“คนพวกนี้จับตาดูพวกเราตั้งแต่เช้าเลยเหรอ?”
นรมนรับประทานไปถามไป
สายตาของบุริศร์เย็นชา
“คุณกินของคุณไปเถอะ เรื่องนี้ผมจัดการเอง”
หลังจากทั้งสองพูดจบ ก็มีคนสองสามคนเข้ามารุมล้อม
ชายรูปร่างสูงใหญ่หนึ่งในนั้นเหยียบลงบนเก้าอี้ทันที จากนั้นเท้าสะเอวและเอ่ยถามอย่างดุร้าย: “มาจากที่อื่นเหรอ? รู้ไหมถนนเส้นนี้ใครคุม?”
บทสนทนาคลาสสิกเช่นนี้ทำให้นรมนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“แหม่ นังนี้ยังจะหัวเราะอีก?เอาเงินออกมาซะ!ถ้าวันนี้ไม่ได้ถึงล้าน แกต้องอยู่กับฉันที่นี่แหละ!”
บุริศร์สีหน้าเปลี่ยนทันที
“แกพูดใหม่อีกครั้งสิ”
“ฉันจะพูดใหม่อีกครั้งทำไม?ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันทำจริงนะ แกจะทำอะไรได้?”
ในระหว่างที่พูด มือของผู้ชายยื่นไปตรงหน้านรมนอย่างเลวทราม คิดจะลูบไล้ใบหน้าของเธอ
ดวงตาของบุริศร์เยือกเย็น ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือของผู้ชายคนนั้น และพลิกกลับ จนเกิดเสียงดังก๊อบขึ้น เขาร้องโหยหวนออกมาทันที
“โอ๊ย ๆ ๆ ข้อมือฉัน!”
สีหน้าของบุริศร์กลับไร้ความรู้สึกใด ๆ เอ่ยถามว่า : “ใครส่งพวกแกมา?”
“ฉันไม่รู้ว่าแกพูดเรื่องอะไร รีบปล่อยฉันซะ ไม่อย่างนั้นแกได้โดนดีแน่!”
บุริศร์ถีบเขากระเด็นออกไปทันที
นรมนรับประทานอาหารเสร็จอย่างสวยงาม มองเห็นฉากตรงหน้า จึงส่ายหัวและถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ พวกแกมันน่าสมเพชจริง ๆ มาขวางพวกเราโดยไม่รู้เรื่องอะไรของพวกเราเลย รู้ไหมคำว่าตายสะกดยังไง?”
ผู้ชายคนอื่น ๆ เห็นบุริศร์เก่งกาจเช่นนี้ จึงขี้ขลาดตาขาวขึ้นมาทันที ต่างคนต่างถอยหลัง
“เห้ย พวกแกอย่าไปนะ!”
ผู้ชายคนที่ถูกถีบกระเด็นร้องโหยหวนอยู่บนพื้น มองดูคนของตนเองวิ่งหนีไป อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
บุริศร์ขี้เกียจสนใจพวกเขา เห็นนรมนกินข้าวเสร็จแล้ว ถึงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน: “ กินอิ่มแล้วเหรอ?”
“ค่ะ พวกเราไปกันเถอะ”
นรมนลุกขึ้น บุริศร์ประคองเธอเดินไปที่หน้ารถ จึงพบว่าล้อรถถูกคนเจาะลมยาง
บุริศร์ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
นรมนกลับขวางเขาเอาไว้และกล่าวว่า: “เอาเถอะ เมื่อสักครู่ลงมือยังไม่ทันได้กินอะไร รีบกินเถอะ”
ในขณะที่พูด เธอนำอาหารที่ตนเองใส่กล่องมาส่งให้บุริศร์
บุริศร์กล่าวเสียงเบาว่า: “กินไม่ลง เดี๋ยวผมจะไป ร้าน4Sแถวนี้ซื้อรถอีกคัน”
“ไม่ต้องซื้อแล้ว ซื้ออีกคันก็ถูกคนเจาะลมยางอีก คุณมองไม่ออกเหรอ?คนเหล่านี้ตั้งใจขัดขวางไม่ให้เราไปที่ตระกูลจันทรวงศ์ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใคร แต่เดาว่าพวกเขาขัดขวางพวกเราตลอด”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์นิ่งไปสักพักหนึ่ง จากนั้นจึงถามเสียงเบาว่า: “ งั้นพวกเราจะไม่ไปแล้วเหรอ?”
