“เกิดอะไรขึ้น?”
บุริศร์อดที่จะถามไม่ได้ เมื่อเห็นนรมนร้อนรนใจจนอยากลุกลงมาจากเตียง
“พ่อแม่ของฉันไม่รับสาย และปิดมือถือ ฉันอยากไปดูพวกเขา มันน่าละอาย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมท่านเลย แม่กระทั่งโทรไปหาก็ไม่ ฉันมันอกตัญญูจริง พวกเขาต้องเสียใจแน่”
นรมนโทษตัวเอง
บุริศร์กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา และกระซิบ “เป็นความสะเพร่าของผมเอง ผมไม่ได้คิดให้รอบคอบ อย่างนี้ดีไหม ผมจะไปดูเอง คุณพักอยู่บ้านเถอะนะ”
“ไม่ค่ะ ฉันจะไปดูเอง หลายสัปดาห์แล้วที่ฉันไม่ได้ไปหาพวกเขา แถมพวกเขาไม่รับสายฉันด้วย ฉันรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย ดูด้วยตาตัวเอง ฉันจะได้หมดกังวล”
เมื่อได้ยินสิ่งที่นรมนพูด บุริศร์ก็ไม่สามารถบังคับให้เธออยู่บ้าน
“โอเค ถ้าอย่างนั่นคุณจัดการตัวเองให้เรียบร้อย กินอะไรสักหน่อย ร่างกายคุณไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน สุขภาพก็ไม่โอเค ถ้าไม่กินอะไรผมจะไม่ให้ออกนอกบ้านนะ”
นรมนพยักหน้า เมื่อได้ยินบุริศร์พูดอย่างนี้
“โอเค ฉันจะกินสักหน่อย พวกเด็กๆให้อยู่ในบ้านก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“ไม่มีปัญหา”
นรมนพยักหน้า
บุริศร์ยกอาหารขึ้นมา
นรมนจัดการตัวเอง นั่งลงกินอาหาร ถึงแม้บางครั้งจะรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่เธอก็ยังมองข้ามเบาะแสไป
เมื่อเห็นเธอกินอาหารหมดแล้ว บุริศร์ก็พูดเบา ๆ “ผมจะขับรถ คุณรอผมที่หน้าประตูนะ”
“ค่ะ”
นรมนหยิบของและลงไปชั้นล่าง เมื่อเธอเห็นธิดาก็จัดแจงพูดคุยสักสองสามคำ ก่อนจะออกไปกับบุริศร์
แม้ว่าบุริศร์รู้ว่านรมนกำลังร้อนใจ แต่เขาก็ยังขับรถไปเรื่อยๆ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านของพ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธน แต่น่าเสียดายที่ประตูล็อคอยู่
“ไม่อยู่บ้านเหรอ?”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ บุริศร์อดไม่ได้ที่จะถาม
“ฉันจะเข้าไปดูหน่อย”
นรมนหยิบกุญแจออกมาและเปิดเข้าไปในบ้าน ข้าวของข้างในถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่ นรมนเพิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
บุริศร์ตามหลังเธอไป ก็ไม่พบอะไร
“ดูเหมือนว่าจะออกไปข้างนอกนะ”
“คุณแม่บ้านในบ้านละ?”
นรมนค้นพบสิ่งที่มองข้ามไป
เนื่องจากพ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนอายุมากแล้ว และนรมนไม่สามารถกลับมาดูแลพวกเขาบ่อยๆ ได้ ดังนั้นเธอจึงจ้างแม่บ้านให้พวกเขา รวมทั้งแม่บ้านคนเดิมของตระกูลธนาศักดิ์ธนด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
บุริศร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณมีเบอรโทรของพวกเขาไหม”
“มีค่ะ ฉันหาก่อน”
นรมนหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างรวดเร็วและเริ่มค้นหา ไม่นานก็เจอ
เธอโทรหาแม่บ้าน
“สวัสดีค่ะ พี่รีอัน พ่อแม่ฉันไม่อยู่บ้านหรือคะ ทำไมพวกคุณก็ไม่อยู่? เกิดเรื่องอะไรไหม?”
