บทที่ 758 เธอให้กำเนิดลูกชายที่ดี
หลังจากที่บุริศร์ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ให้กิจจาเรียบร้อยแล้ว พอเดินลงมาชั้นล่างแล้วไปที่ห้องรับแขก ก็เห็นว่านรมนกำลังนั่งเหม่ออยู่ในห้องรับแขก
“เป็นอะไรไป ?”
“โทรศัพท์ของป้องกับกานต์โทรไม่ติด และพวกเขาก็ไม่ได้อยู่บนเครื่องบินด้วย คุณว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า ?”
ตอนนี้นรมนเริ่มกระวนกระวายใจแล้ว
บุริศร์เห็นเธอกังวลใจแบบนี้ ก็รีบพูดปลอบโยนทันที “มีป้องอยู่ด้วย กานต์ไม่มีทางเป็นอะไรหรอก เธอวางใจเถอะ พวกเขาอาจจะติดธุระอะไรอยู่ก็ได้ รออีกหน่อยเถอะ จะต้องมีข่าวคราวแน่”
“แต่ฉันเป็นกังวล ฉันกลัว”
นรมนสองมือกอดเข่า คำพูดที่พูดออกมาทำให้บุริศร์รู้สึกอึดอัดใจ
ตั้งแต่นรมนพาลูกกลับมา รอบตัวพวกเขาก็มีแต่เรื่องเกิดขึ้นไม่หยุด ทำให้นรมนรู้สึกไม่ปลอดภัย
เขารู้ดีกว่าใครว่านรมนอยากจะปกป้องพวกลูกๆให้พ้นจากอันตราย แต่ว่าตอนนี้เหมือนจะทำให้เธอเกิดเงาฝังใจไปแล้ว
“เชื่อฉันเถอะ กานต์ไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก”
“อืม”
นรมนพยักหน้า แต่ว่าความกังวลที่อยู่ตรงหว่างคิ้วไม่ได้ลดน้อยลงเลย
บุริศร์รู้ดี หากไม่ได้ข่าวคราวจากกานต์ นรมนไม่มีทางวางใจได้ลง
เขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรไปหาหลายๆคน เพียงไม่นานก็มีข่าวคราวของกานต์ส่งมา
“ประธานบุริศร์ คุณได้ลูกชายที่ดีจริงๆ อายุน้อยแค่นี้ก็มีความสามารถแล้ว สามารถบุกเข้าไปในเครือข่ายป้องกันภายในของพื้นที่ทหารของเราได้ คุณวางใจเถอะ ตอนนี้เขากับป้องอยู่ในค่ายทหาร ผู้นำที่อยู่เบื้องบนอยากเจอลูกชายคุณ ต้นกล้าที่ดีแบบนี้จะไม่ให้บ่มเพาะตั้งแต่ยังเยาว์วัยได้ยังไง คุณว่าจริงไหม ?”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้นรมนกับบุริศร์นิ่งอึ้งไปทันที
บุริศร์รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “เด็กน้อยไม่รู้ความ เดี๋ยวผมจะสั่งสอนเขาทีหลังเอง”
“อย่าเลยๆๆ เด็กคนนี้มีความสามารถมาก พวกเราตั้งใจว่าบ่มเพาะอย่างดี เพียงแต่ไม่เข้าใจความคิดของพวกคุณ ว่าอยากจะให้เขาเติบโตขึ้นมาพัฒนาไปทางด้านการทหารไหม”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้นรมนรู้สึกเหนือความคาดหมายมาก
บุริศร์หัวเราะแล้วพูดว่า “เดี๋ยวพวกเราลองคิดดูก่อนแล้วกันครับ ไม่ทราบว่ากานต์จะกลับมาได้เมื่อไหร่ ?”
“ช่วงบ่ายก็กลับไปได้แล้วครับ มีป้องอยู่ด้วย คุณจะกังวลไปทำไม วางใจเถอะ ตอนนี้พวกเราแทบอยากจะซ่อนลูกชายคุณไว้เหมือนสมบัติล้ำค่า ไม่มีทางทำอะไรเขาหรอก”
บุริศร์หัวเราะออกมา ทั้งสองแลกเปลี่ยนทักทายกันอีกครั้ง จากนั้นจึงได้วางสายไป
นรมนรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป พอบุริศร์วางสายไปก็รีบถามทันที “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ?”
“เปล่า”
บุริศร์มองดูนรมนอย่างขบขันเล็กน้อย
จู่ๆนรมนก็ตบบุริศร์ทีหนึ่ง
“เป็นเพราะคุณ ฉันบอกกี่ครั้งแล้ว อย่าให้กานต์แตะต้องพวกคอมพิวเตอร์แฮกเกอร์พวกนั้นอีก คุณก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ? ถูกคนอื่นจับได้คาหนังคาเขา แถมยังถูกพาตัวไปที่เขตทหารอีก คุณพูดสิว่าถ้าไปก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ?”
