เมื่อมองไปที่อีกฝ่าย เจี๋ยสวี่ ก็ยิ้มเยาะเล็กน้อย”กานฉวน สามารถปันส่วนสิ่งเหล่านี้ให้กับทหารได้ แต่ถึงแม้จะเป็นตระกูล กาน ที่ร่ำรวย ก็ไม่สามารถรองรับค่าใช้จ่ายของกำลังพัล 600,000 นายได้อย่างแน่นอน เมืองฉิวซาน ตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม และ ตระกูลกาน ของเขาไม่สามารถทำธุรกิจที่มีรายได้ ได้ มันจึงไม่มีทางที่ตระกูลกานจะสามารถแบกรับมันได้ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงต้องหาทางหาอาหารและเงินเหล่านี้”
“และ ตระกูล โฮ่ว ของเจ้า ก็ตกเป็นเป้าหมาย ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว ตราบใดที่เขาร่วมมือกับตระกูล จาง เพื่อทำลายตระกูล โฮ่ว สถานการณ์ของเขาก็จะดีขึ้น ดังนั้นจดหมายนี้ เท็จหรือจริง เจ้าน่าจะรู้คำตอบในใจตัวเองอยู่แล้ว!”
หลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของอีกฝ่าย เจี๋ยสวี่ ก็กล่าวต่อ”เดิมที แผนการของพวกเขาคงเป็นไปได้ด้วยดี น่าเสียดาย พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่ากองทัพหลายแสนนาย จะถูกจัดการบนที่ราบภูเขาโดยฝ่าบาท ช่วงเวลาสั้น ๆ ยังคงถูกบุกโจมตีเมืองฉิวซาน เพื่อรองรับกองทัพที่เหลืออยู่นี้ พวกเขาจึงต้องการจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด และ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าและ ตระกูลโฮ่ว ของเจ้า ก็จะเป็นอันจบลง”
โฮ่วหลิน ที่ได้ฟังเขาได้สั่นศีรษะและตอบกลับ”เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว นอกเหนือจากหลักฐานที่เป็นจดหมายสองฉบับนี้ เจ้าไม่มีหลักฐานใดอื่นอีก แล้วเจ้าจะให้ข้าเชื่อใจเจ้างั้นหรือ?”
น้ำเสียงของ โฮ่วหลิน ที่มีต่อ เจี๋ยสวี่ ดีขึ้นมากกว่าเดิม เพราะเขาคิดถึงทัศนคติของ จางเป็งยี่ ก่อนหน้านี้ ที่ต้องการถอยกลับเข้าเมืองชั้นใน และ มันก็อาจเป็นไปได้ว่าเนื้อหาในจดหมายนั้นเป็นความจริง
แต่ทว่า เขาไม่อาจหลงเชื่อคำพูดง่าย ๆ ของ เจี๋ยสวี่ อย่างแน่นอน
เจี๋ยสวี่ ได้ยิ้มอย่างเฉยเมย”เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า สำหรับข้าแล้ว ข้าไม่สนใจ”
เจี๋ยสวี่ ได้กล่าวต่อ”จุดประสงค์ในการมาของข้าคือการชักชวนและโน้มน้าวเจ้า ก็เพื่อช่วยเหลือ เจ้า และ กองทัพของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าอยากให้เจ้ายอมจำนนจริง ๆ งั้นหรือ?”
เจี๋ยสวี่ ได้หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา”แม้ว่าเจ้าจะสู้ศึกอยู่ในเมืองชั้นใน แต่เจ้าคิดว่าจะสามารถต้านทานพวกเราได้ยาวนานถึงหนึ่งปี จริง ๆ ? ข้า เจี๋ยสวี่ ไม่กลัวที่จะบอกเจ้าถึงแผนการของข้า ข้าได้จัดเตรียมน้ำมันก๊าซพิเศษ รอพวกเจ้าไว้อยู่แล้ว ในแผนการ มีข้า,แม่ทัพเกาชุน,แม่ทัพลิโป้ และ เสนาบดีซุนฮก เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่สามารถบินอยู่บนท้องฟ้าได้ จากนั้นก็ใช้แหวนเก็บของ เพื่อเทน้ำมันก๊าซพิเศษลงไปในเมืองชั้นใน ! จุดไฟให้สว่างขึ้น ภายในหนึ่งคืน กองทัพ 200,000 นายของพวกเจ้า จะกลายเป็นลูกแกะตัวน้อยที่ถูกย่างสด ญาติมิตรสหายของเจ้าจะถูกเผาจนเกรียม จนไม่เหลือเค้าโครงของมนุษย์!”