พี่รีอันชะงักไปนิด ก่อนจะจำเสียงของนรมนได้
“คุณหนูใหญ่คะ ฉันเอง ฉันถูกคุณท่านธนาศักดิ์ธนไล่ออกแล้วค่ะ”
“ถูกไล่ออกแล้ว? ทำไมคะ?”
นรมนยิ่งงุนงงมากขึ้น
พี่รีอันถอนหายใจ ก่อนพูด “ฉันก็ไม่รู้ค่ะ ฉันจัดการทุกอย่างอย่างดี อยู่ๆวันหนึ่งคุณท่านธนาศักดิ์ธนก็บอกกับฉันว่าจะออกไปท่องเที่ยวรอบโลกกับคุณนายธนาศักดิ์ธน ไม่ต้องการให้พวกเราดูแลบ้านแล้ว ให้พวกเราออกไป และยังให้เงินเดือนเพิ่มแก่หนึ่งเดือน ทำไมหรือคะ? คุณหนูใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้หรือคะ?”
“ฉันไม่รู้ พ่อแม่ฉันไล่พวกคุณออกไปเมื่อไหร่คะ?”
นรมนถามอย่างรวดเร็ว
พี่รีอันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่นานนะคะ สิบสันก่อนนี่เอง”
“สิบวันก่อน? พ่อแม่ฉันบอกไหมคะว่าจะไปที่แรกที่ไหน?”
“ไม่ค่ะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรถาม ดังนั้นเราจึงไม่ถามค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่รีอันพูด นรมนก็ไม่รู้จะถามอะไรแล้ว
“ขอบคุณค่ะพี่รีอัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนูใหญ่ ฉันได้ยินคุณท่านธนาศักดิ์ธนพูด ตอนนี้คุณก็แต่งงานแล้ว ชีวิตมีความสุขดี พวกเขาอยู่บ้านว่างๆ ออกไปพักผ่อนหย่อนใจเสียหน่อย คุณหนูโทรหาพวกท่านสิคะ น่าจะรู้ว่าอยู่ไหนกันแล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่รีอันพูด นรมนก็รู้สึกหดหู่ใจ “มือถือพวกท่านปิดค่ะ”
“โอ้ อาจจะอยู่บนเครื่องบินนะคะ รออีกนิดเถอะค่ะ สักพักค่อยลองโทรอีกรอบ”
“คงต้องเป็นอย่างนั่นค่ะ ขอบคุณค่ะพี่รีอัน”
นรมนโทษตัวเองเป็นอย่างมาก หลังจากวางสายไป
บุริศร์โอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา และพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ผมไม่ดีเอง ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ของคุณ”
“ไม่เกี่ยวกับคุณเลยค่ะ คุณเป็นลูกเขย ฉันเป็นลูกสาว ฉันควรจะคิดว่าพ่อแม่ของฉันคงจะเหงาหลังจากที่ฉันแต่งงาน น่าจะรับพวกเขาไปที่บ้านของเราแต่แรกก็คงดี ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน ฉันก็ไม่รู้ ลูกอย่างฉันจะมีประโยชน์อะไรคะ? ไม่รู้ว่าจิตใจของพ่อแม่จะเศร้าแค่ไหน”
“อย่าคิดอย่างนี้สิ พ่อแม่ออกไปเที่ยวก็เป็นชีวิตวัยชราอย่างหนึ่ง พวกเขาทำงานหนักเพื่อคุณมาทั้งชีวิต ตอนนี้เขาสามารถปล่อยคุณไปได้ มันไม่เลวเลยที่จะมีชีวิตเล็กๆ เป็นของตัวเอง บางทีอาจจะอยู่บนเครื่องบินจริง รอสักพักแล้วค่อยโทรไปถามใหม่นะ”
บุริศร์ปลอบโยนนรมน
นรมนพยักหน้า
“ฉันอยากอยู่ที่สักพัก ได้ไหมคะ?”