นรมนพูดอย่างหดหู่
บุริศร์รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “นี่ก็แสดงให้เห็นว่าลูกชายของพวกเรายอดเยี่ยมมากไง เธอไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเหรอ จะบ่มเพาะลูกชายของเธอตั้งแต่วัยเด็กเลยนะ”
“คนอื่นก็แค่พูดเอาใจเท่านั้นแหละ คุณฟังไม่ออกเหรอ ? ฉันจะบอกคุณนะบุริศร์ ถ้าต่อไปกานต์กล้าแฮกอินเทอร์เน็ตของคนอื่นอีก ฉันจะเอาเรื่องกับคุณ”
นรมนลุกขึ้นแล้วเดินจากไปราวกับแม่เสือ
“ไม่ใช่สิ เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ ? ฉันห้ามเขาไม่ได้สักหน่อย”
บุริศร์รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
นรมนพูดทั้งๆที่ไม่หันกลับมามอง “ลูกชายเป็นเมล็ดพันธุ์ของคุณ หรือว่าเขาจะไปเหมือนคนที่เดินอยู่บนท้องถนนกันล่ะ ?”
คำพูดนี้ทำให้บุริศร์เถียงไม่ออก
เอาเถอะ เขาก็ทำได้แค่ยอมรับว่ายีนของตัวเองนั้นแข็งแกร่ง ถึงได้กำเนิดลูกชายที่เก่งกาจแบบนี้ แล้วถือว่าเป็นความผิดของเขาด้วยเหรอ ?
บุริศร์ส่ายหน้า
หลังจากที่นรมนรู้ว่ากานต์ไม่เป็นไรแล้ว หัวใจที่กระจุกอยู่ก็ผ่อนคลายลง
เธอกลับห้องไปอาบน้ำ จากนั้นก็ง่วงเล็กน้อย เลยขึ้นเตียงไปเพื่องีบ
บุริศร์รอให้นรมนลงมาสั่งสอนตัวเอง แต่ว่ารออยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นนรมนลงมา เขาเลยขึ้นไปดูด้วยตัวเอง
พอเขาเห็นว่านรมนนอนหลับอยู่ ก็อดขำออกมาไม่ได้
ลูกๆเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเธอ พอรู้ว่าลูกไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ไร้ความกังวลใจ ก็เลยง่วงเป็นธรรมดา
การท่องเที่ยวเดิมทีก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยอยู่แล้ว แถมยังมีเรื่องของเจตต์กับนิตาแถมมาด้วย ทำให้นรมนไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
บุริศร์ปรับอุณหภูมิภายในห้องนอน จากนั้นก็ห่มผ้าให้นรมน แล้วถึงได้ไปที่ห้องหนังสือ
หลังจากที่พฤกษ์รู้ว่าบุริศร์กลับมาแล้ว ก็เกือบจะร้องไห้ออกมา
“ประธานบุริศร์ ถ้าคุณไม่พอใจผมก็พูดมาตามตรงเถอะครับ งานมากมายขนาดนี้ ผมทำไม่ไหวจริงๆ ผมไม่ได้ติดต่อกับคมทิพย์มาอาทิตย์กว่าแล้ว ขอร้องล่ะประธานบุริศร์ คุณช่วยให้วันหยุดผมหน่อยให้ผมได้ไปตามสะใภ้กลับมาได้ไหมครับ ?”
พอได้ยินพฤกษ์พูดแบบนี้ บุริศร์ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
“ประธานบุริศร์ อย่าทำตัวไร้ความปรานีแบบนี้สิครับ คุณมีภรรยากับลูกๆคอยอยู่เคียงข้าง แต่ผมต้องค้างที่บริษัททุกวัน ขนาดเวลาที่จะโทรหาคู่หมั้นยังไม่มีเลย เป็นผมไม่ได้ง่ายหรอกนะครับ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทฮัวยูกรุ๊ปจำกัด ยังมีของบริษัทร่วมทุนอีก ผมไม่ใช่คุณนะครับ ประธานบุริศร์ ผมทำงานที่มีความยากขนาดนี้ไม่ไหวหรอก ผมจะพังทลายอยู่แล้ว ผมต้องการวันหยุดพักผ่อนครับ!”
ตอนนี้พฤกษ์แทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
บุริศร์หัวเราะแล้วพูดว่า “มีงานไหนที่ยังไม่ได้จัดการอีก ส่งมาให้ฉันเลย เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“จริงเหรอครับ ?”
