ตอนที่ 1064
ซากปรักหักพังของโลกใบนี้ยื่นขยายออกไปจนแทบสุดสายตา เสียงประหลาดของสายลมกระโชกแรงนั้นมีอย่างไม่เคยหยุดพัก ท้องฟ้ายังคงสาดส่องด้วยแสงสีส้มประหลาด เอเลน่าและลูกค้าคนอื่นของร้านกำลังจะเริ่มสำรวจซากปรักหักพังอันพิเศษนี้กันแล้ว
“เหมือนว่าจะถูกทิ้งร้างมานานมาก” เอเลน่ายื่นมือไปสัมผัสกับสิ่งที่คล้ายจะเป็นยานพาหนะ ทว่าตอนนี้เหลือเพียงแต่โครงที่ผ่านกาลเวลาและฝุ่นขัดเกลาจนแทบไม่หลงเหลือ เพียงแตะมันก็ส่งเสียง ‘ครึก’ พร้อมกลับกลายเป็นเศษซากกระจายทั่วพื้น สายลมรุนแรงเมื่อพัดมา เศษซากเหล่านั้นจึงกระจายหายไปเหลือเพียงเศษเสี้ยว
แผนการสำรวจโบราณสถานแห่งนี้ของเหวินเทียนจีและคณะได้หารือกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า โดยสรุปคือทุกคนจะแยกย้ายไปสอดส่องสิ่งที่ตนเองสนใจ แม้ว่าโบราณสถานนี้ดูแปลก ทว่าไม่อันตราย คณะที่รับชมการถ่ายทอดสดเช่นลั่วฉวนถึงกับคิดชื่อแผนการสำรวจครั้งนี้ว่า “สอดส่องอารยธรรมที่ล่มสลาย” อะไรทำนองนั้น
โดยสรุปแล้วในกลุ่มคนที่รับชมการถ่ายทอดสดของเอเลน่าก็ยังคงดูต่อ ชาวไซเรนที่ร่วมทางมากับนางตอนนี้ก็เผยเสียงอุทานดังขึ้นหลายครั้งคราว
นั่นไม่ใช่เพราะการค้นพบสิ่งวิเศษแต่ประการใด แต่วัตถุที่อยู่ในโบราณสถานแห่งนี้อยู่ในสภาวะสมดุล หากมีแรงกระทำอื่นจากภายนอกสัมผัสมัน มันก็พร้อมจะกลายเป็นเศษซากเหมือนเช่นที่เอเลน่าสัมผัสไปเมื่อครู่
แต่ก็ต้องกล่าว ว่าการที่มันยังคงสภาพเช่นที่เห็นเอาไว้ได้ก่อนจะโดนสัมผัสนั้นไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างทานขนมไปพลางรับชม… ลั่วฉวนที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่พลันหาว แม้เนื้อหาการถ่ายทอดสดค่อนข้างน่าสนใจ รวมถึงเศษซากอารยธรรมนี้ยังคุ้นเคยกับเขา แต่มันก็เพียงการเดินสำรวจไปเรื่อยอย่างที่ไม่เจออะไรน่าสนใจ
ทว่าเหล่าลูกค้าภายในร้านที่รับชมนั้นใช่ พวกเขาจะแสดงความเห็นระหว่างการถ่ายทอดสด เมื่อเอเลน่าพบเห็นอะไรเข้าก็จะลองทำตามดู
ซากปรักหักพังเหล่านี้เหมือนกันหมด สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ที่ปรากฏจากพื้นหลงเหลือเพียงแต่โครงร่างที่ว่างเปล่า
เดี๋ยวนะ พื้นหรือ?
