ตอนที่ 1167
เสียงระเบิดของเวทมนตร์หลากชนิดผสานรวมจนกลบเสียงฝนมิด รวมถึงยังมีเสียงคำรามร้องมังกรโคโมโด้ในรูปแบบของทวีปเทียนหลันด้วย
แสงสีอันตระการตาสะท้อนไปมาภายในป่าที่ฝนตกชุกชุม หมอกและควันฟุ้งกระจายบดบังทัศนวิสัย
ทว่าแสงเหล่านี้งดงามพร้อมความตายของเหยื่อ หลังผ่านไปไม่กี่วินาที เสียงร้องคำรามก็เลือนหาย
โจมตีทะลุทะลวง!
ไม่ว่าเกล็ดตามร่างของมันมีอำนาจป้องกันแข็งแกร่งเพียงใด แต่ยามเมื่อทะลวงผ่านได้ เช่นนั้นก็ไร้ผล
อีกทั้งหน่วยทหารรับจ้างนี้ยังเป็นโจวหู่นำทัพ นอกจากเป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตจิตวิญญาณ อีกสี่คนที่เหลือในหน่วยก็เป็นขอบเขตโชคชะตาที่ฝีมือเยี่ยม
ด้วยบัพจากสินค้าของร้านต้นตำรับ โจวหู่ผู้ซึ่งเดิมอยู่ขอบเขตโชคชะตาระดับที่เก้า อาการตีบตันทางการฝึกฝนที่เผชิญมายาวนาน สุดท้ายก็ข้ามผ่านมันจนเลื่อนขอบเขตได้
ขอบเขตจิตวิญญาณ มันถือเป็นตัวตนระดับสูงของชนชั้นผู้ฝึกตนแล้ว
จำนวนข้อความแชทถ่ายทอดสดเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
“โอ้… แค่นึกว่าหากถูกลอบโจมตีเช่นนี้เข้า…”
“ลอบโจมตีได้ดี!”
“ต่อสู้เป็นทีม นี่แหละที่ควรเป็น!”
“ข้าเพิ่งเข้ามาดูเลยสับสนนิดหน่อย กลายเป็นว่าวิธีการออกล่าสัตว์อสูรของกองทัพทหารรับจ้างเป็นเช่นนี้”
“…”
หลังทำการลอบโจมตีอย่างสง่างาม ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยว
ความเป็นจริงย่อมไม่ดีเหมือนดังเกม หลังสังหารศัตรูได้ มันมีโอกาสที่จะระเบิดของดีไปด้วย
บนพื้นมีแต่เศษซากกระจัดกระจายยุ่งเหยิง หมอกที่เกิดจากน้ำฝนระเหยเป็นผลให้บดบังจนยากมองเห็น
คนอื่นในหน่วยตอนนี้เรียกใช้เวทมนตร์ธาตุลม พัดเอาหมอกเหล่านั้นเลือนหายวับ
สัตว์อสูรสิ้นใจไปเรียบร้อย เลือดของมันย้อมจนสภาพรอบด้านกลายเป็นสีเข้ม ในอากาศยังมีกลิ่นเลือดคละคลุ้ง
แน่นอนว่าเหล่าลูกค้าที่รับชมการถ่ายทอดสดไม่อาจได้กลิ่น
สำหรับตอนนี้ โทรศัพท์วิเศษยังไม่พร้อมเปิดให้รับประสบการณ์ประหนึ่งสถานที่จริงผ่านการถ่ายทอดสด
ด้วยเพราะไม่มีอะไรให้ดูเพิ่มเติม ลั่วฉวนเก็บโทรศัพท์วิเศษพลางหาววอด
เหยาซือหยานที่กำลังแชทกับคนอื่นอยู่ ตอนนี้ตระหนักพบเห็นท่าทางของลั่วฉวน “เถ้าแก่ คืนนี้ไปร้านกาแฟไหม?”
