ตอนที่ 1069
“จริงด้วย เถ้าแก่ ยังมีอีกเรื่อง” เหยาซือเย่ว์คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้
“เรื่องอะไรกัน?” ลั่วฉวนเอ่ยถาม
“ดอกไม้นี้กินได้ แต่มีผลข้างเคียงอยู่บ้าง” เหยาซือเย่ว์ใช้มือไพร่หลังพลางเผยยิ้ม
ลั่วฉวนตระหนักพบเห็นหู่ขวงและผู้อื่นต่างก็เผยยิ้มเช่นเดียวกัน
“ผลข้างเคียง?” เหยาซือหยานเกิดสงสัย
“พี่หญิงลองสิ” เหยาซือเย่ว์เผยยิ้มซุกซนออกมา
“ไม่เป็นไร ผลข้างเคียงนั่นคงต้องประหลาดแน่” เหยาซือหยานลูบศีรษะเหยาซือเย่ว์พร้อมกล่าวปฏิเสธ
คล้ายว่าอีกฝ่ายจะทราบผลลัพธ์กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าในบรรดาลูกค้าใครเป็นผู้โชคร้าย
“พืชพวกนี้มีชื่อหรือไม่?” ลั่วฉวนมองทั้งสองคนพลางถาม
“ชื่อหรือ?” เหยาซือเย่ว์หันกลับมารับคำ “ครั้งพวกเราไปถึงตั้งชื่อให้ว่าดอกครามเยือกแข็ง เถ้าแก่คิดเห็นยังไง?”
ดอกครามเยือกแข็ง? ถือว่าตรงตามรูปลักษณ์
“พวกเจ้าพบมันเป็นกลุ่มแรก ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ในการตั้งชื่อมัน” ลั่วฉวนรับคำ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?” หู่ขวงได้ยินคำของลั่วฉวนจึงเกิดประหลาดใจ “อันที่จริงข้าว่าชื่อดอกโลหะฟังดูน่าสนใจกว่า”
ถัดจากนั้นเขาจึงโดนอวี่เว่ยลากตัวไป
ประเด็นเรื่องการตั้งชื่อจบลง ลั่วฉวนเก็บดอกครามเยือกแข็งใส่ระบบมิติเก็บของ
ตอนนี้ยังเป็นช่วงทำการของร้าน เรื่องการตกแต่งพื้นที่ส่วนต่อขยายต้องเอาไว้หลังปิดร้านแล้ว
ทางด้านโบราณสถาน เหยาฮุยเฉินและคณะเคลื่อนผ่านเส้นทางมา จากนั้นจึงบินมุ่งหน้าไปยังอาคารใหญ่สุดสายตา
ระหว่างทาง พวกเขายังเกิดสะท้อนใจต่อสภาพแวดล้อมของซากปรักหักพังของที่นี่
ทั้งคณะเดินทางอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งถึงพื้นที่ซึ่งมีดอกครามเยือกแข็งเติบโตอยู่
หยวนก่วยและคณะต่างกลับกันมาคนแล้วคนเล่า จะมีก็เพียงลูกค้าจำนวนหนึ่งอยู่ต่อเพื่อค้นหาร่องรอยของอารยธรรม
ดอกครามเยือกแข็งหาพบได้ไม่ยากตามผนังกำแพงโลหะ การค้นพบรูปแบบชีวิตกึ่งโลหะทำเอาพวกเขาตื่นเต้นยินดี