“ไปสิ แต่ไม่ต้องขับรถไปที่นั่น พวกเราสามารถเรียกรถไป หรือจะไปโดยรถประจำทางก็ได้ เพียงแต่สำหรับคุณคงจะเป็นประสบการณ์ใหม่ใช่ไหม?”
มองเห็นหน้าตาทะเล้นของนรมน บุริศร์อารมณ์ดีมากขึ้นมาทันที
“ตามใจคุณเลย”
บุริศร์รับประทานอาหารที่นรมนใส่กล่องมาให้ตนเอง ถึงแม้จะเป็นบะหมี่ธรรมดา ๆ ก็รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากทั้งสองรับประทานเสร็จ จึงพักผ่อนสักพักหนึ่ง และทิ้งรถเอาไว้ที่นี่ จากนั้นทั้งสองจึงโบกรถไปตระกูลจันทรวงศ์
พวกเขาติดรถคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งไป มองเห็นนรมนกับบุริศร์มีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ หญิงสาวจึงเอ่ยด้วยความอิจฉาอย่างยิ่ง: “ต้องตั้งท้องอย่างเดียวใช่ไหมผู้ชายถึงจะปฏิบัติต่อผู้หญิงเช่นนี้?”
นรมนมองบุริศร์ ตอบด้วยรอยยิ้มว่า: “เขาก็เป็นอย่างนี้เสมอแหละ นี่ฉันท้องสองแล้วนะ”
“หา? ท้องสอง? พี่สาว พี่กล้าหาญเกินไปหรือเปล่า?”
สีหน้าตกใจของหญิงสาวทำให้นรมนทำตัวไม่ถูก
ชายหนุ่มเห็นท่าทางของนรมน จึงรีบเอ่ยกับหญิงสาวข้างกายว่า: “พจนา ให้พี่สาวพักผ่อนเถอะ อย่าไปรบกวนเลย”
“โอ้”
หญิงสาวยื่นมือให้นรมน
“พี่สาวสวัสดีค่ะ ฉันชื่อพจนา นี่แฟนของฉัน เขาชื่อขัยแสง”
นรมนกำลังจะพูดว่าตนเองชื่ออะไร เพียงแต่นึกถึงสถานะที่มีความละเอียดอ่อนของตนเองกับบุริศร์ในตอนนี้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้: “ฉันชื่อชลลี่ นี่คือสามีของฉัน”
“พี่ชลลี่ พวกพี่พักผ่อนเถอะ ถึงแล้วฉันจะเรียกพวกพี่เอง”
“ได้”
นรมนจบบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม
สำหรับท่าทีโต้ตอบของนรมน บุริศร์ไม่พูดอะไรสักคำ
เขานั่งอยู่ข้างกายนรมนตลอด
มีบุริศร์อยู่ นรมนรู้สึกปลอดภัยไปโดยปริยาย
เธอเอนศีรษะพิงลงบนไหล่ของบุริศร์ กล่าวเสียงเบาว่า: “ ฉันของีบหน่อยนะ”
“อืม มีผมอยู่ด้วย นอนไปเถอะไม่ต้องกังวล”
มีประโยคนี้ของบุริศร์ นรมนสูดกลิ่นกายที่คุ้นเคยของบุริศร์และเข้าสู่ความฝัน
หลังจากสั่นสะเทือนสักพักหนึ่ง นรมนจึงตื่นขึ้น มองเห็นท้องฟ้ามืดสลัว เธอขยับตัวเล็กน้อย
“ตื่นแล้วเหรอ?”
