นรมนรู้สึกแปลกใจทันที
“คุณมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?”
หลังจากการต่อสู้เมื่อห้าปีก่อนได้มาเจอกับรเมศอีกครั้ง สีหน้าของนรมนค่อนข้างเย็นชา
มองเห็นผู้หญิงในดวงใจตอนนี้มองตนเองอย่างเย็นชา รเมศรู้สึกเจ็บปวดอย่างพูดไม่ออก
เขายังจำช่วงเวลาห้าปีที่นรมนกับเขาฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน จนแม้แต่ยังจำความสุขตอนพวกเขาสี่คนอยู่ด้วยกันได้ด้วยซ้ำไป
เพียงแต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้?
แม้แต่นรมนก็เกลียดชังตนเอง
หรือการรักคนคนหนึ่งคือเรื่องผิด?
รเมศมองนรมน พูดอย่างเสน่หา: “พวกเราหนีกันไม่พ้น นอกเสียจากคุณจะแต่งงานกับผมในฐานะของฉัตรยาแต่โดยดี”
“คุณเรื่องนี้มานานแล้วเหรอ?”
นรมนจำได้ว่ารเมศเป็นคนศัลยกรรมใบหน้านี้ให้แก่ตนเอง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ
เป็นเวลาห้าปี ถ้าเขารู้ทุกอย่างมานานแล้ว และยังทำเช่นนี้กับตนเองและลูก ๆ เช่นนั้นเธอคงไม่สามารถทนได้จริง ๆ
รเมศส่ายหน้าและกล่าวว่า: “ผมไม่รู้ ห้าปีก่อนการช่วยคุณอาจเป็นความต้องการของคุณย่า แต่ผมกลับไม่รู้ว่ามีเบื้องหลังมากมายเช่นนี้”
“คุณช่วยเหลือฉันคือความต้องการของคุณย่าคุณ?”
“ใช่ ตอนแรกผมไม่จำเป็นต้องไปทำธุรกิจอะไรที่เมืองชลธี เป็นคุณย่าของผมที่สั่งให้ผมต้องไปที่นั่น และยังให้ที่อยู่ของคุณ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็ไม่ดีที่จะไม่ทำตามคำสั่งของเธอ ดังนั้นจึงไปที่ปั๊มน้ำมันนั้น คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบคุณ จึงถือโอกาสช่วยคุณเอาไว้ ผมคิดมาตลอดว่าพระเจ้าให้โอกาสนี้กับผม กลับคิดไม่ถึงว่า ทั้งหมดนี้มีคนคำนวณและวางแผน แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผมขอบคุณห้าปีก่อนที่ได้เจอกัน ผมไม่เสียใจที่ห้าปีนั้นได้ใช้ชีวิตกับคุณ ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่รังเกียจที่คุณจะใช้ฐานะของฉัตรยามาใช้ชีวิตกับผมต่อ สำหรับผม ตราบใดที่เป็นคุณ คุณจะเป็นนรมนหรือฉัตรยาก็ไม่สำคัญ”
“แต่ฉันรังเกียจ !”
นรมนได้ยินรเมศพูดแบบนี้ อ้าปากปฏิเสธทันที
“ฉันก็คือฉัน ฉัตรยาก็คือฉัตรยา พวกเราเป็นคนละคนกัน ใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะลบล้างพวกเราคนใดคนหนึ่ง รเมศ อยู่ร่วมกันมาห้าปีคุณน่าจะรู้จักนิสัยของฉันนะ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไม่หวาน ฉันขอบคุณนะ แต่ฉันไม่ชอบคุณ นี่มันคนละเรื่องกัน และฉันคิดมาตลอด ครั้งที่แล้วบุริศร์สั่งสอนพวกคุณตระกูลวัชโรทัยไป พวกคุณตระกูลวัชโรทัยก็น่าจะหลาบจำสักหน่อย”
เมื่อรเมศได้ยินนรมนพูดถึงบุริศร์ก็มีสีหน้าและท่าทางภูมิใจในตนเอง รู้สึกอิจฉาตาร้อนไม่ได้
“ผมมีตรงไหนที่สู้บุริศร์ไม่ได้?”
“เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก รักก็คือรัก ถึงแม้เขาจะเป็นขอทานฉันก็ไม่สนใจ”
นรมนรู้สึกว่าตอนนี้พูดเรื่องเหล่านี้กับรเมศไปก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่ควรจะพูด เธอได้พูดไปหมดแล้ว แต่รเมศยังคงดื้อดึงยิ่งนัก เธอยังจะพูดอะไรได้อีก
รเมศได้ยินนรมนพูดเช่นนี้ สีหน้ากลายเป็นดูไม่ได้
นรมนรู้ดี พูดต่อไปก็มีแต่เสียเวลา
“หลีกไปซะ!หรือจะให้ฉันทำให้คุณหลีกไปเอง!คุณเลือกมา!”
ในระหว่างที่นรมนพูดก็เตรียมตัวลงมือ
แน่นอนว่ารเมศมองเห็นความตั้งใจของนรมน
เขาพูดอย่างเสียใจ: “ตอนนี้คุณคิดจะลงไม้ลงมือกับผมเหรอ?นรมน คุณจะลงมือกับผมจริง ๆ เหรอ?ผมอยากรู้ว่า ถ้าห้าปีก่อนไม่มีผม ไม่เพียงแค่คุณ แม้แต่ลูกในท้องของคุณคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”
“ตอนนี้คุณถึงยังได้มีชีวิตอยู่ ตอนนี้บนโลกใบนี้ถึงยังมีตระกูลวัชโรทัยอยู่ ไม่อย่างนั้นคุณคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณกับตระกูลวัชโรทัยทำกับฉันและลูก ๆ บุริศร์จะปล่อยคุณไปเหรอ?”
คำพูดของนรมนกระทบกระเทือนจิตใจของรเมศอีกครั้ง
“บุริศร์ บุริศร์!ตอนนี้คุณเอาแต่พูดว่าบุริศร์!ต้องให้มันตายใช่ไหมคุณถึงจะกลายเป็นของผมจริง ๆ ?ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นให้มันตายไปซะ!”
ในขณะที่พูด รเมศหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา
นรมนรู้ความตั้งใจของรเมศทันที
คราวนี้เธอไม่พูดอะไรสักคำ ก้าวขึ้นไปทันที ยกขาขึ้นสูง เตะวิทยุสื่อสารในมือของรเมศลอยไป จากนั้นบีบคอของรเมศทันที
“คุณอยากตายจริง ๆ ใช่ไหม?หรือคิดว่าการช่วยชีวิตฉันเมื่อห้าปีก่อนอย่างมีเจตนาแอบแฝงจะสามารถปกป้องคุณไปได้ตลอดชีวิต?คุณใช้ประโยชน์จากความผูกพันที่กานต์กับกมลมีต่อคุณเพื่อวางแผนทำร้ายพวกเราก็แล้วไป ตอนนี้คิดไม่ถึงว่ายังจะมีความคิดเพ้อเจ้ออยากครอบครองฉันอีก รเมศ คุณอยากอายุสั้นเหรอ?”
“คุณกล้าฆ่าผมเหรอ?คุณฆ่าผมได้ลงคอเหรอ?”
รเมศไม่ใส่ใจกับการกระทำของนรมน ราวกับไม่กังวลว่านรมนจะลงมือกับตนเองจริงหรือเปล่า
ห้าปีที่ผ่านมา นรมนอ่อนแอมากเกินไป ถึงแม้จะไม่เคยทอดทิ้งลูก แต่ในด้านอื่น รเมศมองเห็นความอ่อนแอและความเข้มแข็งของนรมน
แต่เข้มแข็งไม่พอให้เธอกล้าฆ่าเขา
นี่คือกำแพงป้องกันของรเมศ และเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงกล้ายั่วยุนรมนอย่างไร้ยางอาย อย่างไรเสียนรมนไม่ได้มีความเด็ดเดี่ยวเหมือนบุริศร์
นรมนจำต้องยอมรับว่า ตนเองไม่มีความกล้าที่จะฆ่าคนได้ ถึงแม้จะไม่ได้คิดถึงลูก แต่เธอก็คิดถึงบุริศร์
เพียงแต่การไม่ฆ่าคนไม่ได้แปลว่าเธอจะไม่ทำร้ายใคร
นรมนหัวเราะอย่างไม่แยแส ทุบไปที่คอของรเมศทันที
รเมศแปลกใจอย่างยิ่ง ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็สลบไป
นรมนโยนเข้าทิ้งไว้ข้าง ๆ หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา จากนั้นพวกเธอก็รับเข้าไปในห้องของฉัตรยา
ร่างของฉัตรยาหายไป!
