“หา? อา! ผมจะไปจัดการตอนนี้เลยครับ” ผู้ดูแลจ้งดึงสติกลับมา ด้วยสีหน้าท่าทางที่แปลกใจอยู่บ้าง แม้กระทั่งรู้สึกตกใจอยู่ด้วย ผู้ดูแลจ้งรู้สึกว่าหัวหน้าของเขานับวันจะยิ่งใช้ชีวิตติดดินเข้าทุกวันแล้ว
ปกติลุงเหลียงที่มีใบหน้าที่เย็นชาก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่า ผู้ดูแลจ้งรู้หัวหน้าร้อนใจอยากจะรู้ถึงสถานการณ์เกี่ยวกับเวินลั่วฉิง ดูแล้ว หัวหน้ายังมีความหวังกับเวินลั่วฉิงอยู่มากเช่นกัน
ในเมื่อตอนแรกถังฉิ้นเอ๋อเคยหาเย่โป๋เหวินแล้ว เช่นนั้นเย่โป๋เหวินจะต้องรู้สถานการณ์ภายในอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าสามารถจะพบเจออะไรบางอย่างจากเย่โป๋เหวินได้จริงๆ
ผู้ดูแลจ้งนึกถึงความเป็นไปได้นี้ก็ไม่เสียเวลาอีก รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ดูแลจ้งต้องการสืบเรื่องเย่โป๋เหวินนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะถึงอย่างไรเย่โป๋เหวินก็ไม่ใช่บุคคลที่ลึกลับอะไรอยู่แล้ว ข้อมูลของเย่โป๋เหวินก็ไม่ได้มีคนเจตนาที่จะปกปิดด้วยเช่นกัน ไม่ได้สืบยากเหมือนกับคุณหนูใหญ่ตระกูลถัง
ผู้ดูแลจ้งตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วว่าในปีนั้นความสัมพันธ์ของเย่โป๋เหวินกับเวินจือฝางนั้นไม่เลวเลย ตอนนั้นทั้งสองคนนับว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน และตอนนั้นความสัมพันธ์ของถังฉิ้นเอ๋อกับเวินจือฝางและเย่โป๋เหวินก็นับว่าไม่เลวด้วยเช่นกัน
ต่อมาหลังจากที่เวินจือฝางเสียชีวิตแล้ว ถังฉิ้นเอ๋อก็ออกห่างมา เย่โป๋เหวินหาตัวถังฉิ้นเอ๋ออยู่นานมาก ไม่มีข่าวคราวมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อแปดปีก่อนที่ถังฉิ้นเอ๋อเป็นฝ่ายติดต่อหาเย่โป๋เหวินเอง
ผู้ดูแลจ้งยิ่งรู้สึกว่าเย่โป๋เหวินจะต้องรู้รายละเอียดบางอย่างแน่นอน
ผู้ดูแลจ้งสืบได้ว่าเย่โป๋เหวินอยู่ที่สถานบำบัดแห่งหนึ่ง ก็อยากจะไปหาเย่โป๋เหวินที่สถานบำบัดโดยตรง
เพียงแต่ ผู้ดูแลจ้งไม่รู้ว่าเวลานี้คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ก็กำลังอยู่ในสถานบำบัดด้วยเช่นกัน
สองปีนี้เย่โป๋เหวินอยู่ในสถานบำบัดมาโดยตลอด ปกติแล้วจะไม่พบคนนอก ถึงแม้คนของตระกูลเย่มาเขาก็จะเจอน้อยมาก เย่ซือเฉินเคยมาอยู่หลายครั้ง ก็ถูกเขาปฏิเสธที่จะให้เข้ามาเจอ
ครั้งนี้คุณปู่เย่และคุณย่าเย่มาด้วยกัน เดิมทีแล้วเย่โป๋เหวินไม่อยากจะเจ แต่คุณปู่เย่กลับเข้ามาเลย