“อยากพักไหมล่ะ ? ถ้าไม่อยากนายก็ทำต่อไป ฉันจะไปพักผ่อน”
พอบุริศร์พูดประโยคนั้นออกมา พฤกษ์ก็ส่งงานที่เหลือไปที่อีเมลของบุริศร์ทันที
“ประธานบุริศร์ คุณน่ารักและยิ่งใหญ่และเอาใจใส่ลูกน้องที่สุดเลยครับ ขอบคุณมาก”
คำพูดยกยอชุดใหญ่ของพฤกษ์ทำให้บุริศร์ตัวลอย
ใช่แล้ว เจตต์เจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยที่ยูนนาน อาจจะกลับมาไม่ได้สักระยะ ถ้านายไม่มีเรื่องอะไรก็กลับไปดูคนชราทั้งสองคนหน่อย”
พอพฤกษ์ได้ยินบุริศร์พูดแบบนี้ ก็รีบถามทันที “เขาไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?”
“เขาจัดการตัวเองได้ นายไม่ต้องกังวล”
“ครับ ผมจะกลับไปดูเอง”
พฤกษ์กับบุริศร์สิ้นสุดการสนทนา
บุริศร์มองดูงานที่อยู่เบื้องหน้า แล้วถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มทำงาน
พอพฤกษ์เก็บข้าวของเสร็จก็โทรไปหาคมทิพย์ แต่ว่าอีกฝั่งไม่มีคนรับสาย
ดูท่าทางคมทิพย์คงโกรธ
พฤกษ์ตัดสินใจว่าวันที่สองจะไปขอโทษคมทิพย์ต่อหน้า เขาไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของ จากนั้นก็กลับไปที่ตระกูลรัตติกรวรกุล
พอพรรษากับคุณนายรัตติกรวรกุลเห็นพฤกษ์กลับมา ก็ดีใจมาก
ทั้งสองคนรีบร้อนเข้ามาต้อนรับพฤกษ์
คุณนายรัตติกรวรกุลเห็นลูกชายตัวเองผอมโซ ก็พูดอย่างเป็นห่วงว่า “พฤกษ์ กลับมาอยู่บ้านเถอะ แม่กับพ่อของลูกทนดูลูกอยู่ข้างนอกไม่ได้ อีกอย่าง ลูกก็เป็นคุณชายของตระกูลรัตติกรวรกุลของพวกเรา ไปเป็นรองประธานให้บุริศร์ทำไม ? ถ้าหากลูกอยากจะเปิดบริษัท พ่อของลูกจะให้ทุนเอง พวกเราทำกันเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ ?”
พฤกษ์ได้ยินคุณนายรัตติกรวรกุลใช้ลูกไม้เดิมๆ ก็เริ่มไม่มีอารมณ์กินข้าวขึ้นมาทันที
“คุณแม่ครับ ถ้ายังทำแบบนี้อีก ผมจะไม่กลับมาบ้านแล้วจริงๆนะครับ”
เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ พรรษารีบหันไปถลึงตาใส่คุณนายรัตติกรวรกุลทันที จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ของนายเป็นแม่บ้าน ไม่เข้าใจอะไรหรอก รองประธานบริษัทฮัวยูกรุ๊ปจำกัดดีกว่าประธานบริษัทข้างนอกนั้นเป็นไหนๆ ยิ่งไปกว่านั้นทรัพยากรบุคคลยังกว้างขวางอีกด้วย ลูกชาย พ่อสนับสนุนลูกนะ”
พฤกษ์มองดูพรรษา แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ช่วงนี้พ่อติดต่อกับเจตต์บ้างไหมครับ ? รู้ไหมครับว่าเขาเป็นอะไรไป ?”
พรรษาชะงักไปทันที
“จะพูดถึงเขาทำไม ? เจ้าเด็กบ้านนั่นตอนนี้ไม่รู้ว่าไปเที่ยวเล่นที่ไหนแล้ว ช่วงนี้ไม่อยู่ที่เมืองชลธี เขาเอาแต่ใจตลอด อยากไปไหนก็ไป ไม่เคยบอกฉันก่อนสักคำ ฉันว่าวันไหนเขาตายอยู่ข้างนอก ฉันก็คงไม่รู้เรื่องรู้ราว”
คิ้วของพฤกษ์ขมวดแน่นทันที
“ถ้าหากเขาตายอยู่ข้างนอก พ่อจะดีใจมากเหรอครับ ? จะว่ายังไงก็พ่อลูกกันไม่ใช่เหรอ อีกอย่างผมรู้สึกว่าเขาทำได้ดีพอแล้ว ถ้าหากผมเป็นเขา ผมอาจจะทนให้แม่ของผมอยู่ที่บ้านนี้ต่อไปไม่ไหว”
คำพูดของพฤกษ์ทำให้คุณนายรัตติกรวรกุลหน้าแดงขึ้นมาทันที
“พฤกษ์ ลูกพูดอะไรของลูก ทำไมถึงออกตัวแทนเขาล่ะ ?”
