มากขึ้นเรื่องหนึ่งไม่สู้น้อยลงเรื่องหนึ่ง พรุ่งนี้เอาเส้นผมของถังจื่อซีไปก็พอ มู่เฉิงรู้สึกว่า ก่อนที่ผลจะออก คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี ถ้าไม่ระวังถูกถังจื่อโม่พบเข้า เขามาถามเอาจริงๆ ยังจะปิดได้อยู่จริงหรือ? พูดได้ยาก และไม่มีความจำเป็น
“ใช่ๆๆ!” ผู้ดูแลจ้งพูดติดๆกัน “นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้คิดไว้ ฉันดีใจเกินไปแล้ว” เห็นว่าความปรารถนาในเวลาหลายปีของท่านหัวหน้ากำลังจะสำเร็จ เขาจะไม่ตื่นเต้น ไม่ดีใจได้อย่างไร? ในสายตาของเขา ถ้าหากเรื่องนี้สำเร็จ เขาก็รู้สึกว่าชีวิตนี้ของตนสมบูรณ์แล้ว
“แต่ว่า…”มู่เฉิงไม่คิดปิดบังสาเหตุที่ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่จะกลับไปในวันมะรืน “มีเรื่องหนึ่ง จื่อซีกับจื่อโม่ไม่ได้บอก ผมไม่อยากจะปิดบัง ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ก็มีความเกี่ยวข้องอยู่บ้าง”
ซ่างกวนหงถามอย่างสงบ “เรื่องอะไร?” ขอแค่เป็นเรื่องที่ไม่ทำให้เวินลั่วฉิง ถังจื่อซี และถังจื่อโม่พบกับอันตราย เขาล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา
“เรื่องที่จื่อซีกับจื่อโม่กลับไปอย่างกะทันหัน ความจริงเป็นเพราะวันนี้ตอนที่ผมโทรศัพท์หาคุณหนูถัง ได้เกิดความเข้าใจผิดบางประการขึ้น ทำให้คุณหนูถังรู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบร้อนจะรับพวกเขาทั้งสองกลับไป” มู่เฉิงพูดความจริง แต่ก็ยังพูดแก้ไขสถานการณ์ “อันที่จริงคุณหนูถังอยากจะพาจื่อซีกับจื่อโม่ไปเลย แต่ผมใช้ความรู้สึกสัมผัสใจ ใช้เหตุผลให้กระจ่าง จึงทำให้พวกเขาอยู่ถึงวันมะรืนค่อยไป”
ผู้ดูแลจ้งมองมู่เฉิง บอกเรื่องนี้กับหัวหน้า แน่ใจนะว่าจะไม่ถูกตำหนิ? เห็นๆอยู่ว่าจื่อซีกับจื่อโม่ต่างก็ไม่ได้พูด ปิดบังไว้ก็ได้ไม่ใช่หรือ?
ซ่างกวนหงมองมู่เฉิงแวบหนึ่ง ก่อนแค่นเสียงเฮอะเบาๆ ถ้าตอนที่เพิ่งกลับมา มู่เฉิงบอกเรื่องนี้กับเขา เขาอาจจะโกรธ เสียใจ แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นแล้ว ในเมื่อช้าเร็วพวกเขาก็ต้องไป วันมะรืนก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น จื่อซียินยอมที่จะพิสูจน์สายเลือดแล้ว ถ้ายืนยันความสัมพันธ์ได้แล้ว ยังต้องกลุ้มใจว่าต่อไปพวกเขาจะไม่มาด้วยหรือ?”