“ร้านกาแฟ ไม่ไปแล้ว เบื่อแล้ว” ลั่วฉวนตอบกลับประหนึ่งไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
ร้านกาแฟที่เซ็นน่าเดิมก็เป็นเขาเปิดเอง หลังเปิดได้หลายวันกลับเกิดรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น
นอกจากนี้ต่อให้เขาปิดร้านไปก็ไม่มีใครมากล้าต่อว่าอะไร
บางทีอาจมีเพียงลูกค้าสองคนที่เคยมาเยือนร้านจึงบ่น รวมถึงผิดหวัง เพราะพวกเขาเพิ่งได้รับประสบการณ์อันแสนวิเศษไปเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นเอง
ในบางครั้งลั่วฉวนก็เป็นคนรักชอบทำสิ่งใหม่ แต่พอเบื่อแล้วก็กลับมาทำสิ่งเดิม
เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบสิ่งที่มีอยู่ นั่นเพราะมันทำให้เกิดรู้สึกเบื่อ ไม่มีอะไรหวือหวาให้น่าตื่นเต้นแม้สักนิด
ขณะเดียวกัน เขาก็ชอบการได้กินและปล่อยชีวิตไหลไปเรื่อย ออกไปทำงาน อยู่ที่เดิมทุกวัน พบเจอคนคุ้นเคยทุกวัน รับประสบการณ์เช่นเดิมในทุกวัน
ฟังดูขัดแย้ง? มันก็ขัดแย้งกับนิสัยของเขาจริง
แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขัดแย้งอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับลั่วฉวน
เหยาซือหยานกระพริบตาพลางคาดเดาความคิดของลั่วฉวน นางไม่เอ่ยถาม เพียงแต่ยิ้มตอบ
วรรณกรรมส่วนใหญ่มีสามส่วนประกอบหลัก สัตว์อสูร ล่าสมบัติ และการเข้าสถาบันการเรียน
บางครั้งลั่วฉวนก็สงสัย ว่าตนตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเผชิญเนื้อหานิยายไปต่างโลก
ไปเยือนต่างโลก รับประสบการณ์ แล้วก็หาทางกลับ
เพียงแต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ไร้เทียมทานแล้ว เหตุใดยังต้องออกไปสู้กับสัตว์อสูรและล่าสมบัติด้วยกันล่ะ?
ส่วนการเข้าร่วมสถาบันไปหยอดเล็กหยอดน้อยเล่นไปเรื่อย… แม้อายุไม่ใช่ปัญหา แต่เขารู้สึกว่ามันแปลก
เป้าหมายของเขาในตอนนี้ นอกจากเป็นเถ้าแก่ร้านต้นตำรับ ก็คือการค้นหาสิ่งใหม่ที่น่าสนใจ
“ซือหยาน รู้จักภาพยนตร์หรือไม่?” ลั่วฉวนพลันเกิดนึกอะไรขึ้นได้ ว่าก่อนที่จะกลับจากร้านกาแฟที่เซ็นน่าตนคิดอ่านอะไรเอาไว้
“ภาพยนตร์? มันคืออะไรกัน?” เหยาซือหยานเกิดความสงสัย
นางมักได้ยินชื่อแปลกประหลาดจากลั่วฉวนบ่อยครั้ง แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถูกเรียกอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่ล้วนน่าสนใจ
“เป็นสิ่งที่ใช้ภาพเคลื่อนไหวเพื่อบอกเล่าเรื่องราว” ลั่วฉวนนึกไปครู่ก่อนจะอธิบายความเข้าใจต่อภาพยนตร์ออกไป
“อืม… มันดูค่อนข้างคล้ายแอพวิดีโอ” เหยาซือหยานเกิดนึกถึงแอพวิดีโอในโทรศัพท์วิเศษขึ้นมา
ยามว่าง นางมักจะเข้าไปรับชมวิดีโอหลากหลายที่เหล่าลูกค้าส่งกันเข้าไปมา เหล่านั้นถือเป็นการแก้เบื่อได้ดี
“สองอย่างนี้มีความแตกต่างค่อนข้างมาก” ลั่วฉวนเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมองของเหยาซือหยาน “ภาพยนตร์จะบอกเล่าเรื่องราวที่สมบูรณ์ ขณะที่แอพวิดีโอนั้นคือเศษเสี้ยวของเรื่องราว”
เหยาซือหยานพยักหน้ารับ หลังได้รับการเปรียบเทียบ นางค่อยเข้าใจความหมายของลั่วฉวน
อีกทั้งนางยังเผยความประหลาดใจและเกิดคาดหวังขึ้นมา “เถ้าแก่คิดสร้างสิ่งที่เรียกว่า… ภาพยนตร์ขึ้นมา?”
