“วิธีอะไรครับ?” เย่โป๋เหวินไม่ได้พบความผิดปกติของคุณย่าเย่ เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นมองไปยังคุณปู่เย่ ใบหน้าปรากฏความรอคอยขึ้นมา แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่หวังให้ลูกชายตัวเองต้องไปลำบากอยู่ข้างนอกเช่นกัน
“ฉันเองก็รู้ว่าซือเฉินเด็กคนนี้หัวแข็งมาตั้งแต่เด็ก ในเมื่อเขาประกาศถอนความสัมพันธ์กับตระกูลเย่ในงานแถลงข่าว จะต้องไม่ยอมเปลี่ยนความคิดง่ายๆขนาดนั้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นในสถานการณ์ปกติซือเฉินจะต้องไม่กลับมาตระกูลเย่แน่ๆ นอกเสียจากตระกูลเย่จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น” คุณปู่เย่ถอนหายใจออกมาเบาๆอีกครั้ง สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะมีความเหงาเพิ่มขึ้นมา
“เรื่องใหญ่อะไรครับ?!” ดวงตาของเย่โป๋เหวินมีความตกใจแวบเข้ามา เขาเองก็เห็นด้วยกับที่คุณปู่เย่พูดเช่นกัน แต่เรื่องใหญ่อะไรที่จะสามารถทำให้เย่ซือเฉินกลับมาได้?
และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ตระกูลเย่ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรอีกด้วย
“ฉันเองก็อายุมากขนาดนี้แล้ว มีชีวิตอยู่มาได้ขนาดนี้ก็เก่งมากพอแล้ว” จู่ๆคุณย่าเย่ที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้น ตอนที่คุณย่าเย่เอ่ยพูดออกมานั้นมีสีหน้าท่าทางที่เป็นธรรมชาติเป็นอย่างมาก มองไม่ออกถึงความผิดปกติใดๆ
เย่โป๋เหวินมองไปยังคุณย่าเย่อย่างรวดเร็ว เย่โป๋เหวินขมวดคิ้วขึ้น ราวกับว่าไม่เข้าใจในคำพูดของคุณย่าเย่
“ถ้าหากจู่ๆฉันตายไป เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้นมา ซือเฉินจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน เพียงแค่ซือเฉินกลับมา ในสถานการณ์แบบนั้น ก็จะทำให้เขาอยู่ต่อได้ง่าย” คุณย่าเย่มองตาเย่โป๋เหวิน ฟังดูแล้วเหมือนกับพึมพำกับตัวเอง แน่นอนว่าเป็นการอธิบายกับเย่โป๋เหวินด้วยเช่นกัน
“พ่อกับแม่? แบบนี้ได้ไง? ไม่ได้นะครับ” ในที่สุดเย่โป๋เหวินก็เข้าใจ มีสีหน้าซีดด้วยความตกใจขึ้นมาทันที ทำไมเขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องใหญ่ที่พ่อกับแม่บอกนั้นจะหมายถึงแบบนี้
ใช่ ถ้าหากคุณย่าเย่จากไป นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ของตระกูลเย่จริงๆ ถึงแม้ซือเฉินจะเป็นอย่างไรก็จะต้องกลับมายังตระกูลเย่ และในงานศพของคุณย่าเย่ ถ้าหากอธิบายให้ซือเฉินอยู่ที่ตระกูลเย่ จะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเดิมมากจริงๆ
แต่จะทำแบบนี้ได้อย่างไร? ไม่ได้เด็ดขาด!!
“ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าแล้ว พวกเรากังวลว่าจู่ๆซือเฉินหลุดพ้นความสัมพันธ์ของตระกูลเย่ก็เพราะได้รับการปลุกปั่น เพราะฉะนั้นกังวลว่าเวลานานแล้วจะเป็นการเสียเปรียบสำหรับซือเฉิน พวกเราจึงทำได้เพียงแบบนี้……” คุณย่าเย่หายใจเข้าลึกๆ : “เพื่อซือเฉินเด็กนั่น ฉันจะเป็นอย่างไรก็ได้ เพราะถึงอย่างไรฉันก็อายุปูนนี้แล้ว เดิมทีก็ไม่ได้มีเวลามากเพื่อมีชีวิตอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ครับ ทำแบบนี้ไม่ได้” เย่โป๋เหวินส่ายหน้า นี่มันเป็นการลวงโลกมากเกินไปแล้ว หลอกลวงกันมากเกินไปจริงๆ!!
“สถานการณ์อย่างในตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว พวกเราเองก็จะไม่สนใจซือเฉินไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีเพียงแบบนี้เท่านั้น วันนี้พวกฉันมา ก็อยากจะให้แกกลับบ้าน ถ้าหากแม่แกตายไป แกจะต้องกลับไปดูแล” เห็นได้ชัดว่าคุณปู่เย่ไม่อยากได้ยินเย่โป๋เหวินปฏิเสธจึงตัดสินใจออกมาเลย
“พ่อแม่บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ” เป็นครั้งแรกในหลายปีมานี้ที่เย่โป๋เหวินส่งเสียงตวาดออกมาแบบนี้ เขารู้สึกว่าทั้งสองคนนี้บ้าไปแล้วจริงๆ
“แกคิดว่าพวกฉันยินยอมอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกฉันไม่มีวิธีอื่นหรอกรึไง? ที่พวกฉันทำแบบนี้ก็เพื่อซือเฉิน เพียงแค่ซือเฉินมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องการคนแก่ๆอย่างพวกฉันสองคนก็คุ้มค่าแล้ว” คุณปู่เย่เองก็ส่งเสียงตวาดออกมาด้วยเช่นกัน ตวาดออกมาเสียงดังกว่าเย่โป๋เหวินเสียอีก : “ถ้าหากแกใจสู้อยู่บ้าง เรื่องราวก็คงไม่กลายมาเป็นแบบนี้ แกว่ามาสิว่าหลายปีมานี้แกเคยทำอะไรเพื่อซือเฉินบ้าง? หลายปีมานี้แกทำอะไรเพื่อตระกูลเย่ เพื่อบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปบ้าง”
เย่โป๋เหวินตกตะลึงไป ไม่รู้ว่าถูกคุณปู่เย่ตวาดใส่จนตกใจหรือว่าจู่ๆก็นึกถึงอะไรขึ้นมา
เย่โป๋เหวินเงียบลงในทันที!!
“ถ้าหากพวกฉันมีวิธีอื่นล่ะก็ พวกฉันจะใช้วิธีแบบนี้ไปทำไมกัน? พวกฉันก็ถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำเหมือนกัน” สีหน้าของคุณปู่เย่หนักหน่วงลง เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงก็หนักแน่นและจริงจังด้วยเช่นกัน
“โป๋เหวิน ตอนนี้มีเพียงแค่แบบนี้แล้ว เพื่อซือเฉิน พวกฉันเสียสละอะไรก็ล้วนแต่คุ้มค่าแล้ว ฉันเป็นย่าของซือเฉิน พวกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฉันเต็มใจทั้งนั้น” คุณย่าเย่มองไปยังเย่โป๋เหวิน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยคำพูดที่หนักแน่น
