ตอนที่ 1103
ใกล้ถึงช่วงเที่ยง ลูกค้าทั้งหลายต่างกลับออกจากร้านกันไปทีละคน
บางคนยังได้พบเห็นลั่วฉวนกับเหยาซือหยานเดินกลับออกจากห้องลับ พวกเขาเผยสายตาสงสัย
พิจารณาจากโครงสร้างภายในร้าน ตรงนั้นไม่น่ามีพื้นที่แล้ว แต่บางทีมันอาจเป็นพื้นที่พิเศษที่ถูกนำมาเชื่อมต่อ
พวกเขาก็เพียงคิดไปเรื่อย อย่างไรแล้วมิติภายในร้านต้นตำรับแต่เดิมก็ผิดปกติอยู่แล้ว หากจะมีอะไรผิดปกติซ้อนความผิดปกติมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ
เหวินเทียนจียังคงนั่งบนเก้าอี้น้อยของตน สายตาจับจ้องดอกครามเยือกแข็งที่เติบโตบนผนัง ในมือเขาถือวัตถุที่คล้ายผลึกโปร่งแสง ปลายนิ้วเผยประกายแสงพลังวิญญาณออกมา ราวกับกำลังบันทึกอะไรบางอย่าง
ที่ทวีปเทียนหลัน นอกจากกระดาษที่สามารถใช้จดบันทึกข้อมูล มันยังมีหินผลึกที่สามารถใช้บันทึกผ่านพลังวิญญาณได้
แน่นอนว่าเหล่านี้คืออารยธรรมของทวีปเทียนหลัน อธิบายไปก็คงไม่เข้าใจ
“เถ้าแก่” เหวินเทียนจีลุกขึ้นจากเก้าอี้น้อยพร้อมเก็บหินผลึก เวลาทำการของร้านใกล้หมดลงแล้ว เขาทราบดีว่าไม่อาจนั่งอยู่ต่อไปเรื่อยได้
ลั่วฉวนพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยถาม “รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ได้ประโยชน์ไม่น้อย” เหวินเทียนจีรับคำจริงจัง “ความเรียบง่ายมีความซับซ้อน ทุกลายเส้นที่อัดแน่นมันมีความหมายถึงกฎแห่งโลก การเติบโตของดอกครามเยือกแข็งไม่ต่างอะไรกับอักขระในโลกแห่งนี้ สำรวจเพียงวันสองวันข้าได้รับอะไรมาไม่น้อยกว่าการฝึกฝนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
แม้ลั่วฉวนไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่จากคำของเหวินเทียนจีก็ไม่ยากทำความเข้าใจ ว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงอำนาจน่าทึ่ง สีหน้าของเขายังคงราบเรียบก่อนจะรับคำ “อืม”และเดินกลับไปพร้อมเหยาซือหยาน
เหวินเทียนจีมองตามแผ่นหลังลั่วฉวน เขารู้สึกว่าตนไม่เคยทราบถึงจุดสูงสุดของเถ้าแก่แม้สักครั้ง แต่ความคิดนี้ก็ปรากฏเพียงครู่ สำหรับเขาแล้ว สิ่งน่าสนใจกว่าคือการสำรวจสิ่งที่ไม่รู้ซึ่งอยู่ตรงหน้า
“เถ้าแก่ พี่หญิง กลับมากันแล้ว” พบเห็นคนทั้งสอง เหยาซือเย่ว์ที่อยู่หลังโต๊ะกลางเผยสีหน้าโล่งใจ
“เหตุใดเจ้าดูอ่อนล้า? น่าจะแค่นั่งตรงนี้ไม่ใช่หรือ” เหยาซือหยานเกิดสงสัย
เหยาซือเย่ว์ถอนหายใจ จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวอันขื่นขม “พี่หญิงไม่ทราบ หลายคนเข้ามาถามข้า ว่าทั้งพี่หญิงกับเถ้าแก่หายไปไหน ทั้งยังเรียงกันเข้ามาถามไม่หยุดหย่อน ข้าต้องตอบไปหลายสิบครั้งจนไม่อาจทนนั่งต่อ เบื่อก็เบื่อ ตอบไปก็เหมือนหลุมที่ถมไม่เต็ม”
เหยาซือหยานหัวเราะรับ “เบื่อหรือ? ข้าไม่คิดเช่นนั้น หยิบเอาโทรศัพท์วิเศษออกมาหาอะไรรับชมก็แก้เบื่อได้ดีแล้ว”
“เป็นพี่หญิงคุ้นชินกระทำน่ะสิ” เหยาซือเย่ว์พึมพำ “ข้าอยู่ที่นี่จะเล่นโทรศัพท์วิเศษก็ไม่เหมาะ”
“ข้าก็ไม่ได้กล่าวว่าเจ้าต้องนั่งประจำที่ตลอด เถ้าแก่แค่ของให้ดูร้าน ไม่ใช่จำกัดอิสระภาพเจ้าจนไม่อาจทำอะไร” เหยาซือหยานเกิดสับสน
เหยาซือเย่ว์ชะงัก หมัดนั้นกำแน่น “แย่จริง… เหตุใดข้าคิดไม่ได้กัน…”
เมื่อลั่วฉวนเดินกลับมาพร้อมไอศกรีม ทั้งสองจึงพูดคุยกันว่าเที่ยงนี้ทานอะไรดี
เช้าทานอะไร กลางวันทานอะไร และเย็นทานอะไร มันเป็นคำถามที่หลายคนยากจะตอบ และอาจถามบ่อยกว่าสามเวลามื้ออาหารในแต่ละวัน บางคนกระทั่งมีมื้อดึกเข้ามาเกี่ยวด้วย
ลั่วฉวนไม่คิดอะไรมากกับอาหารประจำวันทั่วไป ฝีมือทำอาหารของเหยาซือหยานไม่มีใดต้องกล่าวถึงอีก ไม่ว่าเป็นอะไร นางก็สามารถทำออกมาให้ดีเยี่ยมได้ทั้งสิ้น
กล่าวถึงฝีมือทำอาหาร ก็ต้องกล่าวถึงร้านน้อยหยวนก่วยที่อยู่ใกล้เคียง วันนี้หยวนก่วยได้นำเสนออาหารจานใหม่หลากหลายไม่น้อย
“หยวนก่วย ข้าขอถามว่าเจ้าเอาจริงหรือ?” เหยาฮุยเฉินนั่งลงที่เก้าอี้ในร้านพลางถือรายการอาหารในมือ สายตานั้นมองที่หยวนก่วยซึ่งนั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าประหลาด
หยวนก่วยพยักหน้าตอบรับ “ข้าลองด้วยตนเองเรียบร้อย รสชาติดี ดอกครามเยือกแข็งให้ผลพิเศษกับอาหารหลากหลาย อร่อยขึ้นกว่าเดิมเยอะ”
เหยาฮุยเฉินเลิกคิ้วขึ้นพร้อมมองฟันของหยวนก่วย จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้ว “ยังไม่กล่าวถึงรสชาติ อาการข้างเคียงของมันหาทางจัดการได้แล้วหรือ?”