“เย่ซือเฉินหลุดออกจากความสัมพันธ์ของตระกูลเย่แล้ว แกรู้หรือเปล่า?” เมื่อคุณปู่เย่เข้ามาในห้องก็ออกปากเอ่ยพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้แสดงความเป็นห่วง และไม่มีการถามไถ่เลยแม้แต่นิดเดียว ก็เอ่ยถามออกมาแบบนี้แล้ว
เย่โป๋เหวินอึ้งไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองคุณปู่เย่ เรื่องที่คุณปู่เย่พูดมานี้เขายังไม่รู้เลยจริงๆ เนื่องจากว่าสองปีมานี้ เขาดูข่าวน้อยมาก แล้วก็ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือด้วยเช่นกัน และแม้กระทั่งในห้องของเขาก็ไม่ได้ติดตั้งโทรทัศน์อีกด้วย
ปกติแล้วเย่โป๋เหวินออกจากห้องน้อยครั้งมาก ไม่เคยเป็นฝ่ายไปพูดคุยกับคนอื่นก่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
ดังนั้นถึงแม้เย่ซือเฉินจะถอดถอนตัวออกจากความสัมพันธ์ของตระกูลเย่มาสามวันแล้ว เย่โป๋เหวินก็ยังคงไม่รู้เรื่องราวอยู่ดี
“เขาเป็นลูกชายของแก ตอนนี้เขาออกมาประกาศในงานแถลงข่าวว่าถอนถอนความสัมพันธ์กับตระกูลเย่ เรื่องนี้แกก็จะไม่สนใจอย่างนั้นหรือ?” คุณปู่เย่เห็นท่าทางแบบนี้ของเย่โป๋เหวิน ก็รู้ว่าเย่โป๋เหวินยังไม่รู้ ในใจของคุณปู่เย่นั้นก็อดที่จะหงุดหงิดโมโหขึ้นมาไม่ได้
ลูกชายคนนี้ของเขาใช้ได้ที่ไหนกัน?
ตั้งแต่เด็กก็อ่อนแอขี้ขลาด ไม่มีความคิดเห็น ไม่มีความเด็ดชาด และยิ่งไม่มีหัวทางธุรกิจ พรสวรรค์ในการบริหารดูแล อีกทั้งยังไม่แสวงหาความก้าวหน้าอีกด้วย
เมื่อก่อนตอนที่มีเขา เย่โป๋เหวินก็อยู่ที่บริษัทอย่างใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ
ต่อมา หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นแล้ว เย่โป๋เหวินก็ไม่ไปทำงานอีกเลย เย่โป๋เหวินไม่เพียงแค่ไม่ไปทำงานเพียงเท่านั้น อีกทั้งยิ่งไม่สนใจอะไรเลยอีกด้วย แม้แต่ลูกชายของตัวเองก็ไม่สนใจด้วยเช่นกัน
เย่โป๋เหวินในตอนนั้นกลายเป็นเหมือนคนไร้ประโยชน์ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่คุณปู่เย่พบกับปัญหานี้แล้ว ก็เริ่มเลี้ยงดูสั่งสอนเย่ซือเฉิน ดีที่เย่ซือเฉินฉลาดเหนือคนอื่นๆ และมีพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจและการบริหารมากเป็นพิเศษอีกด้วย
ถ้าหากตระกูลเย่จะต้องพึ่งพาอาศัยเย่โป๋เหวินจริงๆ เกรงว่าคงจะจบกันแล้ว!!
เมื่อก่อนคุณปู่เย่ก็ไม่พอใจลูกชายคนนี้มากอยู่แล้ว ตอนนี้กลับยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งไม่ชอบ
เขามีลูกชายที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ได้อย่างไรกัน?!