“เจ้า….เจ้า…เจ้ากล้าคิดแผนการอำมหิตเช่นนี่ได้อย่างไร! เจ้าไม่กลัวที่จะเผาพลเรือนกว่า 300,000 ชีวิต ที่อยู่ในเมืองชั้นในหรือไม่ เจ้าไม่กลัวถูกสาปแช่งจากคนเหล่านี้งั้นหรอ”โฮ่วหลิน กล่าวพูดด้วยความโกรธ
“ฮ่าฮ่า!”
เจี๋ยสวี่ ได้หัวเราะออกมา”ข้า เจี๋ยสวี่ ถูกเรียกว่านักวิชาการพิษ ถูกเขียนในวรรณกรรมเกี่ยวกับวีรกรรมอันอำมหิต หากข้าไม่มีวิทยายุทธ์เกี่ยวกับแผนการพิษเช่นนี้ ข้าจะถูกเรียกว่า นักวิชาการพิษได้อย่างไร เกี่ยวกับ ที่ราบลั่วซานหยวน เจ้าก็คงจะได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้ว ข้าได้ปล่อยน้ำท่วมและจุดไฟเผากองทัพ 650,000 นาย หากพวกมันต้องการสาปแช่งข้า ก็ไปสาปแช่งข้าใน ปรโลกเถอะ เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจมันหรือไม่?”
“สิ่งที่ข้า เจี๋ยสวี่ ให้ความสำคัญก็คือ ความคิดของฝ่าบาท หากฝ่าบาทต้องการให้ข้าตายข้าก็จะไม่ลังเล”
นักวิชาการคนนี้ยอมตายเพื่อนายเหนือหัว!
เจี๋ยสวี่ ได้ตีความประโยคนี้ออกมา
ใบหน้าของ โฮ่วหลิน ได้มืดมนอย่างมาก เมื่อนึกถึงฉากที่น่ากลัวเขาอดไม่ได้ที่จะสั่น
เจี๋ยสวี่ มองไปที่ โฮ่วหลิน และพูดอีกครั้ง”ตระกูลโฮ่ว ของเจ้า มีชื่อเสียงที่ดีในเมืองฉิวซาน ดังนั้นข้าจึงได้มองหาเจ้า และ อยากจะช่วยชีวิตของเจ้า แต่ทว่า เจ้าจะเลือกแบบไหน ก็สุดแต่เจ้า เพราะยังไง หากเจ้าไม่เห็นด้วย ก็รอดูผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้เลย ข้าเชื่อว่า พวกเจ้าไม่สามารถทนอยู่ในเมืองชั้นในได้เกินสามวัน!”
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปที่ โฮ่วหลิน”บอกข้าสิ ว่าเจ้าเลือกอะไร?”
โฮ่วหลิน ได้นิ่งเงียบ
เจี๋ยสวี่ ได้เตรียมหันหลังและจะจากไป
แต่ ขณะที่ เจี๋ยสวี่ เตรียมจะจากไป โฮ่วหลิน ก็กล่าวพูดอย่างกระวนกระวาย”อัครมหาเสนาบดีเจี๋ย ได้โปรดรอก่อน ให้ข้าได้มีเวลาคิดหน่อยจะได้หรือไม่?”
ขณะที่ เจี๋ยสวี่ หันหลังอยู่ และ ได้ยินเช่นนี้ เขาก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า ดูเหมือนแผนการของเขาจะสำเร็จแล้ว
เจี๋ยสวี่ ได้หันศีรษะไปมอง โฮ่วหลินและตอบกลับ”ข้าให้เวลาเจ้าคิดสองวัน หลังจากนั้นข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้ง!”