มู่เฉิงเห็นซ่างกวนหงไม่มีปฏิกิริยา ก็พูดต่อ “ตอนนี้ คุณหนูถังรู้แล้วว่าท่านเป็นพ่อบุญธรรมของผม เป็นหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้ แต่เธอไม่ได้โกรธ และไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงกังวลว่าจื่อซีกับจื่อโม่จะได้รับบาดเจ็บ ผมรับรองไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอคงไม่ได้กังวลเท่าไรแล้วครับ”
ซ่างกวนหงพยักหน้า บ่งบอกว่าตนรู้แล้ว เขาสังเกตเห็นคำที่มู่เฉิงเรียกเวินลั่วฉิงแล้ว คือคุณหนูถังอยู่ตลอด คิดดูแล้วในใจของมู่เฉิง ความจริงแล้วก็เหมือนในใจของเขา หวังมาโดยตลอดว่าเวินลั่วฉิงเป็นลูกสาวของเขา ไม่ยอมรับว่าเธอแซ่เวิน ในใจเขามีความประทับใจที่ปกปิดไว้หลายส่วน รายละเอียดในนั้น ยิ่งดูล้ำค่า
“ถ้าหากว่าต่อไปเธอยังอยากแซ่เวิน นายก็เรียกเธอว่าคุณหนูเวินเถอะ” ซ่างกวนหงพูดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาในเวลานี้รู้สึกว่า คำเรียกไม่ได้สำคัญแล้ว ถ้าหากว่าเป็นลูกสาวของตนจริงๆ ไม่ว่าจะแซ่อะไร พวกเขาก็ไม่มีทางแยกจากกัน ถ้าหากว่าไม่ใช่ เช่นนั้นต่อให้เฝ้าเรียกเธอว่าคุณหนูถังอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่มีความหมาย เวินลั่วฉิงไม่ใช่ฉิ้นเอ๋อ ต่อให้เรียกชื่อถังฉิ้นเอ๋อ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี
มู่เฉิงตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าซ่างกวนหงจะพูดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในใจของมู่เฉิง เขาไม่เคยอยากเรียกเวินลั่วฉิงว่าคุณหนูเวิน ดึงดันจะให้เธอเป็นคุณหนูถังฉิ้นเอ๋อ ดูเหมือนเช่นนี้จะสามารถผูกเวินลั่วฉิงกับซ่างกวนหงไว้ด้วยกันได้ ระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์พ่อลูกกันจริงๆ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้…ซ่วงกวนหงกลับคิดว่าไม่สำคัญแล้ว? หรือคิดว่า ไม่ว่าเวินลั่วฉิงจะใช่ลูกสาวของเขาหรือไม่ เขาก็จะยังคงดีต่อถังจื่อซีกับถังจื่อโม่หรือ?
มู่เฉิงอยากพูดว่าได้ แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้จริงๆว่าเวินลั่วฉิงไม่ใช่ลูกสาวของซ่างกวนหง ภายในใจเขามั่นใจ เวินลั่วฉิงคือลูกสาวของซ่างกวนหง ถ้าไม่เรียกถังฉิ้นเอ๋อ ถ้าไม่เรียกคุณหนูถัง เช่นนั้น…เขาก็สามารถเปลี่ยนคำเรียกได้เหมือนกัน
“พ่อบุญธรรม ผมเชื่อว่าเวินลั่วฉิงเป็นลูกสาวของท่าน บางทีอาจเป็นเพราะผมเรียกเวินลั่วฉิงว่าคุณหนูถัง ท่านไม่อาจรับได้ว่าลูกสาวของท่านก็ชื่อนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่อยากให้ผมเรียกเวินลั่วฉิงว่าคุณหนูถัง แต่ว่า ผมไม่อยากจะเรียกคุณหนูเวิน เพราะผมยืนยันและมั่นใจว่าเธอคือลูกสาวของท่าน ดังนั้นถ้าไม่เรียกเธอว่าคุณหนูถัง ผมก็จะเรียกเธอว่าคุณนายเย่” มู่เฉิงพูดอย่างจริงจัง
“ยังไงก็ได้ แล้วแต่นาย” ซ่างกวนหงพูด เมื่อตนเองมีความรู้สึกว่าได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว จะชื่อเรียกอะไร ก็ล้วนไม่สำคัญแล้วละ ก็เหมือนกับว่าถ้าจื่อซีกับจื่อโม่สนิทสนมกับเขาเช่นนี้ตลอดไปได้ อย่างนั้นแล้วจะเป็นคุณปู่หรือว่าคุณตา จะต่างกันสักเท่าไหร่เชียว?