“ดูพูดเข้าสิ ที่นี่คือบ้านเดิมของคุณนะ ถ้าคุณอยากอยู่ที่นี่ผมจะอยู่เป็นเพื่อน”
ความอ่อนโยนของบุริศร์ ทำให้นรมนซาบซึ้ง
“ไม่ต้องไปทำงานหรือคะ? ฉันอยู่คนเดียวได้นะ”
“งานทำเมื่อไหร่ก็ได้น่า ยิ่งไปกว่านั่นบริษัทได้จ่ายเงินจำนวนมากในการดูแลหัวกะทิเยอะเสียขนาดนั่น ผมต้องให้โอกาสเขาในการแสดงความสามารถเสียหน่อย ใช่ไหม? ช่วงนี้ผมไม่ไปไหน จะอยู่ข้างกายคุณกับลูกๆ บอกตามตรง แต่งงานกันมานานแล้ว ผมยังไม่เข้าห้องส่วนตัวของคุณเลย”
บุริศร์กล่าวอย่างรู้สึกผิด “ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่คุณไม่อยู่ ผมไม่ได้เข้าบ้านของตระกูลธนาศักดิ์ธนด้วยซ้ำ สองปีท้ายในที่สุดก็เข้ามา พ่อแม่ไม่ให้ผมเข้าห้องของคุณ สำหรับพวกเขา ห้องส่วนตัวของคุณเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด”
“ที่ไหนละ ธรรมดามาก ฉันจะพาคุณเข้าไปดู”
นรมนยิ้ม พลางจูงมือบุริศร์เข้าไปยังห้องของตัวเอง
การตกแต่งภายในห้องของตัวเองยังเหมือนเดิมตอนที่เธอยังไม่แต่งงาน ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
ที่นี่สะอาดมาก
นรมนมองทุกอย่างนี้ และรู้สึกเสียใจต่อพ่อแม่ของเธอมาก
“ตุ๊กตาพิงค์แพนเตอร์นี้พ่อฉันซื้อให้เมื่อตอนเจ็ดขวบ ตอนนั่นฉันเพ้อฝันมาก คิดว่าตัวเองอายุสิบแปด เก็บของขวัญพวกนี้คงถูกคงหัวเราะเยาะ แต่ตอนนี้คิดดูแล้ว ทั้งหมดเป็นความรักของพ่อแม่ จริงๆแล้วฉันยังคงชอบพิงค์แพนเตอร์มากๆเลยละ”
นรมนสัมผัสพิงค์แพนเตอร์บนเตียง พลางระลึกถึงความทรงจำเก่า
บุริศร์หยิบเสื้อคลุมออกมา ก่อนสวมให้เธอ และนั่งข้างๆ ก่อนกระซิบ “ตอนนี้คุณก็เพ้อฝันนี่ จริงๆแล้วหญิงสาวสามารถเพ้อฝันได้ตลอดชีวิต”
“แก่แล้ว ยังรักษาความเป็นหญิงสาวอย่างนั้นจะถูกคนหัวเราะเอาได้นะ”
“ใครกล้าหัวเราะคุณ? นอกจากผมแล้ว ยังมีเด็กตัวเหม็นอีกสองคน ถ้าพวกเขากล้าขำคุณ คุณดูแล้วกันว่าผมจะจัดการพวกเขาอย่างไร?”
นรมนหัวเราะขึ้นมาทันที
“ฉันจะไปทำลูกคุณได้อย่างไร ป่าเถื่อนจริง”
“ที่ไหนละ ทำลูกชายผมนี่คือสุขที่สุดแล้ว จริงสิ ผมลืมบอกคุณ ผมเพิ่งได้รับข่าวมาว่า สถานที่ที่กานต์ฝึกเป็นเขตอำนาจใต้การปกครองของอาสามพอดี”
เมื่อได้ยินคำพูดของบุริศร์ นรมนก็ตอบสนองทันที
“แย่ละ ฉันขอให้อาสามเอาแบบร่างมาให้ ตอนนี้ฉันอยู่นี่ อาสามจะหนีไปไหม? พวกเรากลับกันเถอะ”
หลังจากพูดแล้ว นรมนก็กำลังจะลุกขึ้น แต่ถูกบุริศร์ดึงไว้ก่อน
“รีบร้อนทำไม หนีก็หนีไปสิ เขาเป็นชายร่างใหญ่ขนาดนั่น กำลังขับรถ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็แค่ส่งมาอีกครั้งก็ได้แล้ว ตอนนี้คุณเป็นสมบัติของชาติแล้ว อย่ารีบ เชื่อฟังสิ”
นรมนหัวเราะขึ้นมาทันใด
“อย่าเอะอะสิ ฉันแค่ท้องเท่านั้น ดูท่าทางระวังของคุณ คุณเป็นอย่างนี้อีกครั้งทำให้ฉันคิดว่าที่คุณห่วงไม่ใช่ฉัน แต่เป็นลูกน้อยในท้องฉัน ฉันหึงนะ”
