ตอนที่ 1065
ลั่วฉวนไม่ค่อยชอบบรรยากาศตึงเครียด แต่ชอบบรรยากาศผ่อนคลายเหมือนเช่นที่ร้านต้นตำรับตอนนี้
การถ่ายทอดสดของเอเลน่ายังคงดำเนินต่อไป หลังผ่านช่วงเวลาแห่งความรู้สึกนึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง สมาชิกคณะสำรวจจึงเริ่มมุ่งหน้าเข้าสู่อาคารผ่านทางเข้าที่ผุพัง
แม้บอกว่าดีที่สุดหากเทียบกับสิ่งปลูกสร้างอื่นรอบด้าน แต่มันก็ยังมีหลายส่วนที่พังทลาย ทั้งรูใหญ่ที่สามารถเข้าไปยังอีกด้านได้มีปรากฏอยู่มากมาย เช่นนี้จึงทำให้คณะสำรวจประหยัดเวลาไม่ต้องเปิดเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้อาคารเสียหาย
“เหมือนว่าจะไม่แตกต่างจากภายนอกสักเท่าไหร่” เอเลน่ามองซากปรักหักพังรอบด้านพร้อมกล่าวข้อสรุปออกมา “เว้นก็แต่จะมืดไปหน่อย”
แสงจากภายนอกไม่อาจส่องผ่านเข้ามายังด้านในอาคารได้ดีนัก เพราะรูเหล่านั้นเหลื่อมล้ำกันไปมา ทำให้ทัศนการมองเห็นภายในค่อนข้างแย่
ตอนนี้เองที่ปรากฏแสงสว่างขึ้น ม่านพลังวิญญาณของผู้คนรอบด้านเริ่มเผยประกายแสงจนส่องสว่างพื้นที่ด้านในอาคาร
ม่านพลังวิญญาณตอนนี้จึงใช้เป็นได้ทั้งตัวกรองอากาศและแสงส่องทาง
พื้นรอบด้านเผยตัวออก พวกมันถูกสร้างขึ้นด้วยโลหะพิเศษที่มีฝุ่นหนาเตอะปกคลุม เมื่อหู่ขวงเหยียบไปจึงถึงกับหล่นไปด้านล่าง เป็นผลให้ไม่มีผู้อื่นกล้าทดสอบความทนทานของพื้นอีก
“ทำไมมันเปราะบางขนาดนี้กัน?” หู่ขวงเผยเสียงดังก้องจากเบื้องล่าง “เหมือนว่าตรงนี้จะมีอะไร ลองลงมาดูกันหน่อย”
“หือ? เหมือนว่าจะมีการพบเจออะไรบางอย่างเข้าแล้ว ไปรับชมกัน” เอเลน่าตอนนี้กำลังศึกษาลวดลายบนกำแพง พอได้ยินเสียงเรียกของหู่ขวงจึงหันไปกล่าวกับโทรศัพท์วิเศษ
หู่ขวงตอนนี้อยู่ในโครงสร้างที่คล้ายทางเดิน ผนังรอบด้านและพื้นสร้างขึ้นด้วยโลหะพิเศษสีขาวเงินที่คล้ายจะเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันผันแปร
เพราะอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมแบบปิด ดังนั้นมันจึงยังคงอยู่ดีต่างจากสิ่งอื่นบนชั้นพื้นผิว
หู่ขวงสัมผัสกำแพงโลหะที่ยังดูสมบูรณ์ พริบตาชิ้นส่วนขนาดใหญ่กลับกลายเป็นฝุ่นผง
มันดูดีแค่ภายนอก
ไม่ทราบว่าที่นี่มันผ่านกาลเวลามายาวนานเพียงใด วัสดุทั้งหมดในที่แห่งนี้จึงถูกกาลเวลากัดกร่อน
“เส้นทางหรือ? ใช้ลงไปต่อได้หรือไม่?” จี้อู๋ฮุยจรดปลายนิ้วที่คางพลางครุ่นคิด “มันน่าจะมีโครงสร้างใต้ดินอีกมากภายใต้สิ่งปลูกสร้างขนาดมหึมานี่กระมัง?”
