ตอนที่ 1151
ที่ด้านนอกประตู เซี่ยเมิ่งอู่ในชุดสีแดงเจิดจ้าคล้ายมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว
ฉู่หยางเกิดประหลาดใจ ทว่าสีหน้าไม่ได้แปรเปลี่ยน โทรศัพท์วิเศษยังคงลอยอยู่พร้อมทำหน้าที่ถ่ายทอดสดอย่างแข็งขัน
“สิ่งนั้นคือ?” ดวงตาของเซี่ยเมิ่งอู๋จับจ้องที่โทรศัพท์วิเศษ นางกระทั่งยื่นมือออกไปสัมผัส “มีภาพปรากฏอยู่ด้วย”
โทรศัพท์วิเศษมีความสามารถการคงอยู่ในมิติประหนึ่งเรือทอดสมอที่จะไม่ขยับเคลื่อนไหว ดังนั้นการแตะสัมผัสของเซี่ยเมิ่งอู๋จึงไม่อาจทำได้แม้ให้ภาพสั่น
ฉู่หยางไม่คิดกล่าวถึงเรื่องร้านต้นตำรับ “เป็นอุปกรณ์ส่งภาพชนิดหนึ่ง สนใจหรือ?”
“ข้าก็เพียงแต่สงสัย” เซี่ยเมิ่งอู๋ละสายตากลับพลางยิ้มตอบ “ฉู่หยาง ปรมาจารย์ดาบเก้าพิบัติ ขอบเขตราชันระดับสูง ไฉนตัวตนดังกล่าวมาปรากฏที่เมืองแห่งความโกลาหลอย่างกะทันหันได้กัน?”
“ในเมื่อทราบตัวตนข้าแล้ว คาดเดาถัดจากนั้นก็น่าจะง่ายกระมัง” ฉู่หยางมองทางโทรศัพท์วิเศษ “ข้ารักชอบการเดินทางไปทั่ว มาปรากฏตัวที่นี่ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลก”
“นั่นก็จริง” เซี่ยเมิ่งอู๋พยักหน้ารับ แต่แล้วตอนนี้เองที่น้ำเสียงแปรเปลี่ยน ทว่ายังคงมีรอยยิ้มขณะเอ่ยถาม “ข้าสงสัยความเห็นของท่าน น้ำพุวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่เป็นเช่นไร?”
ฉู่หยางครุ่นคิดไปครู่ก่อนจะตอบกลับ “สิ่งที่สามารถเสริมศักยภาพให้แก่ผู้คน รวมถึงมีโอกาสได้รับร่างกายภาพที่หาได้ยาก ไม่เกินเลยหากจะกล่าวว่าเป็นสิ่งของฟ้าประทาน”
ในเมื่อเป็นสินค้าของร้านเถ้าแก่ คิดกล่าวชมถือเป็นเรื่องปกติ และมันยังเป็นเรื่องจริง ต่อให้คิดอยากหาข้อเสีย ก็เกรงว่าจะไม่อาจหาได้พบ
“แต่ออกจะแพงไปบ้าง” หลังเว้นช่วงไปครู่ ฉู่หยางกล่าวปิดท้าย
น้ำแร่มีราคาเดิมที่หนึ่งหมื่นผลึกวิญญาณ สุดท้ายถูกประมูลขายออกไปที่สิบล้านผลึกวิญญาณ มูลค่าที่เพิ่มขึ้นนับพันเท่า ไม่เกินเลยหากจะกล่าวว่า “แพงไปบ้าง”
“แพงไปบ้าง?” เซี่ยเมิ่งอู๋เลิกคิ้วขึ้น “สิ่งของที่สามารถช่วยเสริมศักยภาพได้ ไม่เคยมีปรากฏในทวีปเทียนหลันมาก่อน ต่อให้แพงกว่านี้ก็ถือว่าควรค่าไม่ใช่หรือ?”