บุริศร์รีบถาม
อืม ทำไมรถถึงหยุดลง ?พจนาพวกเขาล่ะ?”
“ไปเข้าห้องน้ำ”
บุริศร์ถอดเสื้อโค้ตของตนเองออก คลุมลงบนไหล่ของนรมน
“อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว เอาคลุมไว้ คุณอยากไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า?”
“ค่ะ”
นรมนดึงเสื้อคลุม ลุกขึ้นและลงจากรถ
ลมด้านนอกค่อนข้างเย็น
นรมนกระชับเสื้อโค้ตให้แน่นขึ้น จากนั้นเดินไปที่ห้องน้ำสาธารณะที่ในละแวกนั้น เพียงแต่เธอยังไม่ทันได้เข้าไป เสียงของขัยแสงจากด้านในก็ดังออกมา
“พจนา เธอจะบอกชื่อจริงของพวกเราให้พวกเขาฟังทำไม?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?ฉันไม่จำเป็นต้องปกปิดชื่อจริงนามสกุลจริง ทำไมถึงต้องหลอกคนอื่นด้วย?”
พจนาพูดอย่างเปิดเผยสุด ๆ
ขัยแสงตอบอย่างจำใจ: “พวกเขาหลอกพวกเรา เธอยังจะซื่อสัตย์ไปทำไม?ฉันจะรอดูข้างหน้า หาข้ออ้างให้พวกเขาลงจากรถ”
“นายพูดอะไร ?พี่ชลลี่กำลังท้องอยู่นะ นายให้พวกเขาลงจากรถจะไม่ไร้คุณธรรมไปหน่อยเหรอ”
ขัยแสงถอนหายใจและกล่าวว่า: “หล่อนบอกว่าท้องเธอก็เชื่อเหรอ?ใครจะรู้ว่าหลอกพวกเราหรือเปล่า ฉันจะบอกเธอให้นะ ผู้หญิงคนนี้น่าจะชื่อว่านรมน ไม่ได้ชื่อชลลี่”
คิ้วของนรมนขมวดขึ้นมาทันที
คาดไม่ถึงว่าขัยแสงคนนี้จะรู้จักตนเอง?
เห็นได้ชัดว่าพจนาก็แปลกใจมาก
“นายรู้จักชื่อของเธอได้ยังไง?”
“ฉันพูดความจริงกับเธอนะ เมื่อวานฉันไปหาคุณอามา”
“คุณอาของนายคือรเมศใช่ไหม?”
คำพูดของพจนาทำให้นรมนเข้าใจขึ้นมา
รเมศกับ ขัยแสง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอากับหลาน!
ห้าปีที่อยู่ในตระกูลวัชโรทัย นรมนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครือข่ายวงค์ตระกูลของตระกูลวัชโรทัยใหญ่แค่ไหน รู้แค่เพียงรเมศคือลูกชายคนเล็กสุดของคุณนาย และยังมีพี่ชายสี่คนกับพี่สาวอีกสองคน เพียงแต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงคือ เรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับรเมศ
บางทีตั้งแต่ตอนแรกที่รเมศบอกกานต์ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนภดล เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลวัชโรทัย
ตระกูลวัชโรทัยเล็งเป้าหมายมาที่เธอกับบุริศร์เพราะอะไร?
เพราะบุริศร์โจมตีตระกูลวัชโรทัย?
หรือเพราะเหตุผลอื่น?
เธอกับบุริศร์รู้จักรเมศดี เนื่องจากห้าปีก่อนรเมศสามารถลงมือกับกมลที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วจะสนใจความผูกพันพ่อลูกในห้าปีที่ผ่านมาได้อย่างไร มีความเมตตาต่อกานต์เหรอ?
