นรมนนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คิม แต่เป็นบุริศร์
“ตื่นแล้วเหรอ”
บุริศร์มองเธอแล้วยิ้มบางๆ
นรมนคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ จู่ๆ เธอก็ขยี้ตาตัวเองแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่บุริศร์ก็ยังอยู่
เห็นท่าทางน่ารักของเธอ บุริศร์รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา
“ผมเอง ผมกลับมาแล้วจริงๆ”
เขายังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
จู่ๆ นรมนก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
ความอบอุ่นของร่างกายและความแข็งแกร่งของแผงอกทำให้เธอรู้ว่าเป็นความจริง
บุริศร์กลับพูดอย่างร้อนรนว่า “ผมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ตอนนี้ตัวผมเย็น”
“ฉันไม่สนหรอก ฉันอยากกอดคุณ”
เธอเหมือนเด็กที่กอดบุริศร์แน่นไม่ยอมปล่อย
บุริศร์หัวเราะเบาๆ และกอดเธอเอาไว้แน่น
“เป็นแม่ของลูกแล้วนะ ทำตัวเหมือนเด็กๆ ไปได้”
“ฉันพอใจที่จะทำแบบนี้”
นรมนพูดพลางอ้อนบุริศร์
บุริศร์รู้สึกไฟในตัวของเขากำลังลุกโชน แต่ก็ไม่สามารถผลักเธอออกไปได้
นี่คือความทุกข์ที่อยู่ในความหวานสินะ
นรมนรู้สึกว่าร่างกายของบุริศร์แปลกไป เธอพูดติดตลกกับเขา “คุณกำลังอึดอัดเหรอ”
“จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ”
บุริศร์มองแววตาที่จงใจของนรมนและถอนหายใจออกมา
“คุณเนี่ยนะ นั่งดีๆ สิ ผมขอดูหน่อยว่าคุณผอมลงไหม”
บุริศร์จัดแจงให้นรมนนั่งดีๆ เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วรู้สึกโล่งอก
“คุณอยู่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”
นรมนรู้ว่าการที่จะทำลายฐานการวิจัยของเชษฐ์ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเธอจึงกังวลใจ
บุริศร์ส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ผมจัดคนมีฝีมือไปที่นั่นด้วย กี่ปีมาแล้วล่ะ ครั้งนี้ที่ไปก็เป็นหน้าที่ของพวกเขา ผมแค่ค่อยกำกับอยู่ข้างหลัง ฐานการวิจัยของเชษฐ์ซับซ้อนมาก พวกเราใช้เวลาอยู่ระยะหนึ่ง ตอนนี้เขตทหารส่งคนไปรับช่วงต่อแล้ว ผมรับพ่อของนาวินกับพ่อของคมทิพย์กลับมาแล้ว พฤกษ์พาคุณลุงนารธิปกลับไปก่อนแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาคุณแวะไปหาพวกเขา”
“โอเค”
นรมนได้ฟังก็รู้สึกโล่งอก
“เชษฐ์ เขา…”
“ผมรู้หมดแล้ว คุณไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว ผมจะพาเนตรากลับมา แต่ว่าคุณห้ามออกไปก็พอแล้ว”
บุริศร์รู้เรื่องที่พ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนทำเพราะคิมบอกเขา เขาอดโมโหไม่ได้
“อ้อ อืม”
นรมนก็ไม่ได้ต่อความยาว สาวความยืด เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขอะไร
ทั้งสองสวีทกันอยู่ครู่หนึ่ง มีเสียงกมลดังขึ้นมาจากข้างนอก
“แด๊ดดี้ หม่ามี้ออกมาทานข้าวค่ะ ทำอะไรกันอยู่ข้างในเหรอคะ หนูจะเข้าไปแล้วนะ”
นรมนผลักบุริศร์ออก
บุริศร์เกือบจะหงายหลัง เขามองนรมนอย่างเหนื่อยใจแล้วพูดว่า “คุณต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”
“อย่าให้ลูกเห็นสิ มันไม่ดี”
“ทำไมถึงไม่ดีล่ะ ให้ลูกเห็นสิว่าพ่อแม่รักกันขนาดไหน นี่คือการสอนลูกอย่างหนึ่งนะ”
บุริศร์พูดพลางรวบนรมนเข้ามากอด
นรมนยังไม่ทันได้ขัดขืน กมลก็ผลักประตูเข้ามา
“โอ้!”