นี่เป็นสิ่งแรกที่พบหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้อง
“ฉัตรยาล่ะ? ลูกสาวของฉัน?”
ดร.ฐานทัตค้นหาไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง
สีหน้าของนภดลบึ้งตึงอย่างน่ากลัว
นรมนรู้ว่า ฉัตรยาจะต้องถูกเรณุกาเอาศพไปซ่อนแน่นอน
ผู้หญิงคนนี้น่าเกลียดชังเกินไป!
แม้แต่คนตายก็ไม่เว้น!
ตราบใดที่ใช้ได้อย่างคุ้มค่า เธอจะเล่นมันอย่างเต็มที่ถึงจะปล่อยไป
“ไปเถอะ!”
นรมนไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้อีก
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉัตรยาตายไปแล้ว ตอนนี้นภดลยังมีชีวิตอยู่ คนเป็นสำคัญกว่าคนตายเสมอ
เธอดึงแขนของนภดล ใช้โทรศัพท์ในห้องของฉัตรยาโทรหาบุริศร์ บอกเรื่องระบบป้องกันตนเองของตระกูลจันทรวงศ์
บุริศร์ได้ยินเสียงของนรมนถึงจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คุณปลอดภัยใช่ไหม?”
“ฉันปลอดภัย ฉันกำลังจะพานภดลออกไปเพียงแต่ศพของฉัตรยาหายไป”
“ไม่เป็นไร เรณุกาจะตามหาพวกคุณอีก คุณมาที่ซอยด้านหลัง ผมได้แครกระบบป้องกันตนเองของพวกเขาแล้ว มีเวลาสองนาที ผมจะคอยช่วยพวกคุณอยู่ที่ประตู”
ได้ยินบุริศร์พูดเช่นนี้ ในที่สุดนรมนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ราวกับว่าตราบใดที่มีเขาอยู่ ไม่ว่าจะต้องเจอคลื่นลมแรงเพียงใดเธอก็ไม่หวาดหวั่น
“ได้”
หลังจากนรมนวางสาย ในขณะที่ดร.ฐานทัตยังคงตามหาร่างของฉัตรยาอยู่ ดึงมือของนภดลออกมา
เธอเดินไปพูดไปว่า: “ฉันรู้ว่าตอนนี้นายอยากตามหาร่างของฉัตรยามาก ๆ แต่นายฟังฉันพูดนะ ตราบใดที่เรณุกาอยากให้ฉันตาย เธอจะมีวิธีอื่นมาบีบบังคับฉัน ร่างของฉัตรยาอาจจะอยู่ในนั้นเหมือนกัน ฉันรับปากนาย ฉันจะพาร่างของฉัตรยาออกมาจากตระกูลจันทรวงศ์ให้ได้ แต่ตอนนี้ปัญหาอย่างแรกคือ นายต้องไปกับฉัน นายจำเป็นต้องออกไปก่อน เมื่อปลอดภัยแล้วฉันถึงจะทำเรื่องอื่นได้ นอกจากนี้นภดล ฉันท้องอยู่ ถึงแม้จะไม่ใช่อย่างอื่นก็ตาม เห็นแก่ลูกในท้องของฉันที่ไม่สามารถทำงานหนักได้มากเกินไป นายอย่าพูดจาอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรกับฉันตกลงไหม?”
นภดลอึ้งไป
เขามองท้องของนรมน ด้วยแววตายากที่จะเข้าใจ
“ได้”
เงียบไปสามวินาที นภดลเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ กลับทำให้นรมนรู้สึกว่าไม่จริง
“นายพูดอะไร?”
“ผมพูดว่าพวกเราออกไปกัน”
นภดลไม่มีความลังเลใด ๆ พลิกฝ่ามือดึงนรมนตรงออกไปข้างนอก
ดร.ฐานทัตยังคงหาร่างของฉัตรยาอย่างบ้าคลั่ง จนรู้สึกวิกลจริตเล็กน้อย
นรมนส่ายหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ ออกไปจากห้องของฉัตรยากับนภดลอย่างรวดเร็ว
บนทางเดินยังคงมีคนส่วนหนึ่งคอยสกัดอยู่โดยปริยาย เพียงแต่นรมนไม่หยุดเลยสักนิด รีบวิ่งตรงไปที่ซอยด้านหลัง
เมื่อใกล้จะถึงซอยด้านหลัง เธอมองเห็นบุริศร์ยืนอยู่ที่ประตูหลัง
เขาเหมือนกับประภาคาร ให้พละกำลังกับความกล้าหาญแก่นรมนในชั่วพริบตาเดียว
“บุริศร์!”