“เมียจ๋า ผมถูกใส่ความกับคำพูดของผม ไม่มีคุณจะมีลูกน้อยได้อย่างไร? ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ”
“ประจบจริงเลยนะคุณ”
นรมนยิ้ม แต่ก็ยังลุกขึ้น
“กลับเถอะ พ่อแม่ก็ไม่อยู่ วันหลังฉันจะพาคุณไปดู อาสามพูดถูก แบบร่างค่อนข้างสำคัญ ไม่ใช่ให้ใครมาส่งก็ได้ แถมฝั่งอาสามก็งานยุ่งมาก มาส่งให้ก็ไม่ง่าย ฉันยังจะทำให้เขาลำบากอีก”
เมื่อได้ยินว่านรมนคิดถึงธรรศมากขนาดนี้ บุริศร์รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ภรรยา คนที่คุณห่วงมีเยอะมากไป ผมรู้สึกว่าไม่มีที่ยืน”
“ทำไมเป็นอย่างนั้นละ? คุณคือคนที่สำคัญที่สุดในใจฉันนะ”
นรมนจับใบหน้าของบุริศร์และจูบลงบนหน้าผากของเขา
“ไม่พอ”
บุริศร์มองนรมนเหมือนเด็ก แต่สองมือของเขาอยู่บนเอวของเธอแล้ว
นรมนจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าสายตาของเขาสื่อถึงอะไร?
เธอผลักเขาออก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่านะ คุณก็รู้ร่างกายของฉันตอนนี้ไม่ได้ หมอบอกแล้วว่าสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาพิเศษ ห้ามทำเรื่องอย่างว่า”
บุริศร์ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“จริงเหรอ?”
“ฉันจะโกหกคุณทำไมเล่า? ไปหาในเน็ตดูสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บุริศร์ก็หดหู่ทันที
“นี่ นี่ นี่ โธ่เอ๋ย เด็กคนนี้นี่มัน!”
นรมนหัวเราะทันที เมื่อเห็นท่าทางของเขา
“มันจะเป็นอย่างไร”
“จะขาดใจตายได้นะสิ!”
“แล้วให้ทำยังไง?”
นรมนมองไปที่บุริศร์อย่างลำบากใจ
บุริศร์ถอนหายใจ ก่อนพูด “ขาดใจตายเถอะ เพื่อคุณกับลูก ขาดใจตายก็ได้”
นรมนหัวเราะอีกครั้ง
เธอรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เป็นสิ่งที่เธอต้องการ และเธอไม่ขออะไรได้อีก
“โอเค รีบเถอะ อาสามคงกำลังมาแล้ว”
นรมนดึงบุริศร์ให้ลุกขึ้นยืน
บุริศร์ไม่ต้องการลุกขึ้นจริงๆ ก้นของเขาหนักเล็กน้อย และเมื่อตอนนรมนดึงเขาขึ้น ก็พลาดไปชนกับรูปบนโต๊ะข้างเตียง
เสียง เพล้ง ดังขึ้น กรอบรูปตกลงมา แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“โอ้ อย่าขยับนะคะ!”
นรมนกลัวเท้าบุริศร์จะเหยียบ เธอรีบห้าม จากนั้นตัวเองจึงไปเอาไม้กวาดที่ห้องน้ำ
บุริศร์พูดด้วยความกังวล “คุณช้าลงหน่อย”
“ค่ะ รู้แล้ว อย่าขยับนะ”
เมื่อนรมนไปเอาไม้กวาด บุริศร์ก็คุกเข่าลงและหยิบรูปถ่ายในกรอบ
นี่เป็นภาพถ่ายเดี่ยวของนรมนก่อนแต่งงาน เธอสวยงามมาก นั่นเป็นนรมนเมื่อก่อนที่แท้จริง
แม้ว่าตอนนี้นรมนจะสวยมากก็ตาม แต่บุริศร์ก็หวนคิดถึงเธอในตอนนั้น
บุริศร์หยิบรูปถ่ายขึ้นมา แต่ทันใดนั้นกลับพบว่ามีบางอย่างอยู่ภาพนี้