการพักผ่อนสักระยะหนึ่งจริงๆ ” หลินเป้ยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ท่าทางของเธอเด็ดเดี่ยว และด้วยร่างกายของเธอที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ถ้าเธอไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ เธอก็ไม่สามารถอยู่ข้างกายเจ้าชายใหญ่ได้เช่นกัน
ร่างกายของเธอในภาวะนี้ อาจจะโดนคนรู้ความจริงเอาได้ง่ายๆ
“ตกลงๆ อย่างนั้นพี่จะให้เราไปพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ วันไหนที่พักผ่อนเต็มอิ่มแล้วค่อยกลับมาก็แล้วกัน” เจ้าชายฟังความเด็ดเดี่ยวในน้ำเสียงของเธอออก และเขายังรู้อีกว่าหลินเป้ยเป็นคนหัวดื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้บีบบังคับอะไรเธอ
“ขอบคุณพี่ใหญ่มาก” หลินเป้ยรู้สึกถึงความแสบร้อนในจมูกของตัวเอง ในราชวงศ์นี้มีเพียงเจ้าชายใหญ่เท่านั้นที่ดีกับเธอ
เจ้าชายใหญ่เป็นคนเดียวที่มองเธอเป็นสมาชิกในราชวงศ์ ยอมรับในฐานะของเธอด้วยใจจริง
“พี่ฟังจากน้ำเสียงของเราแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้ารู้สึกว่าไม่สบายตรงไหน รีบไปหาหมอนะ อย่าเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ฝืนตัวเองทั้งๆ ที่ป่วยอยู่” เจ้าชายใหญ่กำชับอย่างไม่วางใจนัก
“เข้าใจแล้วครับ ผมไม่เป็นไรหรอก” เมื่อหลินเป้ยได้ยินคำพูดแสดงความเป็นห่วงของเจ้าชายใหญ่ เธอก็เริ่มอมยิ้มบางๆ อย่างน้อยก็มีคนเป็นห่วงเธอจากใจจริงบ้างและไม่ใช่ว่าทุกคนจะทอดทิ้งเธอ
“จริงสิ เราอยากไปที่ไหน เดี๋ยวพี่จะช่วยจัดการให้ หาคนไปเป็นเพื่อนสักสองสามคน เพราะเราติดตามพี่ไปหลายที่ ตอนนี้มีคนรู้จักเราหลายคนแล้ว ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากหน่อย” เจ้าชายใหญ่เป็นห่วงหลินเป้ยจากใจจริงจึงครุ่นคิดทุกอย่างอย่างรอบคอบ
“ไม่ต้องหรอกครับ” หลินเป้ยตั้งใจออกเดินทางไปครั้งนี้ก็เพื่อไปจัดการเรื่องการตั้งครรภ์ ถ้าต้องการไปต่างประเทศก็เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของคนอื่น แล้วจะยอมให้คนติดตามไปได้อย่างไร
“ไม่ได้หรอก พี่ต้องจัดคนไปดูแลความปลอดภัยของเรา เรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจะต่อรองไม่ได้” เจ้าชายใหญ่ไม่รู้ความนึกคิดของหลินเป้ย แต่เขารู้ดีว่าในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์ การออกเดินทางทุกครั้งมักจะเสี่ยงอันตรายเสมอ
น้ำเสียงของเจ้าชายเด็ดเดี่ยว ไม่อาจปฏิเสธได้โดยง่าย
หลินเป้ยเองก็รู้ว่าเจ้าใหญ่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เธอปฏิเสธก็คงไม่มีประโยชน์อะไรจึงได้แต่ตอบตกลง
“สรุปเราอยากไปที่ไหน จะออกเดินทางเมื่อไหร่ พี่จะได้จัดการให้” เมื่อเจ้าชายใหญ่เห็นหลินเป้ยตอบตกลงจึงโล่งใจ เขากลัวว่าหลินเป้ยจะบุ่มบ่ามออกเดินทางไปต่างประเทศโดยลำพัง
“ผมยังไม่ได้คิดเลย ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่แล้วผมจะบอก ตอนนี้ไม่ได้รีบร้อนอะไร” แน่นอนว่าหลินเป้ยไม่มีทางบอกแผนการของตัวเองกับเจ้าชาย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อใจเขา แต่เป็นเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะรุนแรงกว่าที่คิดได้