“นั่นเป็นข้อคาดเดา ไม่มีผู้ใดทราบว่าอารยธรรมนี้เป็นดังเช่นที่พวกเราคิดหรือเปล่า” เหวินเทียนจีส่ายศีรษะ “ไปกันต่อให้สุดปลายทางก่อน หวังว่าจะไม่คว้าน้ำเหลว”
“ดังทุกคนได้เห็น สุดปลายของเส้นทางนี้ยังไม่อาจมองเห็นได้ แต่พิจารณาจากทิศทาง มันกำลังนำมุ่งหน้าสู่ใต้ดินลึกลงไป ข้ารับรู้ได้ว่าตอนนี้อยู่ใต้ชั้นผิวดินแล้ว” เอเลน่าอธิบายออกมา โทรศัพท์วิเศษยังคงลอยตามหลัง ข้อความแชทสดปรากฏไม่มีทีท่าจะหยุด
“รู้สึกเหมือนโบราณสถานนี้ไม่มีอะไร ทั้งหมดที่พบเจอพอสัมผัสเข้าก็เป็นฝุ่นเสียแล้ว”
“ใต้ดินสมควรมีอะไรเก็บเอาไว้ โบราณสถานแห่งนี้ต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่”
“ไม่ใช่ธรรมดา? ที่เห็นก็ซากปรักหักพัง”
“…”
ความคิดเห็นหลากหลายถูกกล่าวกันออกมา ทุกคนตอนนี้ต่างเผยความเห็นของตนเอง
ลั่วฉวนที่รับชมการถ่ายทอดสดพลันรู้สึกราวกับลืมอะไรบางอย่างไป
หลังดื่มโคล่าและครุ่นคิด ความทรงจำเมื่อคืนพลันผุดขึ้นมา
เหมือนระบบจะกล่าวว่าระดับความละเอียดของโลกในโหมดทั่วไป คล้ายจะเข้าถึงข้อกำหนดแล้ว
ตอนนี้คงต้องปล่อยไปก่อน ไว้พูดกล่าวกันคืนนี้อีกครั้งหนึ่ง
การถ่ายทอดสดของเอเลน่ายังคงดำเนิน ด้วยความสงสัย นางคิดไปให้จนถึงสุดทางของอุโมงค์ทางเดิน
อานเหวยหยากล่าวว่าโบราณสถานแห่งนี้ “พิเศษ”
แม้ว่าอารยธรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงมีความพิเศษ แต่ลั่วฉวนมองว่าไม่ใช่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
เพราะเท่าที่เห็นจนถึงตอนนี้ ก็มีเพียงซากปรักหักพังไร้ค่า หากจะได้รับอะไรกลับมา คงเป็นความสะเทือนใจต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น
บางทีคณะสำรวจอาจค้นพบอะไรบางอย่างจากอาคารแห่งนี้ก็เป็นได้
เหยาซือหยานไม่อาจยับยั้งความสงสัย ตอนนี้จึงส่งข้อความไปสอบถามอานเหวยหยาผ่านทางโทรศัพท์วิวเศษ
“ข้าเพียงทราบว่าโบราณสถานครั้งนี้จะมีผลตอบแทนมอบให้ ส่วนว่าจะมีอะไรเก็บซ่อนไว้และมากมายหรือไม่ ส่วนนี้ไม่ทราบแล้ว”
เช่นนี้เหยาซือหยานค่อยถอนหายใจโล่งอกได้อีกครั้ง
เส้นทางโลหะทอดยาว เส้นโค้งของมันที่ดำเนินยากตรวจพบ แต่ที่ทราบคือมันกำลังนำทางมุ่งสู่ใต้ดิน
“ไม่นึกเลย โชคที่ค่อนข้างดีของหู่ขวงจะนำพวกเรามาพบเส้นทางได้ง่ายดายถึงขนาดนี้” อวี่เว่ยเผยยิ้มกล่าวคำขึ้นมา
แม้ว่าเส้นทางเบื้องหน้ามีอะไรรออยู่ยังไม่ทราบ แต่ทุกคนตอนนี้ไม่เกิดความว้าวุ่นใจกันแล้ว แต่เป็นความมั่นใจต่อกำลังที่มี
รวมเข้ากับได้ทราบก่อนจะเดินทางมา ว่าโบราณสถานแห่งนี้ไม่มีอันตรายใดร้ายแรง ดังนั้นทั้งคณะสำรวจจึงผ่อนคลายกันได้
เอเลน่าและไซเรนผู้อื่นยังคงถ่ายภาพไปเรื่อย
“เหมือนตรงหน้าจะสุดทางแล้ว” เหยาซือเย่ว์กล่าวคำขึ้น
ที่สุดปลายของเส้นทาง มันคือประตูโลหะสีทองปิดแน่น ทั้งยังมีลวดลายอันงดงามซับซ้อนแกะสลักเอาไว้