ในทวีปเทียนหลัน กองกำลังทั้งหลายมักจะเก็บสิ่งสำคัญเอาไว้ใต้พื้นดิน จากนั้นจึงใช้ค่ายอาคมที่แข็งแกร่งปกคลุมทับคุ้มกันเอาไว้
ในจุดนี้ สิ่งมีชีวิตใดก็น่าจะมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน
ในเมื่อลั่วฉวนคิดได้ เหวินเทียนจีและคณะก็ไม่พลาดเล็งเห็นประเด็นนี้
หลังการสำรวจขั้นต้น ที่พวกเขาได้พบก็มีเพียงแต่ซากปรักหักพังที่แทบไร้ค่าปรากฏบนชั้นผิวดิน
คนจำนวนหนึ่งรวมเหวินเทียนจีตอนนี้จึงมารวมตัวกัน พวกเขาคิดใช้โอกาสที่ยังมีอยู่ทำการสำรวจให้ลึกลงไป
ทางด้านเอเลน่า ชาวทะเล และเหล่าสัตว์อสูรราชวงศ์ที่กำลังถ่ายทอดสดต่างก็ค่อนข้างพอใจที่จะได้มีอะไรคืบหน้าบ้าง
“สิ่งปลูกสร้างชั้นผิวดินถูกทำลายหมดสิ้น” เหวินเทียนจีถอนหายใจ “ส่วนใหญ่เหลือเพียงแต่โครงสร้าง วัสดุเป็นโลหะทั้งสิ้น แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
ม่านพลังวิญญาณที่ถูกถอนออกไปคราวแรกตอนนี้กลับคืนมา ทุกคนต่างใช้ม่านพลังวิญญาณปกคลุมตนเอง นี่ไม่ใช่เพราะสภาพแวดล้อมของโบราณสถานแห่งนี้เป็นภัยคุกคาม แต่เพราะคุณภาพอากาศที่เลวร้าย
ฝุ่นในฟากฟ้าที่ปลิวว่อนไปมา กลิ่นของดินที่แทบรับรู้รสได้ในปากผ่านการหายใน เหล่านี้คือมลพิษทางอากาศที่ร้ายแรงอย่างมหาศาล
ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้ม่านพลังวิญญาณเป็นตัวกรองอากาศ
“ตามปกติแล้วใต้ดินมักจะเป็นพื้นที่ซึ่งมีสภาพดีกว่าด้านบน” เหวินเทียนจีหันมองไกลออกไป “จากประสบการณ์ข้า ความเป็นไปได้ที่พื้นที่ศูนย์กลางตรงนั้นจะมีทางเข้าค่อนข้างสูงเลยทีเดียว”
ที่สุดปลายสายตาค่อนข้างพล่ามัว สิ่งเดียวที่เห็นคือสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ที่คล้ายเชื่อมต่อผืนฟ้ากับพื้นดิน มันคล้ายถูกตัดออกด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่จนเป็นเสายักษ์ล้มนอนกับพื้น
พิจารณาจากทิศทางถนนที่ผุพัง สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นั้นสมควรเป็นศูนย์กลางของโบราณสถานแห่งนี้
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ขนาดของโบราณสถานแห่งนี้จะเกินกว่าจินตนาการคาดถึง ศูนย์กลางที่ว่าอาจเป็นแค่ของพื้นที่แถบนี้
แต่ไม่ว่าด้วยอะไร ประเด็นคือการไปสำรวจที่นั่นก่อน
“…อืม ทางด้านนั้นมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ตั้งอยู่ พวกเราน่าจะไปสำรวจดูกันได้” เอเลน่าตระหนักพบเห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์ที่เรียกว่าเห็นชัดแต่ไกล ตอนนี้จึงชักชวนกลุ่มที่ไม่ทราบว่าจะไปสำรวจตรงไหน เพื่อไปสำรวจสถานที่ซึ่งเด่นสะดุดตา
หรือก็คือพวกมากลากไป? ลั่วฉวนดื่มโคล่าไปพลางรอรับชม
แน่นอนว่าเขาไม่คิดไปเช่นเดิม ระยะทางค่อนข้างไกล สภาพแวดล้อมยังไม่ดี อยู่ที่ร้านรับชมการถ่ายทอดสดดีกว่าเป็นไหน
แต่ก็เห็นได้ชัด ว่าลูกค้าทั้งหลายในร้านไม่ทราบความคิดของลั่วฉวน
“เถ้าแก่ โบราณสถานครั้งนี้ดูน่าสนใจไม่ใช่น้อย ท่านไม่คิดไปรับชมหน่อยหรือ?” ปู้หลี่เกื๋อก้าวเดินเข้ามาถึงหน้าโต๊ะเพื่อเอ่ยคำถาม
“ไม่ไป” ลั่วฉวนส่ายศีรษะ
“เพราะอะไรกัน?” ปู้หลี่เกื๋อเกิดสงสัยขึ้นอีก “เถ้าแก่ก็เหมือนจะสนใจไม่ใช่หรือ?”
ในความเห็นของเขา ลั่วฉวนน่าจะชอบสิ่งที่เกินคาดคิด เช่นการสำรวจเหตุระเบิดโดยเย่ว์หลิงที่เทือกเขาจิ่วเหยาไม่นานมานี้ ครั้งนั้นเขายังมุ่งไปสำรวจด้วยตนเอง
“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าไปรับชมสักเท่าไหร่” ลั่วฉวนกล่าวตอบ
และยังมีอีกเหตุผลสำคัญ เขาเพิ่งบอกกล่าวกับอานเหวยหยาไปว่าไม่สนใจ หากตอนนี้เลือกไปก็จะกลายเป็นกลับคำแล้ว
“เรื่องนี้… ก็ได้” ปู้หลี่เกื๋อไม่อาจหาข้อโต้แย้ง ดังนั้นจึงทำได้เพียงเดินกลับไป
รับชมแผ่นหลังอีกฝ่าย ลั่วฉวนพลันนึกถึงเย่ว์หลิงขึ้นมา
ไม่นานมานี้นางมาอวดอาวุธหนักที่ปรับปรุงใหม่แล้ว หลังจากนั้นก็แทบไม่เคลื่อนไหวอะไรอีก ตอนนี้มีซากปรักหักพังทางอารยธรรมวิทยาศาสตร์ มันน่าจะช่วยทำให้นางเกิดแรงใจอะไรได้บ้าง
แน่นอนว่าที่โบราณสถานครั้งนี้ สิ่งมีค่าสมควรเป็นข้อมูล
มิติของโบราณสถานมันเผยความพิเศษและเสถียรภาพมากพอ กระทั่งว่าเป็นขอบเขตราชันระดับสูงสุดยังไม่อาจสร้างความเสียหาย เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงสามารถเร่งรีบบินเดินทางกันได้
ด้วยความเร็วที่ค่อนข้างมาก เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมายซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ และยิ่งเข้ามาใกล้เท่าใด มันก็ยิ่งใหญ่โตมากขึ้นเท่านั้น
สภาพของมันเปรียบดังภูเขาตั้งสูงโดยไม่อาจมองเห็นสุดปลายยอด ผนังกำแพงของมันเต็มไปด้วยริ้วรอยราวโดนของมีคม ทั้งยังปรากฏรอยแตกร้าวขนาดใหญ่กระจายทั่วประหนึ่งแผลเป็น
แม้กระนั้นมันก็ยังถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในโบราณสถาน เป็นสถานที่ซึ่งสามารถดึงดูดสายตาได้แต่ไกล
“หากเป็นพวกเราคงไม่มีทางสร้างของใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นได้” จี้อู๋ฮุยมองขึ้นไป คำของเขาเปี่ยมด้วยความจริงจัง “เหตุใดอารยธรรมอันรุ่งโรจน์เช่นนี้ถึงกลายสภาพเป็นเช่นที่เห็น? หากไม่ใช่เพราะปรากฏในโบราณคงไม่เชื่อแน่ว่าจะเรื่องราวเช่นนี้อยู่จริง”
“มนุษย์สร้างหายนะ หรือเป็นหายนะทางธรรมชาติกันนะ” เหวินเทียนจีถอนหายใจ “หวังว่าอารยธรรมของพวกเขาจะยังมีทางไปต่อ หากไม่เช่นนั้นที่หลงเหลือไว้ก็มีเพียงวัตถุที่ผุพังเหล่านี้”
เวลานี้แม้เป็นชาวไซเรนที่คึกคักยังหยุดพูดกล่าวและหัวเราะ การได้เผชิญหน้ากับเศษซากอารยธรรมอันยิ่งใหญ่สุดกู่ที่ประหนึ่งสิ้นชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ต้องถอนหายใจกันออกมา