หัวใจของนรมนเย็นชาขึ้นมาทันที
ในขณะนี้ ขัยแสงกล่าวเบา ๆ ว่า: “ฉันจะบอกเธอนะ แต่ก่อนนรมนคนนี้อยู่กับคุณอาของฉัน พวกเขาอยู่ด้วยกันห้าปี จนมีลูกด้วยกัน เพียงแต่คุณย่าของฉันไม่เห็นด้วยที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกัน จึงไม่มีงานแต่งงาน ต่อมานรมนคนนี้กลับประเทศ ไม่รู้ว่าไปพัวพันกับบุริศร์ในปัจจุบันได้อย่างไร และถีบส่งคุณอาของฉัน นี่ไม่ต้องพูดถึงว่า เธอร่วมมือกับบุริศร์ขัดขวางการเพิกถอนร้านที่จะล้มละลายของตระกูลวัชโรทัย ผู้หญิงคนนี้ถูกพวกเราตระกูลวัชโรทัยใส่เข้าบัญชีดำ คุณย่าส่งรูปภาพให้พวกเราหมดแล้ว ถึงแม้จะกลายเป็นขี้เถ้าฉันก็จำได้ เมื่อวานฉันไปบ้านของคุณอา คุณอากำลังสั่งให้คนขัดขวางไม่ให้พวกเขามาที่เมืองD ฉันคิดว่าคุณอายังมีเยื่อใยให้เธออยู่ ดังนั้นข้างหน้าหาที่จอดให้พวกเขาลง ฉันไม่ลงมือกับพวกเขาก็ถึงว่ามีมารยาทแล้ว”
นรมนรู้สึกว่าตนเองกำลังจะโมโหแทบบ้าแล้ว
ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือนี้?
คิดไม่ถึงว่าจะพูดว่าเธอคือผู้หญิงใจง่าย!
เธออยู่กับรเมศเมื่อไหร่?
นี่ต้องเป็นคุณนายตระกูลวัชโรทัยที่ต้องการปกป้องชื่อเสียงตระกูลวัชโรทัยจึงได้พูดแบบนี้กับลูก ๆ
เพียงแต่นรมนก็ไม่ใช้อารมณ์ รู้ตัวตนของขัยแสง เธอกับบุริศร์ก็ควรจะเตรียมพร้อมเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่ให้ตนเองลงจากรถ เธอก็จะลงจากรถอยู่ดี
หลังจากพจนาฟังขัยแสงพูดจบจึงกล่าวว่า: “มองไม่ออกเลยนะเนี่ย นรมนคนนี้มีฝีมือมากขนาดนี้ ทำไมพวกเขาต้องไปเมืองDด้วยเหรอ?เธอรู้เรื่องที่นายกับคุณอามาเมืองD ไหม?คิดจะโจมตีตระกูลวัชโรทัยของพวกนายหรือเปล่า?ทำไมพวกเราไม่ทำให้พวกเขาสลบแล้วส่งกลับไปที่เมืองชลธีล่ะ?พวกเขาน่าจะเป็นคนจากเมืองชลธี?”
“ไม่ต้องหรอกคุณอามีอำนาจในตระกูลวัชโรทัยของพวกเรามาก ฉันกลัวทำให้นรมนลำบาก คุณอาจะสร้างความเดือดร้อนให้ฉัน พวกเราทำเป็นไม่เจอพวกเขาก็พอ”
หลังจากขัยแสงพูดจบ นรมนถอยหลังกลับอย่างเงียบ ๆ
บุริศร์เห็นเธอกลับมา จึงรีบถามว่า : “ทำไมไปนานจัง?”
“พวกเราออกไปเถอะ นั่งในรถคันนี้คุยไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้น?”
บุริศร์ไม่สบายใจ
นรมนเล่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่ให้บุริศร์ฟังคร่าว ๆ
คิ้วของบุริศร์ขมวดขึ้นมา
“ตระกูลวัชโรทัยยังคงหน้าไม่อายจริง ๆ ”
“เอาล่ะ ไม่ต้องคิดเรื่องของพวกเขาแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากรู้คือ ในเมื่อรเมศให้กานต์บอกพวกเราว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนภดล แล้วทำไมต้องส่งคนมาขัดขวางพวกเราไม่ให้พวกเราไปตระกูลจันทรวงศ์กลางคันด้วย?คุณไม่รู้สึกว่ามันขัดแย้งกันเหรอ?”
