ตอนที่ 1170
ลั่วฉวนยืนกรานร้องขอจากระบบอย่างไม่ลดละ
แต่กับสินค้าใหม่ ระบบมีแนวทางอย่างชัดเจน
ลั่วฉวนที่พยายามอยู่นาน สุดท้ายทำได้เพียงยอมถอย
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกจนใจ หากคิดอยากเล่นเกม ก็มีแต่ต้องสร้างด้วยตัวเอง
แต่อันที่จริงก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยตอนนี้ก็มีอะไรให้ทำ
หลังเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดหลายตา สุดท้ายก็ไม่ทราบว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
วันใหม่ ช่วงเช้าตรู่ ฟากฟ้าเริ่มส่องสว่าง
ลั่วฉวนลืมตาตื่นขึ้น
สิ่งแรกที่ได้เห็นคือเพดานด้านบน ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหาวออก
หลังขยี้ตาเล็กน้อย เขาค่อยลุกขึ้นไปสวมใส่ชุดให้เรียบร้อย
เพราะนอนได้อย่างมีคุณภาพ หลังผ่านเวลาไปครู่จึงตื่นขึ้นเต็มตา
ด้วยเกาเส้นผมเล็กน้อย สายตาเขามองทอดออกไปยังนอกหน้าต่าง
หลังเปิดออก อากาศเย็นชื่นยามเข้าค่อยพัดเข้าใส่ใบหน้า
ด้านนอกยังคงมีความชื้นอยู่ไม่น้อย แต่มันลดเลือนลงไปมากจนทำเขาตื่นเต้น
รวมถึงทำให้เขาเกิดประหลาดใจ ที่ฝนซึ่งตกหนักมายาวนาน ในที่สุดก็เริ่มคลายตัวออกแล้ว
เสียงฝนไม่ดังน่ารำคาญเหมือนเช่นเคย แต่เป็นเสียงเบาที่ทำให้ตระหนักได้ถึงการคงอยู่เล็กน้อย
กล่าวได้ว่าเสียงน่ารับฟังขึ้น
ทว่าอากาศยังคงเย็น
ลั่วฉวนถอนหายใจ หมอกสีขาวปรากฏออกมา
ด้วยเพราะอยู่ในร้านอบอุ่นสุขสบาย เขาไม่คิดออกไปข้างนอกแม้แต่น้อย
“อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่” เหยาซือหยานมากล่าวทักทายยามเช้า
“อรุณสวัสดิ์” ลั่วฉวนตอบรับกลับไป
ทั้งสองมักทักทายกันยามเช้าในทุกวัน
หลังทานมื้อเช้าก็เป็นเวลาทำการของร้านต้นตำรับ
ปู้หลี่เกื๋อที่มาถึงประตูหน้าร้าน ฉับพลันกลับหยุดชะงัก
“เป็นอะไรไป?” ปู้ฉืออีเอ่ยถาม
ปู้หลี่เกื๋อส่ายศีรษะไม่พูดตอบ ท่าทีนั้นคล้ายครุ่นคิด
ผ่านไปหลายวินาที เขาราวกับจมหายไปในความคิด สุดท้ายถอนหายใจและยิ้มออกมา
ด้วยขยี้จมูกตัวเองเล็กน้อยเขาค่อยกล่าว “อากาศเย็นลงอีกหน่อยแล้ว”
“ก็บอกแล้วว่าให้เสื้อหนากว่านี้!” ปู้ฉืออีจ้องมองตอบ
“ก็แค่ช่วงที่เดินมา อย่างไรก็ขลุกตัวอยู่ในร้านเถ้าแก่แทบทั้งวันอยู่แล้ว” ปู้หลี่เกื๋อยิ้มรับก่อนจะเดินเข้าร้านไป
ปู้ฉืออีถอนหายใจอับจนและเดินตามเข้าร้าน
“เถ้าแก่ พี่ซือหยาน อรุณสวัสดิ์” เหมือนดังเคย ทั้งสองทักทายยามเช้าตั้งแต่เข้าร้าน