มู่เฉิงมองท่าทีของซ่างกวนหง แล้วพยักหน้า เขามีความแน่วแน่ของเขา ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามาถึงตอนนี้แล้วด้วย?
…………
ทางฝั่งเวินลั่วฉิงกับเย่ซือเฉิน ไม่ได้สดใสนัก แน่นอนว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ว่า สองวันนี้ตรวจสอบแล้ว พบว่าถังไป๋เชียนดูเหมือนจะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ คนผู้นี้ ซับซ้อนยิ่งนัก อีกทั้ง…ดูเหมือนว่าจะตั้งใจปกปิดเอาไว้
ภายใต้การเตือนของถังจื่อโม่ เย่ซือเฉินส่งคนไปตรวจสอบที่ “ชิงฮวน” พบว่าถังไป๋เชี่ยนไปพบใครมาแล้วจริงๆ แต่ว่าคนผู้นี้ หลังตรวจสอบดูแล้วเป็นเพื่อนธรรมดาๆคนหนึ่ง ชื่อหลินฉี แม้เขาจะชื่อว่าฉี (แปลก) แต่ประสบการณ์ชีวิตกลับไม่เข้าข่ายคำว่าแปลกได้เลย ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เรียบง่าย ไม่มีความยุ่งเหยิงใดๆ ไม่ได้มีครอบครัวแย่ๆ ไม่มีเรื่องราวถูกบีบเค้นสุดขีดจนต้องทะเยอทะยาน เขาเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งที่ไม่สามารถธรรมดาไปยิ่งกว่านี้ได้แล้ว กับถังไป๋เชียนก็ไม่ได้ติดต่อกันนานหลายปีแล้ว ถ้าบอกว่ามีอะไรพิเศษ ก็คงเป็นช่วงเวลาจำเพาะเจาะจงนี้ ทั้งสองได้พบกันครั้งหนึ่ง
“ชิงฮวน” เป็นร้านธรรมดาๆร้านหนึ่ง ต่อให้รู้ว่าเจ้านายที่อยู่ข้างหลังคือหัวหน้าน้อยแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้ หลังตรวจสอบแล้วก็ไม่มีความแตกต่างอะไร เป็นเพียงร้านร้านหนึ่ง ว่ากันว่าอาหารอร่อยมาก แล้วก็…ไม่มีแล้ว ไม่มีการสืบข่าวอะไร เป็นสถานที่ที่ดีในการออกอุบาย
ความบังเอิญมากมายรวมเข้ามาด้วยกัน ก็ไม่ใช่ความบังเอิญอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเวินลั่วฉิง หรือเย่ซือเฉิน พวกเขาต่างก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกว่าเรื่องราวดูคล้ายจะเปลี่ยนไปแล้ว
“กระต่ายเจ้าเล่ห์มีรังซ่อนมากมาย เป็นไปได้ว่าถังไป๋เชียนคนนี้ได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว” เวินลั่วฉิงพูด ยิ่งรู้เยอะ ยิ่งไม่มีความรู้สึกดีๆกับถังไป๋เชียน ตอนก่อนหน้านี้ จากเรื่องของไป๋ยี่รุ่ย ภายหลังถังไป๋เชียนไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะสงสัย ถังไป๋เชียนเป็นคนทำใช่หรือไม่ เพียงแต่ถูกนักข่าวชั่วร้ายจำนวนหนึ่งค้นพบเข้าพอดี พูดเอาใจมวลชนแล้วปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง
แต่เวินลั่วฉิงไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย แผนการของถังไป๋เชียนก่อนหน้านี้ เหมือนดั่งงูพิษที่รัดเธอเอาไว้ ทำให้ก่อนที่จะควบคุมถังไป๋เชียนได้ เธอไม่กล้าผ่อนคลายลงสักนิด
“ถังไป๋เชียนไม่น่ากลัวหรอก เพียงแต่ว่า เขาหลบอยู่ตลอดอย่างนี้ พวกเราก็ลงมือได้ยาก รอเขาลงมือ ก็กลัวว่าจะทำเรื่องเสียสติอะไรออกมาอีก” เย่ซือเฉินกอดเวิ่นลั่วฉิงพลางพูด การกระทำเล็กๆน้อยที่มือไม่ขาดตอน เขากำลังคิดว่าจะหาวิธีให้ถังไป๋เชียนลงมือดีหรือไม่ แต่ว่า เป้าหมายของถังไป๋เชียนคือเวินลั่วฉิง เขาไม่มีทางให้เวินลั่วฉิงไปทำเป็นอันขาด ถ้าอย่างนั้น ยังมีอะไรที่ถังไป๋เชียนสนใจอีกบ้าง?