“นั่นก็จริง เหมือนข้าจะพลาดประเด็นนี้ไป” ฉู่หยางไม่มีความคิดโต้เถียงกับนาง “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว”
พบเห็นฉู่หยางเดินออกไป สายตาของเซี่ยเมิ่งอู๋มองตามพลางพึมพำ
“วัตถุลอยได้นั่นก็เป็นของจากร้านต้นตำรับ? น่าสนใจ…”
“จ้าวเมืองไปจากเมืองนานมากแล้ว หรือจะลืมเมืองแห่งความโกลาหลแล้วกัน… อยากได้พบท่านจ้าวเมืองนัก…”
เมื่อฉู่หยางกลับออกจากโรงประมูล เขาค่อยหายตัวกลมกลืนเข้ากับถนนอันจอแจของเมืองแห่งความโกลาหล
หากเทียบกับตอนแรก เมืองแห่งความโกลาหลตอนนี้สงบสุขขึ้นมาก เรื่องราวขัดแย้งใดแทบไม่เกิด
สาเหตุนั้นเข้าใจได้ กฎที่คฤหาสน์จ้าวเมืองกำหนดเอาไว้ ว่าภายในสิบวันหลังการประมูลห้ามเกิดการต่อสู้ใดขึ้นภายในเมือง
เหล่ายอดฝีมือเลื่องชื่อที่ลงมือในโรงประมูล มันกลายเป็นข่าวลือในหมู่ผู้ฝึกตน ขณะเดียวกัน ความหวาดเกรงที่มีต่อร่างในชุดเกราะสีแดงดำก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
“คิดว่านางน่าจะรู้อะไรบางอย่างนะ”
“ก็เห็นชัดไม่ใช่หรือ? เซี่ยเมิ่งอู๋รู้เรื่องของร้านต้นตำรับ ส่วนว่ารู้ระดับไหนนั้นยากพูดกล่าว”
“ระยะทางระหว่างเมืองแห่งความโกลาหลและนครจิ่วเหยาค่อนข้างไกล”
“…”
“นางทราบหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวข้องใดกับข้าสักเท่าไหร่” ฉู่หยางตระหนักพบเห็นเนื้อหาของแชทสด “อย่างไรแล้วข้าก็บังเอิญมาที่นี่จริง”
“เซี่ยเมิ่งอู๋รู้จักร้านต้นตำรับ?” ลั่วฉวนที่เล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด เหยาซือหยานเดินเข้ามาบอกกล่าว
หลังน้ำแร่ถูกขายด้วยราคากว่าสิบล้านผลึกวิญญาณและมีการดื่มไปเรียบร้อย ลั่วฉวนก็ปิดการถ่ายทอดสดเพราะหมดความสนใจ
“หากทราบ ก็คือทราบ” ลั่วฉวนไม่คิดอะไร
และตอนนี้เซี่ยเมิ่งอู๋คงไม่มีทางคิดปล่อยข่าวคราวของร้านต้นตำรับออกไปแน่
อีกทั้งร้านต้นตำรับและเมืองแห่งความโกลาหลยังอยู่ไกลห่าง เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางหากันโดยสะดวก
เหยาซือหยานคุ้นเคยกับท่าทีตอบสนองเช่นนี้ของลั่วฉวนแล้ว อย่างไรในความเห็นของนาง ลั่วฉวนเปิดร้านต้นตำรับก็เพียงแค่เพราะสนใจคิดอยากทำ
ส่วนการจะเปิดร้านสาขาใหม่ หาลูกค้าเพิ่ม เหล่านี้แทบเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยใส่ใจ
โต๊ะเดิมพันของหู่ขวงก็สิ้นสุดลงตอนนี้ เหล่าสัตว์อสูรราชวงศ์ต่างเผยยิ้มแย้ม คล้ายจะได้รับกันไปไม่ใช่น้อย
เรื่องของการพนัน หากไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้ามือจึงเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ใหญ่
“ว่าอะไร? เจ้าก็ก้าวหน้าแล้ว?” เสียงปู้หลี่เกื๋อเผยความประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้างราวไม่คิดเชื่อ