“อย่าเพิ่งเก็บ รวบรวมผงบนพื้นก่อน จากนั้นสำรวจรูปแบบการเจริญเติบโตของพวกมัน จากนั้นค่อยวิเคราะห์ดูว่าสามารถเคลื่อนย้ายไปเพาะปลูกได้หรือไม่” เหยาฮุยเฉินออกคำสั่งอย่างเชี่ยวชาญ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาค้นพบพืชพรรณประหลาด และสิ่งแรกที่ต้องทำคือการรักษาสภาพแวดล้อมที่ทำให้เติบโตได้ ถัดจากนั้นจึงค่อยเป็นกระบวนการเคลื่อนย้าย
อย่างไรแล้วพืชพรรณที่ถูกนำไปใช้เป็นยาวิเศษต่างก็ไม่ธรรมดา การเลี้ยงดูผิดวิธีอาจทำให้พวกมันตายได้
ยังไม่กล่าวถึงว่านี่คือพืชกึ่งโลหะที่เติบโตในพื้นที่ลึกใต้ดินอันมืดมิด ดังนั้นระวังไว้ก่อนไม่มีอะไรเสียหาย
พบเห็นเหล่านักปรุงยาและผู้อาวุโสกำลังจัดการงานส่วนของตน เหยาฮุยเฉินจึงเริ่มเดินไปหาเหวินเทียนจีที่กำลังศึกษาสถานที่
“จ้าวตำหนักเหวินพบเจออะไรบ้างหรือไม่?” เหยาฮุยเฉินเผยยิ้มกล่าวถาม
เขาค่อยได้ตระหนักตอนนี้ ว่าเหวินเทียนจีกำลังจับจ้องสัญลักษณ์บนผนังอย่างตั้งใจ
เหวินเทียนจียิ้มตอบ “อาจจะ”
“มันคืออะไรกัน? ไม่คล้ายใช่ค่ายอาคม” เหยาฮุยเฉินมองที่สัญลักษณ์
“เหมือนจะเป็นตัวอักษร” เหวินเทียนจีถอนหายใจ “แต่ว่ามันเล็กมากจนยากวิเคราะห์อะไรได้”
“ไม่ใช่ว่าตำหนักจักรกลสวรรค์มีตำราโบราณมากมายที่สุดในทวีปเทียนหลันหรอกหรือ? ไม่เคยมีบันทึกตัวอักษรเหล่านี้ไว้บ้างเลย?” เหยาฮุยเฉินเอ่ยถาม
เหวินเทียนจีส่ายศีรษะ “ไม่มีเลย นอกจากนี้แล้วยังรู้สึกว่าโครงสร้างรูปแบบที่นี่ มันไม่คล้ายเคยปรากฏในทวีปเทียนหลันจริงไหม?”
“นั่นสินะ” เหยาฮุยเฉินครุ่นคิดถึงรูปแบบของโบราณสถานตั้งแต่มาถึง มันค่อนข้างแตกต่างจากทวีปเทียนหลันอย่างสิ้นเชิง “หรือจะเป็นอารยธรรมของต่างโลก? หรือว่าจะเป็นอารยธรรมของทวีปเทียนหลันตั้งแต่ครั้งโบราณ?”
“ทัณฑ์พิบัติบรรพกาลเกิดขึ้นนานแล้ว ในเวลานั้นแทบทำเอาประวัติศาสตร์เลือนหายหมดสิ้น ตอนนี้มีเพียงการกล่าวถึงผ่านบันทึกเพียงเล็กน้อย กระทั่งข้ายังสงสัยว่ามันจะต้องเป็นตัวตนที่เกินจินตนาการของพวกเรา บันทึกทั้งหมดที่เคยมีอาจถูกลบล้างไปจนสิ้น” เหวินเทียนจีคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะจมดิ่งในห้วงความคิด
“ลบเลือนประวัติศาสตร์? บางทีอาจต้องเป็นขอบเขตแห่งเทพแล้วกระมัง?” เหยาฮุยเฉินที่รับฟังเหวินเทียนจีเผยข้อคาดเดาอันยิ่งใหญ่ออกมา “พอได้ฟังคำของเจ้าแล้วเหตุใดข้ารู้สึกขอบเขตราชันที่เป็นอยู่นี้ด้อยค่ายิ่งนักกันนะ?”