“ผ่านไปสักพักมันก็หายไปเอง อย่างน้อยก็อยู่สักวันสองวันกระมัง” หยวนก่วยตอบคำก่อนจะหยุดไป “วิธีการลบล้างมันยังไม่อาจหาได้พบ แต่อาหารที่ทำด้วยดอกครามเยือกแข็งรสชาติดีจริง มันก็ควรค่าให้ลิ้มลองไม่ใช่หรือ?”
รับฟังคำแนะนำของหยวนก่วย บอกกล่าวตามตรง เหยาฮุยเฉินอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว จากประสบการณ์ของเขา ข้อสรุปที่อีกฝ่ายกล่าวนั้นมากพออธิบายรสชาติ
“ลองก็ลอง” เหยาฮุยเฉินตัดสินใจ แค่หลังทานพูดคุยให้น้อยลง ผู้อื่นก็คงไม่ตระหนักเห็นความผิดแปลกแล้ว
อาหารที่ทำจากดอกครามเยือกแข็งมีมากกว่าหนึ่งอย่าง เหยาฮุยเฉินสั่งอาหารหลายอย่างมาวางเรียงรายบนโต๊ะ อย่างไรเขาก็คือจ้าวสำนักหุบเขาโอสถ ผลึกวิญญาณมีให้ใช้จ่ายได้เหลือเฟือ
“เถ้าแก่หยวน วันนี้ที่ร้านมีอาหารใหม่หรือ?” อานเหวยหยากับปิงชวงมาถึงร้าน ทั้งสองถือเป็นลูกค้าขาประจำ
“ใช่ อยู่ในใบรายการแล้ว” หยวนก่วยชี้ใบรายการที่วางบนโต๊ะ
รับฟังเรียบร้อย อานเหวยหยาหยิบใบรายการขึ้นมารับชม “ดอกครามเยือกแข็ง? นี่เอามาใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหารด้วย?”
“สนใจลองหรือไม่?” หยวนก่วยเอ่ยถาม
“แน่นอน” อานเหวยหยาพยักหน้ารับ กับอาการข้างเคียงเล็กน้อยนางไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
หยวนก่วยลุกขึ้น เดินกลับเข้าครัว และเริ่มทำอาหาร
“เหมือนว่าจะเป็นดังที่อาจารย์กล่าว สุดท้ายมันจะได้รับความนิยม” ปู้หลี่เกื๋อที่อยู่ใกล้เคียงเผยคำออกมา
แม้ตามที่หยวนก่วยบอกกล่าว เขาเพียงมาที่ร้านทุกวันช่วงเย็นค่ำก็ได้ แต่ปู้หลี่เกื๋อหากมีเวลา เขามักจะมาที่ร้านโดยเสมอ
จากคำบอกเล่า เขากล่าวว่า “ประสบการณ์ของอาจารย์ภายในร้าน ตักตวงไว้ให้มากเป็นเรื่องดีกว่า” และอันที่จริง อยู่ที่นี่เขาก็มีอะไรให้กิน อย่างน้อยหากคิดอยากทานอาหารในร้านน้อยหยวนก่วยก็ต้องมีทรัพย์สินระดับหนึ่ง แต่เพราะเขาเป็นลูกศิษย์จึงมาที่ร้านของอาจารย์หาอะไรทานโดยไม่ต้องจ่าย หยวนก่วยทราบเจตนาดีและไม่ได้ต่อว่าอะไร
เมื่อเวลาทำการของร้านต้นตำรับยังไม่สิ้นสุด สี่โต๊ะภายในร้านน้อยหยวนก่วยก็เต็มแน่น ลูกค้าเหล่านี้คือระดับบนของโลกแห่งการฝึกตนที่เพิ่งกลับออกจากร้านต้นตำรับ
“ตราบเท่าที่รสชาติดีพอ อาการข้างเคียงเล็กน้อยไม่ควรค่าให้กล่าวถึง” โพธิสัตว์ร่างท้วนเอ่ยคำ
แม้มีลูกค้าบางส่วนไม่เห็นด้วย แต่ท่าทีของพวกเขาก็คือยอมรับ
ลูกค้าอีกส่วนต่างต้องดูแลรูปลักษณ์ เช่นหลิวลู่เหม่ยและคณะเลือกที่จะไม่สั่งมาลองทาน