ตอนที่ 1154
“อย่างไรก็เป็นเช่นนั้น อย่าเพิ่งกล่าวโต้แย้ง” ปู้คังเฉียงส่ายศีรษะ “ในความเห็นข้า การต่อสู้ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองแม้เป็นไก่อ่อนแต่ก็ถือว่าควรค่าให้ชื่นชม แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยช่องโหว่!”
เจียงเฉิงจวินกลับออกจากโลกเสมือนจริง เขาไม่กล้าทักท้วงคำของปู้คังเฉียง ปู้หลี่เกื๋อก็เช่นกัน อีกฝ่ายทำได้เพียงก้มศีรษะและเตรียมกลับไปรับการฝึกฝนที่บ้าน
อีกฝ่ายคือผู้อาวุโสขุนนางใต้แห่งจักรวรรดิเทียนชิง เป็นยอดฝีมือขอบเขตทดสอบเต๋า ทุกสิ่งที่กล่าวย่อมมีเหตุผล ไม่ว่าเขากล่าวอะไรออกมา เพียงรับฟังและเก็บไปคิดก็พอ
“หากอยู่ระดับเดียวกัน ต่อให้พวกเจ้าสองคนร่วมมือกันก็ยังไม่อาจแบกรับหนึ่งกระบวนท่าของข้าได้” คำของปู้คังเฉียงยังคงกล่าวต่อ “สัญชาตญาณการต่อสู้ต้องจารึกมันเอาไว้ให้ร่างกายจดจำเพื่อพร้อมใช้งานอยู่เสมอ”
“ทราบขอรับ” ทั้งปู้หลี่เกื๋อและเจียงเฉิงจวินต่างพยักหน้ารับ สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด เพราะคำของปู้คังเฉียงไม่ใช่ยากเข้าใจ
“เจ้าหนูตระกูลเจียง ภายหน้ามาฝึกฝนกับหลี่เกื๋อสิ” ปู้คังเฉียงกล่าวออก
เจียงเฉิงจวินรับคำเหมือนเช่นที่รับมาตลอดก่อนหน้านี้ สุดท้ายพบว่ามีอะไรผิดแปลกจนเผยสีหน้าตื่นตะลึง “ท่านล้อข้าเล่นแล้วกระมัง?”
“ยังจะล้ออะไรเล่น?” ปู้คังเฉียงโบกมือตอบ “บิดาเจ้าฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับข้าแล้ว นับจากนี้ไปยังคฤหาสน์ขุนนางใต้ทุกวัน ให้ฝึกฝนพร้อมกับปู้หลี่เกื๋อ”
“ข้า… ทราบแล้ว” เจียงเฉิงจวินถอนหายใจตอบรับอย่างขื่นขม เขาทราบความเข้มข้นที่ปู้หลี่เกื๋อต้องฝึกทุกวันเป็นอย่างดี และนี่ยังเป็นบิดาเขาเห็นชอบ เรื่องนี้ยากปฏิเสธแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน
ปู้คังเฉียงมองทางหอเซียนหงส์อมตะ ความรู้สึกค่อนข้างสับสน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดขุนนางเจียงซิ่วหลันขอให้เขามาที่นี่
สั่วว่านจินที่นั่งบนเก้าอี้พิเศษประจำตัว มือถือโทรศัพท์วิเศษเล่นไปพลางหัวเราะ
ยามพบเห็นปู้คังเฉียงเดินเข้ามาใกล้ ร่างนั้นสั่นพร้อมเร่งรีบลุกจากเก้าอี้
“ปู้… ท่านขุนนางปู้ ยินดีต้อนรับสู่หอเซียนหงส์อมตะ” สั่วว่านจินเร่งรีบกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
กับผู้ฝึกตนแห่งกองทัพอันยิ่งใหญ่ ในใจเขามีความหวาดเกรง แน่นอนว่าเป็นความหวาดเกรงที่ไร้เหตุผล เพราะปู้คังเฉียงวันนี้มาในรูปลักษณ์สุภาพชน ไม่ใช่อาจหาญ
“อืม” ปู้คังเฉียงพยักหน้าตอบรับ
“ขุนนางปู้มาเพื่อทานอาหารหรือ? ให้ข้าจัดแจงส่งคนดูแลให้” สั่วว่านจินเดินตามปู้คังเฉียงพลางถาม
“มีคนเชิญข้ามา” ปู้คังเฉียงหันมองตอบสั่วว่านจิน