“ผมควบคุมไม่ได้หรอก” เย่โป๋เหวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าอยู่บ้าง ตั้งแต่ตอนที่เย่ซือเฉินอายุเก้าขวบเขาก็ไม่ได้ดูแลเย่ซือเฉินอีกแล้ว หลายปีขนาดนี้เขาไม่ได้ทำหน้าที่พ่อเลย ตอนนี้เป็นไปได้ที่เขาจะไปควบคุมดูแลเย่ซือเฉินได้ในฐานะพ่อคนหนึ่ง
“แก…..” คุณปู่เย่มีรู้สึกกลัดกลุ้ม : “หลายปีมานี้ทุกเรื่องของบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปซือเฉินล้วนแต่เป็นคนดูแล ตอนนี้ซือเฉินถอนความสัมพันธ์ออกจากตระกูลเย่แล้ว บริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปจะทำอย่างไร? ตระกูลเย่จะทำอย่างไร? หรือยังจะต้องให้คนแก่ๆอย่างฉันมาประคับประคองเอาไว้”
เย่โป๋เหวินมองคุณปู่เย่แล้วไม่ได้เอ่ยพูดออกมา เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นปรากฏความสงสัยขึ้น
“แกเป็นลูกชายของฉัน แกไม่สงสารพ่อแก่ๆอย่างฉันบ้างเลยหรือ?” คุณปู่เย่แอบหายใจออกมา และยังตัดสินใจเล่นความรู้สึกครอบครัวนี้กับลูกชายอีกด้วย เขารู้ว่าลูกชายของเขาคนนี้มีจุดอ่อนที่ไม่ดีอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือความใจอ่อน
“พ่อจะให้ผมทำยังไง? ผมเองก็ไม่มีวิธี ผมไปควบคุมเขาไม่ได้” สีหน้าท่าทางของเย่โป๋เหวินดูผ่อนคลายอยู่บ้าง เพียงแต่เขาไม่มีวิธีจริงๆ
“แกเป็นพ่อเขา เรื่องนี้จะต้องพึ่งแกได้เพียงเท่านั้น” คุณปู่เย่รู้ว่าการพยายามกระตุ้นด้วยความสัมพันธ์ครอบครัวของตัวเองนั้นสำเร็จแล้ว ดังนั้นน้ำเสียงจึงผ่อนคลายบ้างเช่นกัน
เย่โป๋เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังคุณปู่เย่อย่างงุนงง
“ฉันรู้สึกว่าแกจะเกลี้ยกล่อมซือเฉินได้หรือเปล่า? เกลี้ยกล่อมให้เขากลับมาตระกูลเย่ได้ไหม?” คุณปู่เย่เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ได้ครับ” เย่โป๋เหวินส่ายหน้า ตอบกลับอย่างมั่นใจ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ดูแลลูกชายมาหลายปี แต่เขาก็เข้าใจนิสัยของลูกชายตัวเอง เรื่องที่เย่ซือเฉินตัดสินใจ ใครก็เกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้ทั้งนั้น
เขาที่เป็นพ่อคนนี้ไม่ได้มีความสามารถมากมายขนาดนั้น!!
“ถ้าอย่างนั้นแกรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ จะทำยังไงถึงจะสามารถทำให้ซือเฉินกลับมาตระกูลเย่ได้? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจะสามารถทำให้ซือเฉินกลับมาตระกูลเย่ได้?” ดวงตาของคุณปู่เย่หรี่ลงเล็กน้อย คำถามเพิ่มความเฉียบคมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เย่โป๋เหวินอึ้งไป มุมปากเม้มเข้าหากัน แล้วไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา
“ซือเฉินเป็นลูกชายของแก เป็นหลานชายของฉัน เป็นคนของตระกูลเย่ ฉันฝากความหวังไว้กับซือเฉินสูงมาก แกเองก็รู้ว่าหลายปีมานี้ฉันพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อสั่งสอนเลี้ยงดูเขา ฉันฝากเอาทุกความหวังของตระกูลเย่ไว้ที่เขา ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงกันว่าเขาจะถอดถอนความสัมพันธ์จากตระกูลเย่อย่างหุนหันพลันแล่นแบบนี้” คุณปู่เย่ไม่ได้บีบบังคับให้เย่โป๋เหวินตอบคำถามของเขา แต่เริ่มเอาความสัมพันธ์ของครอบครัวมากระตุ้นอีกครั้ง