เย่โป๋เหวินมองคุณย่าเย่ มุมปากขยับขึ้นมา คงจะอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็กลั้นเอาไว้
“ครั้งนี้ที่ฉันมา ก็นับว่ามาเจอหน้าแกเป็นครั้งสุดท้าย แกเป็นลูกชายของฉัน ฉันเองก็ตัดใจไม่ได้……” คำพูดของคุณย่าเย่หยุดชะงักลง ราวกับดูเหมือนจะพูดต่อไปไม่ได้แล้ว
เย่โป๋เหวินมองคุณย่าเย่ สีหน้าบนใบหน้านั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ฉันกับพ่อแกมา ก็เพื่อจะมารับแกกลับไป เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ แกก็จะต้องออกหน้าด้วยเหมือนกัน ถึงตอนนั้นซือเฉินกลับมาแล้ว ก็จะต้องให้แกเป็นคนเกลี้ยกล่อมซือเฉินด้วย” เวลานี้น้ำเสียงและลักษณะท่าทางของคุณย่าเย่นั้นเหมือนกับกำลังสั่งเสียอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ผม…….” เย่โป๋เหวินอ้าปาก อยากจะพูดอะไร แต่หลังจากคำว่าผมแล้วเสียงนั้นกลับกลืนหายไปในลำคอ
“ฉันรู้ ว่าเรื่องราวในตอนนั้นโจมตีแกหนักมาก ฉันรู้ว่าหลายปีมานี้แกก็เป็นทุกข์อยู่ตลอด และฉันเองก็รู้ว่าแกไม่อยากกลับบ้าน กลัวการกลับบ้าน แต่ครั้งนี้แกจะไม่กลับไปไม่ได้ ฉันไปแล้ว แกก็ต้องส่งฉัน……” ยิ่งพูดเสียงของคุณย่าเย่ก็ยิ่งต่ำลง ฟังแล้วทำให้รู้สึกอึดอัดมากเป็นพิเศษ
“โป๋เหวิน ตอนนี้กลับไปกับพวกฉัน ได้ไหม?” น้ำเสียงของคุณย่าเย่เวลานี้กำลังอ้อนวอนอย่างเห็นได้ชัด
“ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือครับ?” ในที่สุดเย่โป๋เหวินก็หาเสียงของตัวเองกลับมาได้ เพียงแต่เวลานี้เสียงของเขากลับดูแหบพร่าอยู่บ้าง
“ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงแค่นี้ เพราะฉะนั้น แกกลับไปกับฉันได้ไหม?” คุณย่าเย่อ้อนวอนอีกครั้งหนึ่ง
“จะต้องมีคนเสียสละ ฉันอายุมากแล้ว เพื่อหลานชายของฉัน เพื่อลูกชายของฉัน ฉันยอมทำแบบนี้” คุณย่าเย่มองเย่โป๋เหวิน ด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา : “โป๋เหวิน แม่จากไปแล้ว แกจะต้องมีชีวิตดีๆนะ แกกับซือเฉินจะต้องมีชีวิตที่ดี แบบนี้แม่เองก็จะได้วางใจ”
ร่างของเย่โป๋เหวินแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าสะเทือนใจประโยคไหนของคุณย่าเย่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“ไปเถอะ ตอนนี้เรากลับกันเถอะ” คุณย่าเย่เดินมาใกล้ๆเย่โป๋เหวิน คิดที่จะเข็นวีลแชร์ของเย่โป๋เหวิน คุณย่าเย่ช่วยเย่โป๋เหวินจัดให้เป็นระเบียบ อ่อนโยนมาก และด้วยความรักและเอ็นดูมาก!!