นรมนร้องเรียกเขาอย่างดีใจ
ในช่วงเวลาที่บุริศร์หันมา นรมนเกิดความรู้สึกเพียงแรกเห็นจดจำตลอดกาลขึ้นมาฉับพลัน
เธอรอไม่ไหวดึงมือของนภดลตรงไปหาบุริศร์
เมื่อบุริศร์มองเห็นนรมนจับมือนภดลแววตาก็ดูไม่ได้ แต่นึกถึงทุกอย่างที่นภดลทำเพื่อพวกเขา เขาจึงปล่อยวาง
แววตาแห่งความเชื่อใจและดีใจเป็นล้นพ้น ทำให้เขารู้สึกว่าแม้จะต้องมอบโลกให้ทั้งใบก็คุ้มค่า
บุริศร์อ้าแขนกว้าง กอดนรมนที่โผเข้ามาแน่น
เขาถามอย่างอ่อนโยน: “ บาดเจ็บหรือเปล่า? ให้ผมดูหน่อย”
นรมนสูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย ส่ายหน้ากล่าวว่า: “ฉันไม่เป็นไร ฉันคิดถึงคุณจังเลย”
เป็นครั้งแรกที่นรมนรู้สึกว่าจากบุริศร์ไปนานมาก
บุริศร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน
นภดลมองเห็นทั้งสองรักกันดีแบบนี้ ก็อดเจ็บปวดใจไม่ได้
ถึงฉัตรยายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาจจะมีความสุขด้วยกันแบบนี้ น่าเสียดาย ฉัตรยาไม่อาจรอถึงวันนี้ได้
แววตาของนภดลเศร้าสลดขึ้นมา
“พวกเราออกไปก่อนแล้วค่อยคุยเถอะ”
เขาใจไม่แข็งพอที่จะขัดจังหวะการปลอบใจของนรมนกับบุริศร์ แต่ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่ที่จะคุยกันจริง ๆ
“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
บุริศร์เหลือบมองนภดล เห็นทั้งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด จึงเอ่ยถามออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ยังไม่ตาย”
นภดลกัดฟัน มองตระกูลจันทรวงศ์อย่างเคียดแค้น มองที่ที่กักขังตนเองตั้งแต่เด็ก สุดท้ายกลับเพราะฉัตรยาจึงเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ วันนี้ไม่มีฉัตรยาแล้ว เขาอยากจะเผาที่นี่ให้วอดวาย
แต่เขายังมีสติ
บุริศร์เห็นสภาพเขายังดีอยู่ จึงรีบกล่าวว่า: “ ออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้”
กลุ่มคนเพิ่งออกจากประตูหลังกลุ่มคนเพิ่งออกจากประตูหลัง เสียงของเรณุกาดังขึ้น
“อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไป! รีบปิดประตูซะ!”
ฝีเท้าของบุริศร์ชะงักไปเล็กน้อย
เสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้ ถึงแม้จะกลายเป็นเถ้าถ่านเขาก็ยังจำได้
“เป็นเธอจริงเหรอ?”
“อืม”
ถึงแม้จะรู้ก่อนหน้านี้ว่าเรณุกายังมีชีวิตอยู่ แต่ในชั่วขณะที่ได้ยินเสียงของเรณุกาเองกับหู บุริศร์ยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง
นรมนเข้าใจความรู้สึกของเขา จึงบีบมือเขาแน่นและกล่าวว่า: “เธอไม่ใช่แม่ที่คุณรู้จักแล้ว หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เธอไม่เคยเป็นแม่ของคุณ หลายปีที่ผ่านมา คนที่เลี้ยงดูคุณคือป้าโอ คนที่ให้กำเนิดคุณคือป้าโอ เธอแค่เพียงต้องการควบคุมคุณกับตรินท์แค่นั้น”
“ผมเข้าใจแล้ว พวกเราไปเถอะ”
แววตาของบุริศร์เศร้าสลด
เมื่อกลุ่มคนเดินมาตรงที่จอดรถกลับพบว่า รถของพวกเขาไม่อยู่แล้ว