“โอ้ เช่นนั้นเชิญท่านแล้ว” สั่วว่านจินถอนหายใจโล่งอกรับชมร่างปู้คังเฉียงหายไปตรงหัวมุม
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลามื้อเย็น ดังนั้นในส่วนภัตตาคารจึงยังไม่มีแขก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดพบเห็นท่าทีของสั่วว่านจิน
เมื่อกลับไปนั่งประจำที่ สั่วว่านจินทราบว่าเรื่องถัดจากนี้ตนเองไม่ควรยุ่งแล้ว
ยิ่งรู้มากเพียงใดยิ่งตายเร็วเท่านั้น เพราะงั้นไม่เข้าไปอยากรู้จึงดีกว่า ผลงานทั้งหลายในแอพนักอ่านล้วนมีเนื้อหาเช่นนี้ ในโลกแห่งความจริงก็ไม่แตกต่างกัน
เมื่อปู้คังเฉียงกล่าวตอบ “มีคนเชิญตัวมา” สั่วว่านจินทราบว่าถัดจากนี้ตนเองไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เพราะงั้นเขาจึงไม่แม้เอ่ยถามว่าใคร แต่เลือกถอยกลับมา ส่วนว่าใครเชิญปู้คังเฉียงและมาทำอะไรที่นี่ เขาไม่คิดอยากรู้แม้แต่น้อย
ด้วยนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัวอีกครั้ง เสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดจากเก้าอี้ร้องประท้วงดังขึ้น
สั่วว่านจินนำเอาโทรศัพท์วิเศษออกมาเปิดแอพนักอ่านอีกครั้งหนึ่ง เขาคิดกลับเข้าไปดื่มด่ำในโลกแฟนตาซีผ่านตัวอักษรอีกครั้ง
ปู้คังเฉียงมาถึงห้องแยกส่วนตัวในหอเซียนหงส์อมตะตามข้อความที่ได้รับผ่านโทรศัพท์วิเศษ เมื่อมาถึง เขาไม่รีรอที่จะเปิดประตูเข้าไป
กลิ่นอาหารอันรุนแรงฟุ้งกระจายเข้าหา แม้ว่าไม่อาจเทียบกับร้านน้อยหยวนก่วย แต่ก็เหนือล้ำกว่าภัตตาคารแห่งอื่นมากล้ำ
ในห้องมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ สวมใส่ชุดสีดำดูแข็งแรง รูปลักษณ์คล้ายเจียงเฉิงจวินอยู่หลายส่วน
เจียงซิ่วหลัน ขุนนางซ้ายแห่งจักรวรรดิเทียนชิง
“ขุนนางปู้มาถึงแล้ว ข้ารออยู่นาน” เจียงซิ่วหลันเผยเสียงหัวเราะพร้อมลุกขึ้นกล่าวคำทักทาย
“ข้ามาก็เพราะถูกเรียกตัว” ปู้คังเฉียงยิ้มตอบ “ที่มาช้าต้องกล่าวโทษเจ้าที่ส่งข้อความหาข้าก็เกือบจะเย็นแล้ว”
ตัวตนของทั้งสองคือขุนนางแห่งจักรวรรดิเทียนชิง และยังมีสัมพันธ์เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน
หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอก เจียงซิ่นหลันคล้ายแม่ทัพบัญชาศึกมากกว่า ขณะที่ปู้คังเฉียงควรจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลบ้านเมือง
แม้เจียงซิ่วหลันทำงานนั่งโต๊ะ แต่การฝึกฝนของเขาไม่ใช่ต่ำเตี้ย ก็เหมือนดังปู้คังเฉียง เป็นขอบเขตทดสอบเต๋าเหมือนกัน เพียงแต่อาจจะมีระดับที่ต่ำกว่าเล็กน้อย
“นั่งก่อน” เจียงซิ่วหลันบอกกล่าวพร้อมผายมือเชื้อเชิญให้ปู้คังเฉียงนั่ง
“ท่านขุนนางซ้ายต้องการพบข้ามีเรื่องใดหรือ?” ปู้คังเฉียงไม่คิดเสียเวลาเยิ่นเย้อ แต่เลือกมุ่งตรงเข้าประเด็น “เรื่องนี้พูดคุยกันผ่านโทรศัพท์วิเศษไม่ได้หรืออย่างไร?”