บุริศร์ได้ยินนรมนถามเช่นนี้ จึงรีบกล่าวว่า: “ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก แค่รู้เอาไว้ก็พอ ทิ้งเงินเอาไว้ให้พวกเขาสักหน่อย ทำเหมือนไม่รู้อะไร”
“อืม”
นรมนกับบุริศร์เก็บสิ่งของตนเอง วางค่ารถจำนวนหนึ่งไว้บนเบาะ และจากรถคันนี้ไป
เมื่อขัยแสงและพจนากลับมาไม่เห็นพวกเขา เห็นเพียงแค่ค่ารถวางอยู่บนเบาะ
“เห็นพวกเราเป็นคนขับรถแท็กซี่จริง ๆ เหรอเนี่ย?”
พจนามองเงินจำนวนนั้นอย่างเหยียดหยาม
“ช่างเถอะ พวกเขาไปก็ดีแล้ว พวกเราจะได้ไม่ต้องลำบาก ไปเถอะ เรื่องวันนี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ห้ามบอกคุณอาของฉันเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองคนทิ้งเรื่องนี้ไป และออกเดินทางต่อ
หลังจากนรมนกับบุริศร์ออกมา จึงหาร้านกาแฟนั่ง
บุริศร์สั่งน้ำอุ่นในนรมนแก้วหนึ่ง
นรมนถามเสียงเบาว่า: “คุณคิดว่าพจนาเป็นคนตระกูลจันทรวงศ์หรือเปล่า? คุณรู้จักตระกูลจันทรวงศ์มากแค่ไหน?”
“ไม่มาก ผมรู้แค่เพียงพ่อแม่ของฉัตรยาเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียง ส่วนภูมิหลังของตระกูลไม่ได้แตะ คุณคิดจะพูดอะไรเหรอ?”
บุริศร์ฟังออกว่านรมนมีความนัยที่แฝงอยู่
“เดิมทีฉันบังเอิญเจอรเมศที่ประตูบ้านตระกูลจันทรวงศ์ นอกจากนี้ตอนแรกรเมศช่วยฉันทำศัลยกรรม ทำไมถึงได้บังเอิญออกมาคล้ายคลึงกับฉัตรยาแบบนี้?แต่ก่อนไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้มักจะรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ว่ามีแผนการร้ายที่พวกเราไม่รู้อยู่ในนั้น ถ้าพจนาเป็นคนตระกูลจันทรวงศ์ ขัยแสงเป็นคนตระกูลวัชโรทัย พวกเขามีความสัมพันธ์เป็นคู่รักกัน หรือว่าเป็นคู่สมรสกัน?แต่ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยได้ยินวงศ์ตระกูลของตระกูลจันทรวงศ์มาก่อน อาจเพราะวงศ์ตระกูลอยู่ในเมืองD ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชัดเจนจึงพูดออกมาไม่ได้”
นรมนกล่าวเสียงเบา
บุริศร์รีบหยิบมือถือออกมาโทรหานาวิน
“ช่วยฉันตรวจสอบตระกูลจันทรวงศ์ ใช่ ตระกูลจันทรวงศ์นั้นของดร.ฐานทัต”
หลังจากวางสาย บุริศร์เห็นนรมนยังหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน: “เอาล่ะ เลิกคิดได้แล้ว จะเป็นอย่างไรเดี๋ยวพวกเราก็จะได้รู้เอง ตอนนี้คุณไม่ควรกังวลมากเกินไป เรื่องเหล่านี้ส่งมาให้ผมเถอะ”
“อืม”
ทั้งสองรออยู่สักพักหนึ่ง นาวินก็โทรมา
“ประธานบุริศร์ เจอแล้วครับ”
“ว่ามา”
บุริศร์เปิดลำโพง เพื่อให้นรมนฟังได้ถนัด
นาวินกล่าวเสียงเบา: “ตระกูลจันทรวงศ์นับว่าเป็นวงศ์ตระกูลที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ตระกูลหนึ่ง ว่ากันว่าในช่วงปลายราชวงศ์ชิงยังคงเป็นวงศ์ตระกูลใหญ่ แต่แตกสลายในสมัยสาธารณรัฐจีน ต่อมามีคนหนึ่งในตระกูลจันทรวงศ์ รวบรวมคนของตระกูลจันทรวงศ์เข้าด้วยกัน แต่พวกเขาจัดการอย่างเงียบ ๆ สถานการณ์ทั่วไปในตระกูลจันทรวงศ์คือเด็กผู้หญิงกระจายอำนาจออกไป”
“กระจายอำนาจออกไปหมายความว่าอะไร?”