เย่ซือเฉินที่ไม่กลัวใคร หรือเรื่องอะไรทั้งนั้น ตอนนี้มีจุดอ่อนแล้ว เขารู้ดีกว่าใคร ดังนั้นแล้วกับเวินลั่วฉิง เขาจึงระมัดระวังอยู่เสมอ ถังไป๋เชียนคนนี้ ไม่อาจปฏิเสธว่ามีความสามารถ ดังนั้น เย่ซือเฉินจึงหวาดกลัวว่าเขาจะอยากได้เวินลั่วฉิงจนทำลายทุกสิ่งพินาศโดยไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น ถึงตอนนั้น ต่อให้เตรียมการเอาไว้แล้ว ก็กลัวว่าจะมีช่องโหว่
เวินลั่วฉิงตีมือเย่ซือเฉินเบาๆ คนคนนี้ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ไม่สงบใจ เห็นๆว่ากำลังคุยเรื่องสำคัญขนาดนี้อยู่ ยังแบ่งความสนใจออกไปได้อีก
เย่ซือเฉินหึงอยู่เล็กน้อย ถือสิท์อะไรให้เขาสงบใจตอนคุยเรื่องถังไป๋เชียน เวินลั่วฉิงคือผู้หญิงของเขา แต๊ะอั๋งมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เขาแค่นเสียงดังเหอะ มือไต่ขึ้นไปบนความอบอุ่นตรงหน้าอกเวินลั่วฉิง ก่อนจะบีบคลึงแรงๆ
เวินลั่วฉิงหอบหายใจเบาๆโดยไม่รู้ตัว เธอจ้องเย่ซือเฉิน อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ไม่มีความละอายสักนิด เวลานี้ หน้าแดงก่ำของเวินลั่วฉิงช่างขัดกับแววตาเย็นชานัก กระตุ้นความรู้สึกของเย่ซือเฉินขึ้นมา ในใจเขายิ่งไม่พอใจ ตอนกลางคืน เขามีสาวงามอยู่ในอ้อมกอด ไม่ทำอะไรเลยก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว! เขาเขยิบเข้าไปเป่าลมหายใจข้างหูเวินลั่วฉิง จงใจพูดเสียงต่ำ “ฉิงฉิง แน่ใจนะว่าจะคุยเรื่องผู้ชายคนอื่นกับฉันตอนกลางคืน?”
เวินลั่วฉิงสะดุ้งไปทั้งตัว ตัดสินใจว่าจะล่อลวงผู้ชายของเธอ หลบหนีจากมนต์เสน่ห์ แต่สองสามวันนี้ ยิ่งเย่ซือเฉินอ่อนโยนตอนอยู่นอกเตียงมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เธอไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะปฏิเสธเลยสักนิด
เวินลั่วฉิงเคลื่อนมือไปบนไหล่ของเขา เขยิบไปข้างหน้า เธอไม่ได้บอกเรื่องก่อนหน้านี้กับเย่ซือเฉิน เพียงพูดว่า “ถังไป๋เชียนไม่มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ฉันรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกเหมือนโดนคนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา