ตอนที่ 1070
ลูกค้าหลายคนต่างหันสายตามองไปยังโต๊ะรับเงิน พวกเขาไม่ทราบว่าเหตุใดเหยาซือหยานหัวเราะออกมา พวกเขาพลาดฉากปากเรืองแสงของหยวนก่วยเมื่อครู่กันไป
แต่ต่อให้ตอนนี้ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องได้ทราบ เหตุการณ์ครั้งหยวนก่วยกินดอกครามเยือกแข็งเข้าไป ลูกค้าหลายคนที่อยู่ในคณะสำรวจต่างได้เห็น อีกทั้งแสงยังไม่ได้เลือนหายไปไหน ตลอดทั้งวันหยวนก่วยจะไม่เปิดปากพูดเลยก็ไม่ได้จริงไหม?
ที่ยังไม่ทราบตอนนี้ คือผลข้างเคียงของดอกครามเยือกแข็งจะคงอยู่อีกนานเพียงใด เพราะจากปากคำของหยวนก่วย รสชาติของมันค่อนข้างดีเอาเรื่อง
ในเมื่อดอกครามเยือกแข็งอยู่ที่ใต้โบราณสถาน รวมเข้ากับเรื่องที่เพิ่งค้นพบ น่าจะยังไม่มีการนำมาทำเป็นอาหารใดในช่วงนี้
แต่ลั่วฉวนเกิดรู้สึก ว่าการที่ลูกค้าทั้งหลายได้ค้นพบสายพันธุ์รูปแบบชีวิตใหม่ มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะบ่มเพาะดอกครามเยือกแข็งขึ้นมาที่นี่
“กล่าวไปแล้ว วันนี้ยังไม่ได้เล่นเกมเลย” เหยาซือเย่ว์ที่กำลังพูดคุยกับเหยาซือหยานนึกขึ้นมาได้ “เมื่อวานที่ออรันพบเด็กสาวคนหนึ่ง เลยสัญญากันว่าจะไปล่าสัตว์อสูรด้วยกันกับนาง”
จากมุมมองที่กล่าวถึงนี้ ลูกค้าของร้านต้นตำรับได้มองโหมดทั่วไปเป็นโลกจริงอีกแห่งหนึ่งแล้ว มันไม่มีแนวคิดที่ว่าตัวละครในเกมแตกต่างกับประชากรที่มีชีวิตจริง
“นัดกันเอาไว้แล้วก็อย่าพลาดนัด ไปเถอะ” เหยาซือหยานยิ้มรับ
“พี่หญิงล่ะ?” เหยาซือเย่ว์เอ่ยถาม
“อย่าได้ลืมว่าข้ายังอยู่ระหว่างทำงาน” เหยาซือหยานเกิดรู้สึกว่าข้อแก้ตัวนี้ฟังดูไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไหร่
“อืม… ข้าเกือบลืมว่าพี่หญิงเป็นเสมียนร้าน” เหยาซือเย่ว์หันมองทางลั่วฉวนผู้ที่กำลังเอกเขนกก่อนจะโบกมือ “งั้นข้าขอตัวก่อน”
ด้านนอกนครจิ่วเหยา สตรีในชุดกระโปรงสีดำได้ร่อนลงถึงพื้น ใบหน้าอันจริงจังของนางมองยังวังวนด้านบนฟากฟ้า นางกำลังรับรู้ถึงพลังวิญญาณอันหนาแน่นรอบด้าน
“เหลือเชื่อ ค่ายอาคมระดับนี้เกินกว่าสามัญสำนึกยิ่งนัก เกรงว่าคงมีแต่จ้าวตำหนักเหวินจึงสร้างของเช่นนี้ขึ้นมาได้”
“ศิษย์จากทั้งสี่สถาบันใหญ่ รวมถึงนักปรุงยาจากหุบเขาโอสถ และยังมีคนของภูเขาจักรวาล… เหมือนดังข่าวลือไม่มีผิด”
“นครจิ่วเหยา… นครหลวงแห่งจักรวรรดิเทียนชิง พิจารณาจากระดับความเจริญรุ่งเรืองตอนนี้ มากพอจะกล่าวว่าเป็นเมืองเป้าหมายเดินทางของเหล่ายอดฝีมือเทียมฟ้า…”
ค่ายอาคมเคลื่อนย้ายศูนย์กลางยังคงทำงานด้วยตัวของมันเองครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งจะมีคนของกองกำลังหลากหลายก้าวเดินออกมาและมุ่งหน้าเข้าไปยังนครจิ่วเหยาที่อยู่ตรงหน้า
แม้ว่าสภาพอากาศไม่ดี ทางเข้านครจิ่วเหยาก็ยังคงเนืองแน่น ผู้ฝึกตนและคนทั่วไปต่างแห่แหนกันมาจากทั่วทิศ และหากต้องการเข้าเมือง พวกเขาจำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบของกองทหารรักษาการณ์เสียก่อน
แน่นอนว่าจะมีก็เพียงคนธรรมดาที่เข้าออกเมืองตามปกติ หากเป็นยอดฝีมือสูงส่ง พวกเขาจะมีอภิสิทธิ์ไปเยือนได้ทุกสถานที่ เหมือนดังเหยาฮุยเฉินที่ฉีกมิติเปิดเส้นทางมุ่งตรงไปยังร้านต้นตำรับได้
สตรีในชุดดำเกิดความลังเล ราวกับนางพิจารณาว่าควรเข้าร่วมกลุ่มคนเข้าเมืองตามกันไปดีหรือไม่ และสุดท้ายนางก็ก้าวเดินออกไป
เพราะพบเห็นหลายคนในชุดเครื่องแบบอยู่ใกล้เคียงทหารรักษาการณ์ พวกเขาเหล่านั้นจะคอยถือเอกสารแจกผู้ซึ่งกำลังเข้าเมือง ราวกับว่ามันคือสื่อแนะนำอะไรสักอย่าง
กระบวนการเข้าสู่ด้านในเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น สตรีในชุดกระโปรงดำเดินผ่านเส้นทางในนครจิ่วเหยาที่เปียกชิ้น แน่นอนว่าตัวนางมีม่านพลังวิญญาณคอยกันน้ำฝนออกไป
“สนใจเรื่องราวของนครจิ่วเหยาหรือร้านต้นตำรับหรือไม่?” นางอ่านทวนคำบนใบปลิวที่รับมา ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “น่าสนใจ”
ถัดจากนั้นนางค่อยเดินตามแผนที่บนใบปลิวสู่ร้านต้นตำรับ ทว่านางกลับเดินไปยังอีกทาง และเพราะความพลุกพล่านของผู้คนในนครจิ่วเหยา นางจึงไหลตามคนไปโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
…..
“กล่าวไปแล้วเถ้าแก่ วันนี้ข้าจะมีมิตรสหายมาพบด้วย” ลั่วฉวนที่เดินไปหยิบโคล่าจากชั้นวาง พอกลับมาเหยาซือหยานก็กล่าวคำขึ้น
“มิตรสหายหรือ?” ลั่วฉวนทวนคำพลางเปิดฝาขวดโคล่า
“ครั้งหนึ่งข้าเคยทำงานให้ภาคีเงาสังหาร เรื่องนี้เถ้าแก่จำได้กระมัง?” เหยาซือหยานกล่าว
ลั่วฉวนนึกย้อน เรื่องนี้ผ่านไปนานขนาดทำเขาลืมเลือนไปแล้วจริง
และยังต้องกล่าว ว่าจากร่างของเหยาซือหยาน เขาไม่เคยได้เห็นออร่าของมือสังหารปรากฏ อีกทั้งเขายังจินตนาการไม่ออกว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเผยด้านแห่งการสังหารเช่นไร
“เถ้าแก่?” เหยาซือหยานกล่าวเรียกลั่วฉวนที่คล้ายปล่อยความคิดไหลไปไกล
ลั่วฉวนดึงสติกลับคืน “ข้าย่อมจำได้ เหมือนว่าครั้งนั้นภาคีเงาสังหารยังส่งคนมาตามลอบฆ่าปู้หลี่เกื๋อ และก็เป็นเจ้าช่วยคลี่คลายให้”
“ใช่ ใช่” เหยาซือหยานพยักหน้ารับพลางนึกย้อน “มิตรสหายข้าเป็นหัวหน้าของภาคีเงาสังหาร นางส่งข้อความมาว่าวันนี้มาพบกันที่ร้าน”
ลั่วฉวนยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการสื่อสารตามปกติของทวีปเทียนหลันสักเท่าไหร่ แต่ก็มองว่าน่าจะคล้ายโทรศัพท์วิเศษ
“ทราบแล้ว” ลั่วฉวนค่อยทราบว่าเหตุใดเหยาซือหยานบอกข่าวคราวนี้ให้ตนเองได้ทราบ
“แน่นางค่อนข้างหลงทิศบ่อย ข้าเลยกังวลว่านางจะมาไม่ถึงร้าน” เหยาซือหยานกล่าว
“ไม่ใช่ว่าภาคีเงาแสวงคอยแจกใบปลิวที่หน้าเมืองอยู่แล้วหรอกหรือ? หากตามแผนที่มาไม่น่ามีปัญหากระมัง?” ลั่วฉวนกล่าวไปพลางดื่มโคล่า
อย่างไรแล้วก็เป็นผู้ฝึกตน ความสามารถเช่นการอ่านแผนที่คงมีกระมัง?
“ข้าก็คาดหวังเช่นนั้น” เหยาซือหยานถอนหายใจ ราวกับนางไม่มั่นใจในตัวมิตรสหายแม้แต่น้อย
หลังผ่านถนนที่ค่อนข้างจอแจโดยไหลตามกระแสคนในนครจิ่วเหยามาเรื่อย สตรีในชุดดำค่อยถอนหายใจเบาพลางมองไปยังตรอกที่มีคนเข้าออก
“ในที่สุดก็มาถึง”
ลูกค้าหลายคนต่างหันมองด้วยความสงสัย ทว่าก็เท่านั้น
อย่างไรแล้วร้านต้นตำรับก็มีลูกค้าใหม่แวะเวียนมาทุกวัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้น่าใส่ใจสักเท่าใดนัก
จากภายนอก นางสมควรเพิ่งมาร้านต้นตำรับ เพียงแต่ไม่ทราบว่าตัวตนของนางพิเศษเช่นไร
หลังปรับสภาพอารมณ์ สตรีในชุดดำค่อยเดินเข้าตรอกไป สายตาของนางมุ่งตรงไปยังประตูร้านที่เปิดอยู่ รวมถึงมองไปยังซุ้มประตูหินที่ตั้งไว้ด้านข้างด้วย
สีหน้าของนางเกิดความสงสัยขึ้นมา เพราะไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไรจึงต้องนำหินก้อนใหญ่เช่นนี้มาวางไว้หน้าประตูร้าน
ครั้งฉินหยุนเอาซุ้มประตูหินมาวางไว้ตรงหน้าประตูร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างก็สงสัยและสับสน เพราะทวีปเทียนหลันไม่เคยมีการตกแต่งอะไรเช่นนี้มาก่อน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็คุ้นเคยกับการมีอยู่ของมัน ในเมื่อเป็นร้านต้นตำรับ พวกเขาก็คร้านจะหาเหตุผลมาทำความเข้าใจ
ซุ้มประตูหินก็ไม่ใช่อะไรอื่น เพียงแต่ลั่วฉวนอยากวางประดับไว้ก็เท่านั้น
“ร้านต้นตำรับแปลกประหลาดและลึกลับยิ่งนัก” สตรีในชุดดำพึมพำกับตนเอง ตอนนี้นางค่อยเผยยิ้มที่ใบหน้า “ซือหยานเป็นเสมียนร้านนี้งั้นหรือ? ดูดีกว่าตอนติดตามเราเสียอีก”