เด็กน้อยอุทานออกมาแล้วรีบเอามือปิดตา แต่ร่องตรงนิ้วกว้างมากจนเห็นดวงตาออกมาครึ่งหนึ่ง
“ไม่เหมาะกับเด็ก! พ่อแม่ทำอะไรกันน่ะ”
บุริศร์ตลกกับคำพูดของลูกสาว
“เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย พ่อแค่อยากกอดหม่ามี้ ทำไม หนูไม่อยากให้แด๊ดดี้กอดเหรอ”
“หนูทำได้เหรอ”
กมลมองนรมนเหมือนกำลังขอความเห็น จนทำให้นรมนรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
“เขาเป็นพ่อของหนู แน่นอนว่าสามารถกอดได้”
“แด๊ดดี้หนูอยากกอด!”
กมลได้ยินนรมนพูด ก็อ้าแขนออกทั้งสองข้างแล้ววิ่งเข้ามา
บุริศร์ยื่นแขนออกไปช้อนตัวของเธอ กมลหัวเราะอย่างมีความสุข
นรมนรู้สึกว่าบุริศร์กลับมา ทำให้รอยยิ้มในบ้านกลับมาเหมือนกัน
เพราะการกลับมาของบุริศร์ ทำให้อาหารเย็นของบ้านตระกูลพรโสภณหลากหลายขึ้นมาก
บุริศร์เอาแต่คีบอาหารให้นรมน สวีทจนทำให้คนข้างๆ อิจฉา
คุณท่านตระกูลพรโสภณกระแอมออกมา “บุริศร์ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จไปคุยกันที่ห้องหนังสือหน่อยนะ”
“ครับ”
บุริศร์พยักหน้า
หลังจากทานข้าวเสร็จ นรมนพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “คุณตา อย่าใช้เวลากับสามีของหนูเยอะนะคะ เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะแยะเลย”
คุณท่านตระกูลพรโสภณอึ้งเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “อยู่ต่อหน้าลูก เธอก็ยังไม่อายนะ”
“หนูมีอะไรจะต้องอายล่ะคะ นั่นสามีของหนูนะ”
นรมนพูดอย่างอารมณ์แปรปรวน
บุริศร์ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งพอใจเข้าไปใหญ่
“หม่ามี้เขิน”
กมลพูดออกมาเบาๆ กิจจาหัวเราะออกมาเหมือนกัน
ส่วนคิมก็กำลังเม้มปากแต่ไม่ได้พูดอะไร แต่ท่าทางของเธอเหมือนกำลังหัวเราะ
จริงๆ แล้วนรมนก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่เธอก็กระแอมออกมา แล้วหอมแก้มบุริศร์ไปหนึ่งทีด้วยความยโสโอหัง “ไปเถอะ”
จิตใจของบุริศร์ไปไม่เป็นแล้ว
ยากมากที่นรมนจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่น่าเสียดายที่เขาทำอะไรไม่ได้
เมื่อไรสามเดือนนี้จะผ่านไปนะ
บุริศร์คิดพึมพำและเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
คิมเดินมายืนข้างนรมน จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกอย่าไปหยอกเขาสิ ถ้าเขามีอารมณ์ขึ้นมา ตอนนั้นคนที่ลำบากก็คือลูกนะ”
“แม่พูดอะไรน่ะ”
จู่ๆ หน้าของนรมนก็แดงขึ้นมา
“เขินขึ้นมาแล้วหรือไง เมื่อกี้ใครที่กล้าไปหอมแก้มบุริศร์กันนะ”
นรมนยิ้มแหยๆ และไม่เถียงอีก
คิมหยิบสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วส่งให้นรมน
“นี่เป็นพวกภาพสเก็ตช์ของพ่อ ฉันเก็บไว้ตลอด ลูกดูสิ บางทีมันอาจจะช่วยลูกได้ การประกวดออกแบบรอบแรกใกล้จะมาถึงแล้วนิ ลูกเตรียมแบบร่างไปถึงไหนแล้วล่ะ”