“อุณหภูมิช่วงนี้ลดลงค่อนข้างเร็ว” ปู้ฉืออีถือแก้วชานมร้อนด้วยมือทั้งสอง
หลังได้ดื่มชานมเข้าไป ความเย็นในกายนางค่อยคลายออก
กระทั่งว่าหลับตาอิ่มเอมไปกับมัน
อร่อยเหมือนเช่นเคย
ทางด้านปู้หลี่เกื๋อกำลังพ่นลมออกปากเพราะความเผ็ดร้อนของมันฝรั่งทอด เหงื่อกระทั่งผุดเป็นเม็ดปรากฏบนหน้าผาก
ตอนนี้เขาค่อยรีบเดินไปคว้าโคล่าจากชั้นวาง หลังบิดเปิดฝา ดื่มไปอึกใหญ่ เขาค่อยร้อง “ฮ่า” ออกมาเสียงลากยาว
ที่ทวีปเทียนหลัน ผู้ฝึกตนไม่ใช่ว่าไม่ต้องกินต้องนอน
ต่อให้เป็นขอบเขตจิตวิญญาณหรือคืนต้นกำเนิด พวกเขาก็ยังต้องกินดื่มเหมือนเช่นคนทั่วไป
อย่างน้อยก็เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร
มีก็เพียงขอบเขตทดสอบเต๋าและราชันจึงสามารถละทางโลกได้อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าก็เพียงแค่ในด้านคำกล่าว
ในโลกนี้ผู้ใดกันจะคิดเป็นเทพเซียนที่ไม่กินไม่ดื่มได้?
หยวนก่วยคือขอบเขตราชันระดับสูงสุด ถือเป็นหนึ่งในตัวตนทรงอำนาจที่สุดแห่งทวีปเทียนหลัน
แต่เขาก็ยังเลือกเปิดร้านอาหารขนาดเล็กใกล้เคียงร้านต้นตำรับ รวมถึงมาเยือนร้านต้นตำรับทุกวันอีกด้วย
นี่คือเส้นทางชีวิตที่เขาเลือกจะทำตามหัวใจของตัวเอง
ส่วนเรื่องราวประหนึ่งเทพเซียน ส่วนใหญ่เป็นผู้คนนึกคิดกันไปเอง
เสียงภายในร้านเริ่มดังขึ้น
มันคือสภาพภายในร้านตอนนี้ที่เริ่มคึกคักขึ้นมา
“ระบบทำความร้อนใช้งานได้เสียที ไม่งั้นคงอยู่ที่บ้านไม่ได้แน่” เว่ยฉิงจู่ ซ่งฉิวหยิ่ง และหลินว่านฉวงต่างบ่นกันออกมา
“ระบบทำความร้อน?” ลั่วฉวนเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“เถ้าแก่ไม่ทราบหรือ?” เว่ยฉิงจู่เกิดสงสัยในคราแรก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “ก็ไม่แปลกแหละนะ”
“มันคือค่ายอาคมระบบทำความร้อนที่จะมีในสิ่งปลูกสร้างทั่วไปของนครจิ่วเหยา” ซ่งฉิวหยิ่งกล่าวบอก
“ฤดูหนาวที่นครจิ่วเหยาหนาวเย็นมาก คิดอยู่โดยไม่พึ่งพาระบบทำความร้อนถือเป็นเรื่องยาก” เว่ยฉิงจู่ทานมันฝรั่งทอดพลางอธิบาย “และราคาก็ไม่ได้แพง เพียงไม่กี่เหรียญเงิน”
ระบบทำความร้อน…
ลั่วฉวนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แม้ทราบว่าหลักการคิดทั่วไปไม่อาจใช้กับอารยธรรมผู้ฝึกตนในต่างโลก แต่ครั้งนี้เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดครุ่นคิดขึ้นมา
เพราะมันคือฮีทเตอร์ในโลกแฟนตาซี!