“เขาไม่ใช่พี่น้องของผมเหรอ ? ผมออกตัวแทนเขาแล้วมันผิดตรงไหน ? พวกคุณอยู่ที่บ้าน เสพสุขกับทรัพย์สินที่เขาหามา แต่กลับไม่เคยสนใจไยดีเขา พวกคุณหวังให้ผมกลับมา แต่กลับไม่เคยสนใจว่าเจตต์อยู่ข้างนอกแล้วอึดอัดไหม หรือว่าในใจของพวกคุณ เจตต์ควรจะยอมรับกับทุกการกระทำของพวกคุณ จนถึงขั้นเห็นด้วย ? พวกคุณมีสิทธิ์ไปอะไรทำกับเขาแบบนั้น ? ขนาดเขาอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นบ้างก็ยังไม่รู้ ครอบครัวที่เย็นชาแบบนี้ พวกคุณยังอยากให้ผมกลับมา ? พวกคุณไม่รู้สึกว่ามันน่าขำ และแดกดันเกินไปเหรอ ?”
พอพฤกษ์พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที แต่กลับถูกคุณนายรัตติกรวรกุลคว้าปลายเสื้อเอาไว้
“พฤกษ์ เป็นความผิดของแม่เอง แต่ว่าแม่รักลูกนะ พ่อของลูกเองก็รักลูก แม่รู้ว่าผิดต่อเจตต์ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาแม่ก็เลยไม่เคยทำอะไรหรือว่าอะไรเขาเลยไง”
“แม่ยังจะพูดหรือทำอะไรเขาอีกล่ะ ? แม่ปล่อยให้เขาดูแม่ตัวเองกลายเป็นบ้าตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนี้ยังยืนอยู่ในฐานะคุณนายรัตติกรวรกุล แล้วเปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนกับพ่อของเขาอีก แม่ยังอยากจะทำอะไรอีก ?”
จู่ๆพฤกษ์ก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา
คนสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือพ่อและแม่ของเขา แต่ว่าเขากลับไม่อยากยอมรับ ไม่อยากแม้แต่น้อยเลยจริงๆ
เทียบกับพวกเขาแล้ว เขาอยากจะเป็นพี่น้องกับเจตต์มากกว่าอีก
“ผมไปก่อนนะครับ”
ครั้งนี้พฤกษ์ไม่อยู่ต่อแล้ว เขาเดินจากไปทันที
คุณนายรัตติกรวรกุลร้องตะโกนเรียก แต่ก็เรียกลูกชายกลับมาไม่ได้ เธอมองดูพรรษา ร้องไห้และโวยวายว่า “คุณก็พูดอะไรบ้างสิ ตอนนี้ลูกชายอยู่ข้างนอกทั้งวัน ไม่ยอมกลับบ้าน หรือว่าคุณไม่คิดถึงเขาเลย ?”
“พอได้แล้ว! เธอดูไม่ออกเหรอ ? พฤกษ์เป็นห่วงเจ้าบ้านนั่น หรือไม่เขาอาจจะเจอปัญหาอะไรบางอย่างจริงๆ”
พรรษานั้นยังเป็นห่วงเจตต์อยู่
คุณนายรัตติกรวรกุลเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ถึงแม้คุณจะอยากรู้ว่าเจตต์เป็นยังไง แล้วคุณรู้เหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน ?”
“ฉันไม่รู้ แต่ว่าต้องมีคนรู้แน่ ไม่ว่าเจตต์จะไปที่ไหน ก็จะต้องบอกคนๆนั้นแน่”
คำพูดของพรรษาทำให้สีหน้าของคุณนายรัตติกรวรกุลเปลี่ยนไปทันที
“คุณจะไปเยี่ยมเธอที่บ้านพักคนชราเหรอ ? ยี่สิบปีแล้วนะ คุณไม่เคยไปเจอเขาเลย คุณสัญญากับฉันแล้ว ว่าชีวิตนี้จะไม่ไปเจอเธออีก แต่ตอนนี้คุณกลับจะไปหาเธอ ?”
น้ำเสียงของคุณนายรัตติกรวรกุลสูงขึ้นมาทันที
พรรษาพูดอย่างรำคาญใจว่า “ฉันแค่จะไปถามเบาะแสของเจตต์ เธออย่าโวยวายอย่างไร้เหตุผลได้ไหม”
“ฉันไม่สน! ฉันไม่ยอมให้คุณไปหรอก! พรรษา คุณเคยพูดว่าคนที่คุณรักคือฉัน คุณจะต้องให้ฉันมีที่ยืน แต่ว่าตอนนี้ฉันนับประสาอะไร นอกจากคนนอกที่เรียกฉันว่าคุณนายรัตติกรวรกุลแล้ว ทางด้านกฎหมายฉันกับคุณไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย! ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันคุณเข้าใจไหม ?”