นรมนถอนหายใจออกมา “ตอนแรกวาดเสร็จแล้ว แต่เหมือนความคิดจะไม่ตรงกันบางจุด เลยให้หนูโยนทิ้งไป ช่วงนี้หนูกำลังจะวาด”
“รักษาสุขภาพด้วย”
“เข้าใจแล้วค่ะ อ้อ แม่อยากทานอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวหนูทำให้”
“อย่าเลย ตอนนี้ลูกกำลังท้อง อย่าทำอะไรหนักๆ แม่ไม่ได้อยากทานอะไร ลูกมีสุขภาพดีแม่ก็พอใจแล้ว”
คิมรู้ว่านรมนอยากทำอะไรให้เธอ แต่คนที่ใช้ชีวิตมาจนอายุขนาดนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอแค่ได้เห็นนรมนทุกวัน ได้ฟังเสียงหัวเราะของนรมนทุกวัน เธอก็พอใจแล้ว
นรมนพยักหน้า จากนั้นจึงเปิดอัลบั้มภาพสเก็ตช์ของพ่อ
ไม่พูดก็ไม่ได้ว่าเธอชอบฝีมือการวาดภาพของพ่อมาก
คิมเล่าเรื่องราวของภาพแต่ละภาพอยู่ข้างๆ นรมนที่ได้ฟังยิ่งมีความรู้สึกดีต่อพ่อของเธอ
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว บุริศร์เดินออกมาจากห้องหนังสือ เห็นสองแม่ลูกกำลังย้อนความทรงจำภาพวาดของผู้เป็นพ่อ เขาไม่ได้เข้าไปรบกวน และเดินไปที่ระเบียงคนเดียว จากนั้นจึงปิดประตูที่ระเบียงแล้วโทรหาพ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธน
“บุริศร์มีอะไรหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าเนตรา…”
เมื่อแม่นรมนเห็นว่าเป็นเบอร์ของบุริศร์ก็รีบรับสายทันที เธอรีบถามอย่างร้อนใจ
บุริศร์จุดบุหรี่ เขาหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็สะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ “แม่ ผมได้ยินมาว่าแม่ให้นรมนเอาตัวไปแทนเนตรา อย่างนั้นเหรอ”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้รุนแรง แต่กลับทำให้แม่นรมนเงียบไป จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “ลุงรองเป็นคนของบ้านพวกนาย ฉันคิดว่านรมนเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลโตเล็ก…”
“งั้นคุณไม่เคยคิดเหรอว่าเชษฐ์เป็นคนของบ้านเรา ทำไมเขาต้องใช้ลูกสาวของคุณมาบีบบังคับให้นรมนออกไป ผมว่าแม่คิดได้นะ แม่ก็รู้ว่านรมนโดนแทง แต่แม่กลับไม่ส่งข้อความมาเลย ผมเข้าใจจิตใจที่อยากได้ลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองกลับไปนะ แล้วก็เข้าใจด้วยว่าพวกคุณกลัวว่าเมื่อตัวเองจากไปจะไม่มีใครดูแลลูกสาวของพวกคุณ เลยตั้งใจให้นรมนพาลูกสาวของคุณเข้าไปในสังคมชั้นสูง แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ นรมนที่ถูกพวกคุณเลี้ยงจนโตมาเหมือนกัน เธอไม่ใช่ลูกสาวของคุณอย่างนั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าความรักที่พวกคุณมีให้เธอเป็นเพียงความรักจอมปลอมเท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของบุริศร์ จู่ๆ แม่นรมนก็พูดอะไรไม่ออก