เพียงได้ฟังก็น่าสนใจแล้ว
“ฮึ่ย หนาวเกินไปแล้ว หนาว” เจียงเฉิงจวินเดินเข้ามาในร้านพร้อมร่างสั่นเทา
เขายังคงใช้ร่มเหมือนเช่นเมื่อวาน หลังรับการฝึกฝน เขาแทบไม่คิดอยากใช้พลังวิญญาณอีก
นั่นเพราะแค่คิดใช้ก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว
มีเพียงเครื่องเล่นเกมเสมือนจริงกับสินค้าของร้านต้นตำรับจึงทำให้เขาลากสังขารตัวเองเดินทางมาที่นี่ได้
“หนาวหรือ?” เว่ยฉิงจู่มองด้วยความประหลาดใจ
“ใช่สิ” เจียงเฉิงจวินรู้สึกราวกับได้เกิดใหม่เมื่อเข้าในด้านในร้าน “ลมเย็นด้านนอกนั่นทะลุเสื้อผ้าเข้ามา ความชื้นยิ่งทำให้เย็นลงไปอีก”
ลั่วฉวนพอได้ยิน เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชุดกันลม
สายลมเย็นเยือกถือเป็นการโจมตีทางกายภาพ ตราบเท่าที่สวมใส่ชุดกันลมเอาไว้ ไม่ว่าหนาวอย่างไรก็เอาอยู่
ฤดูหนาวของทางใต้ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน บางทีอาจกระทั่งทะลุมาได้ สวมใส่ชุดหนาไปเพียงใดก็แทบไร้ค่า
มันราวกับเป็นเวทมนตร์
เป็นเวทมนตร์โจมตีที่ทำหน้าที่ดีบัพ ส่งผลให้เสียเลือดอย่างต่อเนื่อง
นครจิ่วเหยาก็น่าจะใกล้เผชิญฤดูหนาวของทางใต้ที่ใกล้มาเยือน
ขณะที่ฝนเริ่มเลือนหาย ความเย็นจะก่อตัวและนำพามาซึ่งฤดูหนาว
หลังผ่านฝนที่ตกหนักหลายสิบวัน ความชื้นในอากาศก็พุ่งขึ้นสูง
ต่อให้ถือร่มเดินทางไปมาได้ แต่เสื้อผ้าหนาเตอะทำให้เกิดความลำบากจนไม่อยากสวมใส่
แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ กับลั่วฉวนที่อยู่แต่ในร้านไม่เคยได้ประสบแม้เล็กน้อย
“เถ้าแก่ ผลงานของท่านพอจะใส่ฉากต่อสู้ลงไปเพิ่มได้หรือไม่? ข้าคิดว่ามันขาดสีสันด้านนี้ไป” เหยาซือหยานที่อ่านผลงานตอนล่าสุดของลั่วฉวนเผยข้อเสนอแนะออกมา
ชีวิตไม่มีใดเรียบง่ายจริงแท้ เสียงถอนหายใจปรากฏ ลั่วฉวนผายมืออย่างอับจน “แต่ข้าชอบชีวิตประจำวันเช่นนี้”
“เอ่อ… นั่นก็จริง” เหยาซือหยานคิดตามก่อนพยักหน้ารับ
“นอกจากนี้แล้วมีอะไรพบเห็นจากการอ่านอีกไหม?” ลั่วฉวนเผยความลึกลับออกมาทางสีหน้า
“ตัวละคร?” เหยาซือหยานครุ่นคิดก่อนจะเกิดความลังเล “ชีวิตประจำวัน?”
“นั่นแค่ส่วนหนึ่ง” ลั่วฉวนเอนกายกับโซฟา “หมายถึงคือการเขียน”
“การเขียน?” เหยาซือหยานกระพริบตาตอบ
“ในตอนที่เขียนผลงาน บ่อยครั้งมักจะเผลอใส่ผลงานที่อ่านรวมเข้าไปด้วย” ลั่วฉวนเผยยิ้มกล่าวบอก “ตอนรู้ตัว มันก็เป็นความรู้สึกที่แปลกไม่น้อย”
“นั่นคือสาเหตุที่ทำให้รูปแบบการเขียนเปลี่ยนแปลงไปนี่เอง” เหยาซือหยานค่อยพบเจอเงาที่ติดค้างมานาน ตอนนี้นางเพิ่งได้รับคำตอบ