มันคล้ายเป็นโทเทมอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังมีลวดลายบางส่วนที่ราวกับสื่อสารพลังแห่งฟ้าดินได้ มันคือชิ้นงานศิลปะอันงดงาม
ขณะหู่ขวงกำลังจะก้าวเดินไปเปิดประตู เหวินเทียนจีพลันหยุดเขาเอาไว้ “รอเดี๋ยว ให้ข้าถ่ายภาพก่อน นี่อาจเป็นค่ายอาคมของอารยธรรมที่แตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิงก็เป็นไปได้”
ความเชี่ยวชาญด้านค่ายอาคมของเหวินเทียนจีไม่จำเป็นต้องให้บรรยาย ตอนนี้ค้นพบว่ามีสิ่งที่หลงเหลือจากอารยธรรมอื่นปรากฏในโบราณ มันทำให้เขาเกิดรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว กระทั่งว่าเขาเผยยิ้มแย้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง
กระนั้นลั่วฉวนที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่พลันเกิดสงสัยต่อลวดลายบนประตูว่าเป็นเพียงแค่การประดับตกแต่ง แต่มันก็อาจเป็นอะไรที่คล้ายกับค่ายอาคมคุ้มกันได้
คงมีเพียงพระเจ้าจึงทราบว่าอารยธรรมที่หลงเหลือในโบราณสถานแห่งนี้เป็นการวิวัฒนาการโดยผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสตร์อันลึกลับเข้าด้วยกัน บางทีมันอาจมีความเชื่อมโยงกับค่ายอาคมของทวีปเทียนหลันมากกว่าที่คิด
ตามที่ลั่วฉวนเข้าใจ วิธีการสร้างอาคม มันเทียบเท่ากับการสื่อสารชักนำพลังงานแห่งฟ้าดินมาใช้งาน กำหนดสูตรและกฎที่เฉพาะเจาะจงขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะมีอารยธรรมที่ศึกษาค้นคว้าสองอย่างนี้ไปด้วยกัน
น่าทึ่ง
ผลลัพธ์นั้นเกินกว่าลั่วฉวนคาดคิด ทันทีที่ประตูโลหะถูกหู่ขวงแตะสัมผัส มันพลันถล่มลงกลับกลายเป็นละอองโลหะกองกับพื้น
ด้วยแสงจากม่านพลังวิญญาณสาดส่อง ฝุ่นโลหะที่ยังคงฟุ้งและกองกับพื้นจึงเผยประกายแสงงดงามออกมา
ทว่าคณะสำรวจไม่ได้สนใจโลหะเหล่านี้แต่อย่างใด พวกเขาเพียงแต่ส่นใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังประตู
ในห้วงความมืดอันยิ่งใหญ่ ดวงดาวและจุดแสงสีน้ำเงินเย็นเยือกได้เคลื่อนไปมาราวจังหวะการหายใจ มันเปรียบดังฟากฟ้าดวงดาวท่ามกลางท้องฟ้าฤดูร้อนยามค่ำคืน
“งดงามมาก” เหยาซือเย่ว์กล่าวคำเสียงเบาออกมา
“เป็นฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว” เอเลน่าเผยคำด้วยอาการตื่นเต้น
ทุกคนต่างตอบสนองแทบคล้ายคลึงกัน พวกเขาดื่มด่ำกับความงดงามอันมหัศจรรย์ตรงหน้า ผู้ใดกันจะคาดคิด ว่าสิ่งที่ชวนน่าทึ่งเช่นนี้จะอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังในโบราณสถานได้
กลุ่มลูกค้าที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ต่างก็นึกทึ่งเช่นเดียวกัน
ลั่วฉวนเกิดสนใจ กระทั่งลุกขึ้นยืนพร้อมสงสัยถึงสิ่งที่สาดส่องเป็นประกายในห้วงความมืด