นรมนรีบถาม
นาวินนิ่งไปสักพัก เพียงแค่คิดว่าถ้าไม่มีการอนุญาตจากบุริศร์ นรมนคงไม่สามารถนั่งฟังอยู่ด้านข้างได้ จึงพูดต่อว่า: “กระจายอำนาจออกไปหมายความว่าไม่ต่างจากชะตากรรมของผู้หญิงในสมัยโบราณ หรือแต่งงานกับผู้มีตำแหน่งสูงในท้องที่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลจันทรวงศ์ถึงแม้จะดูเป็นวงศ์ตระกูลไม่ใหญ่ อำนาจไม่เยอะ แต่ในกรณีที่ใช้เส้นสายจริง ๆ พอจะพูดได้ว่าที่ไหนก็มี การเมือง การค้า การทหาร ต่างมีหมด”
บุริศร์กับนรมนสบตากัน แววตามีความจริงจังสุด ๆ
“เจออย่างอื่นอีกไหม?”
“มีครับ”
นาวินเงียบไปชั่วคราว จากนั้นจึงกล่าวว่า: “เรณุกาคุณนายตระกูลโตเล็กของพวกเรา ก็เป็นลูกสาวของตระกูลจันทรวงศ์ และผมยังตรวจสอบได้ว่า ภรรยาน้อยของพรรษา ธัญญากับน้องชายของเธอมินทร์ เป็นญาติพี่น้องห่าง ๆ ของตระกูลจันทรวงศ์ ไม่ค่อยมีความสำคัญนัก ส่วนสถานการณ์เฉพาะภายใน ผมตรวจสอบไม่เจอ พูดได้แค่เพียงตระกูลจันทรวงศ์มีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งมาก”
นรมนประหลาดใจอีกครั้ง
คิดไม่ถึงว่าเรณุกากับธัญญาและมินทร์จะเป็นครอบครัวเดียวกัน!
อาศัยกฎเกณฑ์ของตระกูลจันทรวงศ์ ผู้หญิงของตระกูลพวกเขาจะถูกกระจายอำนาจออกไป หรือว่าธัญญาแต่งงานกับพรรษาก็คือแผนการอย่างหนึ่ง?
หรือว่าตระกูลจันทรวงศ์คิดจะกระทำการครั้งใหญ่อะไร?
นึกถึงสถานการณ์ตอนนี้ของเจตต์ นรมนรู้สึกกังวลไม่น้อย
บุริศร์รู้ดีว่านรมนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจับมือของนรมน กล่าวเสียงเบาว่า: “เดี๋ยวผมจะพูดกับเจตต์เอง”
“อืม”
นรมนพยักหน้า
นาวินเห็นพวกเขาไม่ได้สนใจว่ามีตนเองอยู่ด้วย จึงไอออกมาอย่างอดไม่ได้และกล่าวว่า: “ประธานบุริศร์ คุณนาย ทางฝั่งผมยังพบเรื่องสำคัญอีกอย่าง”
“ว่ามา”
บุริศร์รีบเร่ง เขาคิดไม่ถึงว่าตระกูลจันทรวงศ์ที่ไม่อยู่ในสายตา จะก่อให้เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้!หรือว่าการตายของมินทร์มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจันทรวงศ์?คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้คือคนของตระกูลจันทรวงศ์?