ยามเอ่ยนาม “ภาพยนตร์” ออกไป ราวกับนางไม่สะดวกจะเอ่ยจนชะงักไปครู่
“แค่มีความคิดลองทำ” ลั่วฉวนดื่มเหล้าซากุระไปอึกหนึ่ง รับรู้ถึงความหอมจากดอกซากุระที่ฟุ้งกระจายในปากแล้วจึงกล่าว “ตอนนี้ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าควรเป็นภาพยนตร์อะไรดี”
เหล้าซากุระนี้เหยาซือหยานทำไว้มาก ลั่วฉวนชอบรสชาติจึงดื่มทุกวัน มันเป็นเหล้าหวานที่รสชาติกลมกล่อม เพียงแค่หนึ่งถ้วยนั้นไม่เคยพอ
“อย่างนี้นี่เอง…” เหยาซือหยานพยักหน้ารับก่อนจะนำเสนอ “เถ้าแก่อยากบอกเล่าเรื่องราวในผลงานวรรณกรรมของท่านสู่ภาพยนตร์หรือ?”
ลั่วฉวนเผยยิ้มอับจน “เรื่องราวเหล่านั้นยาวเกินไป หากนำมาทำเป็นภาพยนตร์จริง ก็ไม่ทราบว่าต้องแบ่งออกเป็นกี่ส่วน”
ลั่วฉวนไม่เคยกล่าวว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นของตนเอง เพราะเป็นผลงานที่หยิบยืมแนวคิดมา เขาไม่กล้ากล่าวว่าเป็นของตนเองสักเท่าไหร่
เหยาซือหยานเริ่มครุ่นคิดพลางเอ่ยข้อเสนอ ลั่วฉวนยังกล่าวเสริม “น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี”
ด้วยเวทมนตร์และพลังวิญญาณ มันสามารถช่วยเร่งกระบวนการหลังถ่ายทำได้มาก และหากนักแสดงได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ดื่มโคล่าของร้านต้นตำรับก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว
“เถ้าแก่คิดสร้างภาพยนตร์เมื่อไหร่กัน?” เหยาซือหยานเกิดคาดหวังว่าเมื่อไหร่จะได้รับชม
“ตอนนี้เพียงแค่คิด” ลั่วฉวนยังคงดื่มเหล้าซากุระต่อพลางกล่าว “คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ”
แน่นอนว่าเขาไม่เคยทราบขั้นตอนการถ่ายภาพยนตร์
แต่เพียงแค่คิด ก็ทราบแล้วว่ามันยาก
นึกสภาพฉาก คัดเลือกตัวละคร เอฟเฟคประกอบที่เหมาะสม ทั้งหมดจำเป็นต้องผ่านการคิด
แต่อย่างน้อยที่นี่ก็จัดการเรื่องเอฟเฟคประกอบภาพยนตร์ไปได้
อันที่จริง บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษใส่เอฟเฟค
“อีกสักพักสินะ…” เหยาซือหยานพึมพำ นางเริ่มสงสัยความหมายของคำว่า “อีกสักพัก” ว่าแท้จริงยาวนานเพียงใด
ที่ทำได้คือคาดหวังว่าเถ้าแก่จะไม่ใช่นึกวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมแล้วเลือนหาย
อย่างนั้นก็จำเป็นต้องกระตุ้นความทรงจำบ่อยครั้ง ทั้งหมดนี้เหยาซือหยานคิดอ่านในใจตัวนางเอง