“การสื่อสารผ่านทางวิดีโอกับข้อความมันทำข้ารู้สึกไม่คุ้นเคยน่ะ” เจียงซิ่วหลันโบกมือตอบ “พบหน้าเจอกันพูดคุยดีกว่าเป็นไหน”
“นั่นก็จริง” ปู้คังเฉียงพยักหน้ารับ
หลังทานอาหารไปไม่กี่คำ เจียงซิ่วหลันค่อยกล่าวถึงจุดประสงค์ที่เรียกตัวอีกฝ่ายมา
“ก็ไม่มีอะไรมาก อยากให้เจ้าช่วยฝึกฝนลูกข้าเสียหน่อย” เจียงซิ่วหลันดื่มสไปรท์พลางกล่าว
“หือ? คำเจ้าหมายความถึง?” ปู้คังเฉียงขมวดคิ้ว
“ตามความหมายเลย” เจียงซิ่วหลันวางขวดสไปรท์ลง
ปู้คังเฉียงขมวดคิ้ว “ด้วยกำลังเจ้า ฝึกฝนเจียงเฉิงจวินก็ไม่น่ายากอะไรนี่?”
แน่นอนว่ายังมีคำที่ไม่กล่าวออกเช่น ‘เหตุใดบุตรชายเจ้ายังต้องให้ข้าสอน เห็นข้าว่างมากหรือยังไง?’ เป็นต้น
“ฮ่าฮ่า ทำเช่นนั้นไม่ลำบากข้าเกินไปหรือ?” เจียงซิ่วหลันหัวเราะตอบพร้อมเผยความในใจออกมาอย่างหน้าตาเฉย
ปู้คังเฉียงดึงมารยาทกลับคืน เผยยิ้มกระดากใจตอบรับ งั้นเหตุใดความลำบากเจ้าต้องโยนมาให้ข้า?
“ข้ายังมีงานต้องทำ เกรงว่าคงไม่สะดวก” ปู้คังเฉียงถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ
เรื่องนี้เป็นความจริง แม้ว่าศึกสงครามยุติลงแล้วเพราะสัญญาสงบสุขกับจักรวรรดิต้นกำเนิดอัคคี แต่การฝึกฝนกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาด
“ข้าคิดบริจาคสักห้าแสนผลึกวิญญาณให้กองทัพของขุนนางปู้” เจียงซิ่วหลันวางแหวนมิติลงบนโต๊ะพร้อมผลักส่งให้ปู้คังเฉียง
“ฮ่าฮ่า ก็แค่การฝึกฝนให้เจียงเฉิงจวินไม่ใช่หรือไร?” รอยยิ้มปู้คังเฉียงกลับคืนใบหน้า แหวนมิติถูกเก็บหายวับ เขากระทั่งสำรวจจำนวนผลึกวิญญาณว่าครบถ้วนหรือไม่ “เรื่องราวเล็กน้อย ข้าฝึกฝนให้หลี่เกื๋อทุกวันอยู่แล้ว เพิ่มเจียงเฉิงจวินอีกคนจะเป็นไรไป”
ผลึกวิญญาณครึ่งล้าน มันถือเป็นจำนวนมหาศาล เจียงซิ่วหลันร่ำรวยโดยแท้จริง
“งั้นก็รบกวนขุนนางปู้แล้ว” เจียงซิ่วหลันเผยยิ้ม
“ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ปัญหาเลย” ปู้คังเฉียงยิ้มตอบพลางส่ายศีรษะ ในใจเขาตอนนี้คือกำลังคิดว่าจะนำห้าแสนผลึกวิญญาณนี้ไปใช้ยังไงดี
หนึ่งแสนผลึกวิญญาณแจกจ่ายเป็นขวัญกำลังใจกองทัพ ที่เหลืออีกสี่แสนใช้เพื่อซื้ออาวุธทดแทนส่วนที่เสียหายไปจากการสู้รบ
อาวุธจากมิติขายอาวุธของร้านต้นตำรับ อีกสองวันค่อยไปดูว่ามีอะไรที่เหมาะสมและคุ้มค่า ส่วนผลึกวิญญาณที่เหลือจากการซื้ออาวุธ ค่อยซื้อเป็นสินค้าของร้านต้นตำรับเก็บไว้เป็นเสบียงทัพ…