“ซือเฉินเด็กนั่นก็ไม่รู้ว่าไปรับการปลุกปั่นอะไรมา ไม่คิดว่าจะทำเรื่องที่แตกหักแบบนี้ เขาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเย่ เขาอยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยลำบากมาตั้งแต่เด็ก ฉันโอนหุ้นของบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปให้เขาตั้งแต่แรกแล้ว บริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปล้วนแต่เป็นของเขาทั้งสิ้น แต่ตอนนี้เขากลับไม่ต้องการอะไรเลย เขาไม่ต้องการปู่อย่างฉันก็ไม่เป็นไร แต่แม้แต่บริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปก็ไม่ต้องการ เขาไม่ต้องการบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปแล้วต่อไปจะใช้ชีวิตอะไรยังไง จะไปทำงานให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ เดือนๆนึงมีรายได้ไม่กี่พัน ฉันนึกถึงสถานการณ์แบบนั้นแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดมาก หลายชายที่ฉันประคบประหงมมากับมือไม่ควรจะมีชีวิตแบบนั้น” คุณปู่เย่พูดแล้วก็ดูเหมือนจะให้ตัวเองดูสะเทือนใจ
สีหน้าท่าทางของเย่โป๋เหวินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็ไม่ได้สนใจใยดีเย่ซือเฉินมาโดยตลอด ในใจของเขายังรู้สึกละอายใจ เขารู้ว่าตัวเองทำผิดกับลูก
เขาหวังว่าลูกชายของเขาจะใช้ชีวิตที่ดี มีความสุข ดังนั้นเวลานี้คำพูดของคุณปู่เย่ทำให้จิตใจของเย่โป๋เหวินนั้นสะเทือนอารมณ์อยู่บ้าง
ความจริงแล้วเย่โป๋เหวินไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้น เพียงแต่เรื่องราวในตอนนั้นโจมตีเขามากเกินไปจริงๆ หลายปีมานี้เขาไม่สามารถเดินออกมาจากเรื่องราวในตอนนั้นได้เลย
“ฉันลองคิดดูว่าที่ซือเฉินออกจากตระกูลเย่ ยอมทิ้งบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปนั่นคือสถานการณ์อะไร?” คุณปู่เย่เห็นท่าทางของเย่โป๋เหวินก็รู้แล้วว่าวิธีที่เขาใช้นั้นถูกต้องแล้ว
คุณปู่เย่ชะงักไป แล้วพูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค : “แกลองคิดดู ถ้าหากเป็นแก ออกตระกูลเย่ จะเป็นสถานการณ์อะไร?”
เย่โป๋เหวินตะลึงงัน สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป ถ้าหากเป็นเขา ออกจากตระกูลเย่ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แม้แต่สิทธิที่เขาจะทำอะไรตามอำเภอใจนั้นก็ไม่มี ถ้าหากไม่มีตระกูลเย่ หลายปีมานี้เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้สนใจอะไรด้วย เกรงว่าก็คงจะหิวตายไปตั้งนานแล้ว
แน่นอนว่าถ้าหากไม่มีตระกูลเย่ เขาก็คงจะไม่สามารถมาอยู่ในสถานบำบัดที่ดีที่สุดอย่างเงียบๆแบบนี้ได้เช่นกัน
คุณปู่เย่เห็นว่าประมาณนึงแล้ว ก็เจตนาถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ : “ซือเฉินเป็นหลายชายแท้ๆของฉัน ฉันไม่สามารถทำให้เขาต้องลำบากอยู่ข้างนอกได้ ดังนั้นฉันจะต้องคิดหาวิธีให้ซือเฉินกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน”
“จะมีวิธีอะไรอีกครับ ซือเฉินเด็กนั่นหัวแข็งมาตั้งแต่เด็กแล้ว” เย่โป๋เหวินขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่รู้สึกว่ามีวิธีอะไรดีๆเลย เขาเข้าใจในนิสัยของซือเฉินบ้างอยู่แล้ว
“เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องคิดหาวิธี” ดวงตาของคุณปู่เย่มีแสงแวบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่วนลึกของดวงตานั้นแปลกไป แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว : “ครั้งนี้ฉันมาก็จะมาปรึกษากับแก ในใจของฉันมีอยู่วิธีนึงแล้ว”
คุณย่าเย่ที่ยืนอยู่เงียบๆทางด้านข้างมาตลอดเวลานี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“วิธีอะไรครับ?” เย่โป๋เหวินไม่ได้พบความผิดปกติของคุณย่าเย่ เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นมองไปยังคุณปู่เย่