หลังจากพูดจบ เจี๋ยสวี่ ก็จากไป
หลังจากเขาจากไป โฮ่วหลิน ได้ยิ้มอย่างขมขื่น และ นั่งอยู่ในศาลาของเขา”ลู่เฟิง หน่อ ลู่เฟิง เจ้าไปรับคนเหล่านี้ มาอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเจ้า เกี่ยวกับกลยุทธ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ ยังมีใครกล้าที่จะคิดอีกเช่นนั้นหรือ?”
แสงเย็นวาบได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา”จางเป็งยี่ ,กานฉวน ในเมื่อพวกเจ้าคิดจะจัดการข้า ก็อย่ากล่าวโทษข้าที่จะเลือกเดินทางนี้”
สองวันต่อมา เจี๋ยสวี่ ได้มาที่ศาลาอีกครั้ง
โฮ่วหลิน ได้มารอเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็น เจี๋ยสวี่ มาเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวพูดด้วยความเคารพทันที”คนทรยศคนนี้ ยินดีให้ความร่วมมือกับท่านอัครมหาเสนาบดีเจี๋ย”
โฮ่วหลิน เลือกที่จะยอมจำนน
เขาไม่ต้องการเห็นญาติมิตรของเขาส่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญภายใต้เปลวไฟของการแผดเผา
เขาไม่สามารถฝากความหวังไว้กับการถอยทัพของลู่เฟิงได้ เพราะ ในสถานการณ์เช่นนี้ คนของเขาที่มีโอกาสหนทางรอดย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ตระกูลชนชั้นสูง ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวเป็นอันดับแรกเสมอ!
ใบหน้าของ เจี๋ยสวี่ ได้นิ่งเรียบและพยักหน้า”เปิดประตูเมืองและนำกองทัพของเจ้าออกจากเมืองวางอาวุธลงและคุกเข่าลงที่พื้น!”
“คนทรยศผู้นี้จะเชื่อฟัง!”
โฮ่วหลิน ได้ตอบตกลงและรีบออกจากศาลาทันที
เจี๋ย ได้ออกจากคฤหาสน์ของตระกูลโฮ่ว และ เคลื่อนไหวไปพร้อมกับนักฆ่าจินยี่เหว่ยในชุดสีดำ
“ไปได้!”
เจี๋ยสวี่ ได้พาคนเหล่านี้จากไปทันที
นอกประตูทางตะวันออกของเมืองชั้นใน ลู่เฟิง ได้อยู่ที่นี่ พร้อมกับ ซุนฮก และ ลิโป้
“ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าท่านอัครมหาเสนาบดี ไปเชื้อเชิญศัตรูด้วยวิธีใด ดูจากธงบนกำแพงแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาตั้งใจจะยอมแพ้ แต่ข้าได้สั่งทหารของข้าให้เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว”ลิโป้ ได้กล่าวพูดออกมา
ลู่เฟิง ไม่รู้จะตอบยังไง
เขายังไม่รู้แผนการของ เจี๋ยสวี่ เลย
ถ้าเขาไม่รู้ว่า เจี๋ยสวี่ ภักดีต่อเขา เขาคงเริ่มสงสัยแล้วว่า เจี๋ยสวี่ คงวางแผนการอะไรบางอย่างท้ายที่สุดกลยุทธ์ของ เจี๋ยสวี่ ก็ลึกลับเกินไป
“เหวินยื่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหวินเหอ มีแผนจะทำอะไร?”ลู่เฟิง ได้หันศีรษะไปกล่าวถามซุนฮก
ซุนฮก ได้หยุดคิดเล็กน้อยและตอบกลับ”เหวินเหอ ไม่ได้อยู่ในค่ายหลายวันมานี้ เขาคงพยายามเกลี่ยกล่อมอีกฝ่ายให้ยอมจำนน แต่ข้าน้อยไม่รู้ว่าเขาจะใช้แผนการอะไรทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน”
“ดูเหมือนว่าพวกเราคงจะไม่สามารถ….”