“ก็แค่ความรู้สึก อย่าได้ใส่ใจไปเลย” เหวินเทียนจียิ้มตอบ “แต่บางทีเรื่องราวเหล่านี้เผ่าพันธุ์มังกรผู้ลึกลับอาจจะทราบก็ได้นะ”
ที่ร้านต้นตำรับ หู่ขวงและคณะกำลังบอกเล่าให้ลูกค้าผู้อื่นได้ทราบถึงสิ่งที่พบเห็นในโบราณสถาน
ด้วยพวกเขาเป็นศูนย์กลาง ลูกค้าคนอื่นต่างเข้ามาล้อมวงรับฟัง ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นศิษย์จากทั้งสี่สถาบัน
การถ่ายทอดสดและฟังจากปากคำผู้อื่นเป็นวิธีการได้ทราบเรื่องราวซึ่งแตกต่างกัน เหล่านั้นสามารถนำมารวมเข้าด้วยกันได้
“พวกเจ้าอาจไม่เชื่อ ตอนนั้นข้ารับรู้ได้ว่าใต้ดินเกิดอะไรผิดปกติจึงต่อยลงไปจนพบอุโมงค์เข้า” หู่ขวงบอกเล่าออกมาพร้อมทำท่าทีประลอง ผู้รับฟังรอบด้านจึงรับคำกันอย่างจริงจัง
การถ่ายทอดสดของเอเลน่าไม่ได้เผยฉากที่หู่ขวงค้นพบถ้ำให้เห็นแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดปฏิเสธเรื่องเล่า
“หู่ขวงเริ่มโม้เหม็นอีกแล้ว” เหยาซือเย่ว์อดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ
“ยังไม่ชินกับนิสัยเขาหรือ” เหยาซือหยานยิ้มตอบ “ก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไร”
ลั่วฉวนกำลังรับชมโทรศัพท์วิเศษ ตอนนี้เองที่ตระหนักพบเห็นบางสิ่งก่อนจะมองไปนอกร้าน หยวนก่วยกำลังฉีกมิติเดินทางกลับมาและเข้ามาด้านในร้าน
“อาจารย์” ปู้หลี่เกื๋อที่กำลังฟังเรื่องเล่าจากหู่ขวงเดินเข้ามาเรียกหา
หยวนก่วยพยักหน้ารับโดยไม่กล่าวอะไร
ปู้หลี่เกื๋อพบว่ามีอะไรผิดปกติ เหตุใดอาจารย์ไม่พูดกล่าว
“หยวนก่วย ได้ยินว่าไปยังโบราณสถานเพื่อหาวัตถุดิบหรือ?” เหยาซือหยานรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ “ดอกครามเยือกแข็งใช้ทำอะไรได้กัน?”
หยวนก่วยหยุดพร้อมหันมองเหยาซือหยานที่รั้งตนเอาไว้ ทางด้านเหยาซือหยานก็เพียงสงสัยจึงถามไปเรื่อย ตอนนี้เองที่ในใจเขากำลังจำยอม
ช่างมัน ยังไงไม่ช้าก็ต้องโดนพบเห็นอยู่แล้ว ปิดบังไปก็คงไม่ได้อะไร
“ใช่” หยวนก่วยพยักหน้ารับพร้อมตอบคำ ทันใดนี้เองที่ฟันเผยประกายแสงสาดส่องออกมา
มันเป็นแสงสว่างที่เหมือนดังดอกครามเยือกแข็ง
“นี่เป็นผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” หยวนก่วยกล่าวเสริม
เหยาซือหยานชะงัก กระทั่งลั่วฉวนยังต้องเผลอมองมาถึงสองรอบราวกับไม่แน่ใจสิ่งที่เห็น
“เป็นผลข้างเคียงที่เจ้ากล่าวถึงสินะ” เหยาซือหยานหันไปยิ้มให้เหยาซือเย่ว์
“รสชาติล่ะ?” ลั่วฉวนมุ่งไปที่ประเด็นอื่น
“ค่อนข้างดี ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและเสริมการไหลเวียนของพลังวิญญาณได้ดี” หยวนก่วยกล่าวตอบอย่างจริงจัง
ใบหน้าของเขาไม่ได้เผยสีหน้าใดออก ทว่าริมฝีปากนั้นเผยประกายแสงสีครามเย็นเยือกสาดส่อง กลายเป็นว่าเวลาเขาพูดนั้นทุกคนอดไม่ได้ที่จะจ้องไปยังปาก
ร่างหยวนก่วยเดินหายเข้าไปด้านหลังประตูโลหะของพื้นที่ส่วนขยายในร้าน หลายคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แม้กระทั่งลั่วฉวนยังแทบเผยยิ้มผ่านทางสายตา
พวกเขากำลังคาดเดากันว่าวหยวนก่วยจะต้องใช้เวลาเพียงใดกว่าจะกลับคืนสภาพเดิม
ระหว่างทางกลับจากโบราณสถานมายังร้านต้นตำรับ หยวนก่วยลองหลายวิธีการแล้ว ทว่าไม่มีใดที่สำเร็จ
อาการข้างเคียงของดอกครามเยือกแข็งกล่าวได้ว่าน่าสนใจเลยทีเดียว