บุริศร์ไม่สนว่าตอนนี้เธอจะรู้สึกอย่างไร เขาพูดต่อว่า “แม่ ผมกับนรมนเคารพพวกคุณ ดังนั้นพวกเรายังคงเรียกคุณว่าพ่อแม่ แต่พวกคุณลองคิดเอาเองแล้วกันว่าสิ่งที่พวกคุณทำกับนรมนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรจะทำหรือเปล่า ชีวิตลูกสาวแท้ๆ ของพวกคุณมีค่ามาก แล้วชีวิตของนรมนไม่มีค่าอย่างนั้นเหรอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอโดนแทงแล้วพวกคุณไม่สนใจเธอ เอาเรื่องที่พวกคุณทำในครั้งนี้ก่อน มันทำให้คนเจ็บปวดใจจริงๆ ถ้าพวกคุณไม่อยากให้นรมนเป็นลูกสาวของพวกคุณอีก พวกคุณก็พูดกับเธอให้ชัดเจนไปเลย อย่าเอาจิตใจที่ดีของเธอมาทำร้ายเธอ พวกคุณรู้ดีว่าน้อยมากที่เธอจะปฏิเสธคำขอร้องของพวกคุณ แต่ครั้งนี้สิ่งที่พวกคุณต้องการคือชีวิตของเธอ!”
แม่นรมนกัดริมฝีปาก เบ้าตาของเธอเริ่มร้อนขึ้นมา
“บุริศร์ พวกเราไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน นายก็รู้ว่าฉันกับพ่อของเธอเป็นอะไรกัน การที่สามารถมีชื่อเสียงในแวดวงไฮโซในเมืองชลธีก็เพราะภาพวาดของพ่อเธอ ตอนนี้พวกเราแก่แล้ว จะหาเส้นสายก็เป็นเรื่องยากแล้ว พวกเราโทรหานายก็โทรไม่ติด เลยทำได้แค่โทรหานรมน ฉันยอมรับว่าฉันใจร้อนจนทำให้พูดแบบนั้น ฉันไม่ได้คิดจริงๆ ลุงรองเป็นคนของตระกูลโตเล็ก ฉันคิดว่าพวกเขาแค่ขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ตอนนี้นายพูดแบบนี้ฉันก็ยิ่งร้อนใจ ถ้าพวกเขาไม่ยอมจบง่ายๆ งั้นเนตราที่อยู่ในมือของเขาก็จะเป็นอันตราย บุริศร์ นายก็ถือว่าเป็นพี่เขยของเนตรา นายหาวิธีช่วยเธอกลับมาได้ไหม”
คำพูดแรกๆ ของแม่นรมนถือว่าดีอยู่หรอก แต่ประโยคหลังที่วกเข้าไปหาเนตรา ทำให้บุริศร์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“แม่ ถ้าเชษฐ์ให้แม่เลือกระหว่างเนตรากับนรมน แม่จะเลือกใคร”
บุริศร์ไม่อยากถามแบบนี้ เริ่มแรกความคิดของเขากับนรมนเหมือนกัน ขอแค่พ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนไม่ทำเกินไป พวกเขาจะให้เนตรามีประสบการณ์ต่อโลกภายนอก และแนะนำคนที่อยู่ในแวดวงไฮโซให้กับเธอ ให้เธอสามารถมีหน้ามีตาต่อไปได้ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาสามารถทำได้
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ ฐานะของ เนตราในสายตาของพ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนจะข้ามหน้าข้ามตานรมนไปแล้ว ถึงขนาดตอนที่เธอเสียเปรียบ สิ่งแรกที่พ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนคิดก็คือให้นรมนเสียสละเพื่อเนตรา พวกเขามีสิทธิ์อะไรถึงทำเช่นนี้
นรมนเคยเป็นสมบัติล้ำค่าของครอบครัวเขาไม่ใช่หรือไง แล้วตอนนี้เธอควรจะถูกพวกเขาทอดทิ้งตามอำเภอใจอย่างนั้นเหรอ