เอี๊ยดด…
ขณะที่ลู่เฟิง พูดไม่ทันจบ ประตูเมืองที่อยู่ข้างหน้าก็เปิดออก
แม่ทัพโฮ่วหลิน และ คนของเขา ได้เดินออกมา กระทั่งคนที่ยืนอยู่บนกำแพงก็ลงมาด้วย
พวกเขาใช้เวลานานในการรูปแบบที่ดีและจากนั้น….
โฮ่วหลิน ก็คุกเข่าลงก่อนที่จะกล่าวพูดขึ้น”คนทรยศผู้นี้ ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาททรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน!”
แม่ทัพ และ ทหารที่อยู่ข้างหลังทั้งหมดได้คุกเข่าลงบนพื้นและเปล่งเสียงพร้อมกัน
ลู่เฟิงผงะไปชั่วขณะ เจี๋ยสวี่ สามารถทำให้ กองทัพของ โฮ่วหลิน ยอมจำนนได้ งั้นหรือ?
เขาไม่อยากจะเชื่อเลย แต่การคุกเข่าลงบนพื้นคือหลักฐานที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้น ลู่เฟิง ก็หรี่ตาและบ่นเสียงพึมพัม”เจี๋ยสวี่ เจ้าสมควรถูกเรียกว่าที่ปรึกษาที่ชาญฉลาดที่สุด ในยุคนั้นจริง ๆ “
แต่…
หลังจากครุ่นคิด ลู่เฟิง ก็ยิ้มออกมา โชคดีที่ เจี๋ยสวี่ เป็นคนของเขา ถ้าอีกฝ่ายเป็นศัตรูของเขา เขาไม่อยากจะคิดเกี่ยวกับมัน
ในเวลานี้ จู่ ๆ ลู่เฟิง ก็นึกถึงบทสนทนาระหว่าง หลิวปัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น และ หานซิ่น
หลิวปัง ถาม หานซิ่น : เจ้านำกองกำลังทหารมากี่คน?
หานซิ่น ตอบ : ข้าน้อยนำกองทัพมาทั้งหมด 100,000 นาย
หลิวปัง ถาม หานซิ่น อีกครั้ง : ดูเหมือนจะเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว
หานซิ่น ตอบ : ขอรับ
ต่อมาหลิวปัง ได้กล่าวถามอีกครั้ง : เจ้านำทหารมามากขนาดนี้แต่ทำไมเจ้าถึงยอมจำนนต่อข้า?
หานซิ่น ตอบ : แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่เก่งในเรื่องการนำทัพ แต่พระองค์เก่งในด้านการชี้นำแม่ทัพ!
เมื่อพูดอย่างตรงไปตรงมา กล่าวก็คือ จักรพรรดิ ไม่จำเป็นจะต้องมีความสามารถมากมายในการเป็นผู้นำทัพ แต่จักต้องมีความสามารถในการชี้นำแม่ทัพที่อยู่ภายใต้การบัญชา
ในเรื่องนี้ ลู่เฟิง รู้สึกเหมือนกับ หลิวปัง เขาปล่อยให้ แม่ทัพของเขานำทัพเพียงลำพัง โดยที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือใด ๆ แต่เขาสามารถเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดีและใช้ประโยชน์จากคนของเขาเช่น เจี๋ยสวี่,ซุนฮก เกาชุน และ ลิโป้
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาสามารถเอาชนะ ราชาเมกาทรอนลู่เว่ยได้
ความแตกต่างของเขาเพียงอย่างเดียวกับ หลิวปิง ก็คือ เขาจะไม่ทำสิ่งที่ฆ่านกและซ่อนคันธนู สำหรับ กระต่ายเจ้าเล่ห์จุดจบคือความตาย และ ลูกแกะก็เป็นเพียงได้แค่อาหารเท่านั้น
เขาจะไม่สั่งฆ่า ข้าราชบริพารที่มีพระคุณ!