“เดี๋ยวก่อนครับ” จู่ๆเย่โป๋เหวินดูเหมือนกับตกใจตื่น เขามองไปยังคุณย่าเย่ด้วยลักษณะท่าทางที่ดูซับซ้อนอยู่บ้าง
“เป็นอะไรไป?” คุณย่าเย่มองเขาด้วยใบหน้าที่รักใคร่
“แม่ครับ ให้ผมคิดซักหน่อยนะ” เย่โป๋เหวินส่งเสียงออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงดูเหมือนกับมีความเด็ดเดี่ยวมากขึ้น ดูเหมือนกับว่าตัดสินใจทำอะไร ยี่สิบกว่าปีมานี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเองมาโดยตลอด บดบังทุกอย่างจากโลกภายนอก ไม่สนใจใยดีเย่ซือเฉิน ขัดแย้งกับคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ ยี่สิบปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยเรียกคำว่าแม่ออกมา
“แกไม่ยอมกลับไปหรือ? ช่วงอื่นพวกฉันไม่บังคับแกหรอก แต่เรื่องนี้แกจำเป็นต้องกลับไป หลังจากที่เรื่องผ่านไปแล้วถ้าหากแกไม่ยอมที่จะอยู่ที่บ้านต่อ ก็สามารถกลับมาอีกได้ แต่ตอนนี้ แกจำเป็นต้องกลับไป” น้ำเสียงของคุณย่าเย่ในเวลานี้อ่อนโยนเป็นพิเศษ มีความรักใคร่มากเป็นพิเศษอีกด้วย
“ผมขอคิดดูก่อน ให้เวลาผมหน่อย ผมคิดดูก่อนนะครับ” มือของเย่โป๋เหวินใช้แรงจับวีลแชร์เอาไว้ ดูเหมือนอยากจะสื่ออะไรออกมา
“ได้ แม่ไม่บังคับแก แกต้องการคิดก่อน แม่ก็จะให้เวลาแกได้คิดพิจารณา แต่เรื่องนี้จะยืดเวลาออกไปอีกไม่ได้แล้ว ยืดเวลาออกไปอีกก็จะไม่ดีกับซือเฉิน” คุณย่าเย่เอ่ยพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมรู้ครับ ผมไม่คิดนานเกินไปหรอก พ่อกับแม่ไปรอผมข้างนอกก่อนนะ…..รอผมซักพักนึง” น้ำเสียงของเย่โป๋เหวินนั้นทุ้มต่ำมาก คำพูดสุดท้ายนั้นดูเหมือนจะพูดได้อย่างยากลำบาก
“ได้ ได้ แม่ไม่บีบแก แม่ไม่บีบแกหรอก” คุณย่าเย่พยักหน้าติดๆกันเพื่อเป็นการรับปาก ดูแล้วเหมือนกับไม่อยากจะทำให้เย่โป๋เหวินลำบากใจ
“ถ้าอย่างนั้นพวกฉันรอแกอยู่ข้างนอก แกคิดพิจารณาได้เมื่อไหร่ ก็ตะโกนเรียกพวกฉันแล้วกัน” คุณย่าเย่ยืนตัวตรง มองเย่โป๋เหวินอย่างไม่อยากจากไป หลังจากนั้นก็หันหลังเดินออกไปทางด้านนอก
คุณปู่เย่มองเย่โป๋เหวิน มุมปากขยับอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็กลั้นเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา
แต่คุณปู่เย่หยุดอยู่หลายวินาทีหลังจากนั้นก็ออกไปจากห้อง
หลังจากที่คุณปู่เย่ออกมาจากห้องแล้ว มองไปยังคุณย่าเย่ที่ยืนอยู่ทางด้านนอก เขาปิดห้องแล้วเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำๆ : “แบบนี้ได้จริงๆใช่ไหม?”
เวลานี้น้ำเสียงของคุณปู่เย่มีความหนักหน่วง และยังสามารถได้ยินถึงความไม่ยอมและความเสียใจอีกด้วย!!
“นิสัยของเย่โป๋เหวินฉันเข้าใจที่สุดแล้ว คงไม่มีปัญหาหรอก” เวลานี้ใบหน้าของคุณย่าเย่จริงจัง ความจริงแล้วเธอเองก็ไม่ได้คิดแบบนี้ เธอเองก็ไม่ได้ยอม แต่เพื่อสถานการณ์โดยรวม จึงต้องทำแบบนี้
“หลายปีขนาดนี้ เขาใช้ชีวิตแบบนี้ก็ลำบากมากเหมือนกัน เขาคงคิดอยากจะหลุดพ้นให้เร็วหน่อย แน่นอนว่า ถ้าหากเขาไม่อยาก พวกเราเองก็ไม่สามารถไปบีบบังคับเขาได้จริงๆ” เวลานี้น้ำเสียงของคุณย่าเย่นั้นต่ำลงมาก