เมื่อคืนเขาก้าวขึ้นสู่ขอบเขตโชคชะตาระดับที่ห้า วันนี้คิดนำมาอวดโอ่ให้เจียงเฉิงจวินได้ทราบ แต่แล้วกลับกลายเป็นเขาเองที่ตกใจ
“ถูกต้อง ข้าเพิ่งก้าวหน้าขึ้นเมื่อคืนนี้เอง” เจียงเฉิงจวินที่อยู่ขอบเขตโชคชะตาระดับที่ห้าเช่นกันพยักหน้าตอบรับ เขาเผยยิ้มแย้ม “ว่าอะไร ปู้หลี่เกื๋อน้อยคิดอยากข้ามผ่านข้าไปงั้นหรือ? ฝันเฟื่องแล้ว”
“เจ้า…” ปู้หลี่เกื๋อกัดฟันแน่น เขาคิดว่าตนเองก้าวหน้ารวดเร็วแล้ว ไม่นึกเลยว่าเจียงเฉิงจวินจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตนเอง
“หือ? โต้เถียงอะไรกัน?” กู่หยุนซีที่อยู่ใกล้เคียงพบเห็นเรื่องราว หลังได้ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นจึงเผยคำแนะนำออกมา “แล้วจะโต้เถียงกันไปทำอะไร? โหมดอารีน่ารอพวกเจ้าอยู่ เข้าไปตัดสินว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่าก็สิ้นเรื่อง”
คำนางกล่าวจบพร้อมสีหน้าซุกซน ราวกับเพิ่งเห็นเรื่องราวสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น
“กล้าหรือไม่กันล่ะ?” ปู้หลี่เกื๋อเผยยิ้มแสยะ
“เหอะ ใครไม่กล้ากันแน่” เจียงเฉิงจวินแค่นเสียง
เรื่องระหว่างคนทั้งสองกลายเป็นดึงดูดความสนใจของบรรดาลูกค้าในร้านที่เบื่อเพราะการถ่ายทอดสดเพิ่งจบไป
“พวกเจ้าคิดทำอะไรกัน?” ขณะละสายตาออกจากโทรศัพท์วิเศษ ปู้ฉืออีได้เห็นเจียงเฉิงจวินกับปู้หลี่เกื๋อกำลังจะเข้าไปเล่นโหมดอารีน่า
“สู้กัน ให้รู้ชัดว่าใครที่แข็งแกร่งกว่ากันแน่” อวี่เว่ยกล่าวตอบ ในความเห็นนาง การต่อสู้ระดับนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของ
หลังได้ทราบว่าทั้งสองคิดประลองกัน ลูกค้าส่วนใหญ่ละความสนใจโดยทันที การต่อสู้ระหว่างขอบเขตโชคชะตาจะมีอะไรให้น่าตื่นตาตื่นใจกันล่ะ?
แน่นอนว่าหลายคนก็มีความคิดรับชมหาความตื่นเต้น อย่างไรก็ว่าง มีอะไรให้ดูถือเป็นเรื่องดี
ที่บนลานประลองหินไร้สิ้นสุด สายลมเย็นโชยพัดผ่าน มวลฝุ่นเล็กน้อยม้วนตัว ชุดของปู้หลี่เกื๋อและเจียงเฉิงจวินต่างพลิ้วไหว
“ไม่ต้องจำกัดขอบเขตใช่หรือไม่?” ปู้หลี่เกื๋อเอ่ยถามเสียดังพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
“แน่นอน” เจียงเฉิงจวินพยักหน้ารับ “ให้เหมือนความเป็นจริง”
เมื่อกำหนดค่าอารีน่าเรียบร้อย เสียงนับเวลาถอยหลังจึงดังขึ้น…
“สามร้อย สองร้อยเก้าสิบเก้า สองร้อยเก้าสิบแปด…”
เจียงเฉิงจวินร้องถาม “ปู้หลี่เกื๋อ เจ้ากำหนดเวลาบ้าอะไร?!”
“ผิด ผิด ขอแก้ตัว” ปู้หลี่เกื๋อเร่งร้อนเปิดหน้าต่างตั้งค่าขึ้นมาอีกครั้งเพื่อปรับเปลี่ยน
บรรดาลูกค้าคนอื่นที่รับชมต่างอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มกันออกมา
“สองคนนั่นทำบ้าอะไรกัน?” ปู้ฉืออีเอามือปิดใบหน้า นางเกิดรู้สึกอับอายแทนน้องชายตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มการต่อสู้