“ประธานบุริศร์ ?”
นภดลเห็นบุริศร์ไม่มีการตอบสนอง ก็เลยเรียกเขาทีหนึ่ง
บุริศร์ได้สติกลับมาทันที
“ฉันจะพาทีมไปที่ท่าเรือใกล้เคียงด้วยตัวเอง ทางฝั่งนี้ฝากให้นายจัดการแล้วกัน”
พูดจบบุริศร์ก็หันหลังเดินไปทันที
ถึงแม้นภดลเองก็จะรู้สึกเป็นห่วงเหมือนกัน แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าบุริศร์ได้สติกลับมาแล้ว เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องตามไปอีก”
หลังจากที่คิมกับเชษฐ์ขึ้นเรือไปแล้ว เชษฐ์ก็สั่งให้คนเปลี่ยนเรืออีกลำหนึ่ง แล้วใช้พวกเขาเป็นตัวล่อคนของบุริศร์ ส่วนตัวเองกับคิมก็พานรมนที่กำลังสลบอยู่ไปที่เรือลำอื่น
นรมนยังคงไม่ได้สติ คิมคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเธอตลอดเวลา
มองดูลูกสาวตัวเอง คอยเช็ดหน้าให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่รู้ว่าหากนรมนตื่นขึ้นมาแล้วตัวเองควรจะพูดอะไรบ้างดี
อาจเป็นเพราะว่านรมนเข้าใจความลำบากใจของคิม เธอเลยเอาแต่หลับใหล หลับจนคิมรู้สึกเริ่มกังวลใจขึ้นมา
“นายทำอะไรกับเธอกันแน่ ? ทำไมเธอถึงยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก ?”
แต่เชษฐ์กลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เธอวางใจเถอะ ฉันไม่ได้ใช้ยากับเธอ ฉันก็แค่ตีจนเธอสลบไปเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเธอยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะสมรรถภาพทางกายไม่ดี ? ฉันไม่ได้ว่านะ แต่ลูกของพวกเธอคนนี้ สมรรถภาพทางกายแตกต่างจากพวกเธอมากจริงๆ”
แต่คิมกลับถลึงอย่างเย็นชาใส่เขาทีหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มดูแลนรมนอย่างระมัดระวัง
ตอนที่นรมนตื่นขึ้นมานั้น พอเห็นคิมเข้าก็นึกว่าตัวเองฝันไปเสียอีก
“คุณแม่ ? ฉันคงยังไม่ได้สติสินะ ถึงได้มองเห็นคุณแม่ได้”
นรมนยิ้มอย่างขมขื่น อยากจะลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกปวดคออย่างรุนแรง
แล้วจู่ๆเธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“เชษฐ์ ? !”
เธอกระเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที แต่เพราะแบบนั้นเลยทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวมาก
“ช้าหน่อย นรมน ลูกยังต้องพักผ่อนอีกสักพัก”
เสียงของคิมลอยมา ครั้งนี้เลยทำให้นรมนนิ่งอึ้งไปทันที
“คุณแม่ ? เป็นคุณแม่จริงๆเหรอคะ ?”
นรมนมองดูคิม แล้วใช้มือลูบใบหน้าของเธอแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก
มันอบอุ่น !
และร้อนผ่าว !
นรมนโมโหขึ้นมาทันที
“เชษฐ์ ไอ้คนสารเลว ! คุณจับตัวฉันมาก็แล้วไป แต่คุณจับตัวแม่ฉันมาทำไมอีก ?”
พอเห็นนรมนจะเข้าไปมีเรื่องกับเชษฐ์ คิมก็รีบลากตัวเธอเอาไว้ทันที
“แม่เป็นคนมาที่นี่ด้วยตัวเอง”
“อะไรนะ ?”
นรมนมึนงงไปทันที
คิมลากเธอเอาไว้ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “แม่อยากไปเจอกับพ่อของลูกสักครั้ง แม่ไม่ได้เจอเขามายี่สิบกว่าปีแล้ว”
จู่ๆนรมนก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
เธอจำได้ว่าเชษฐ์เคยพูดแบบนี้มาก่อน แล้วทำไมตอนนี้คิมเองก็พูดแบบนี้ด้วย ?
“คุณแม่ อย่าไปถูกเชษฐ์หลอกเอานะ ! คนที่ตายไปแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ? เห็นได้ชัดเลยว่าเขาใช้จุดนี้มาเพื่อต่อกรกับพวกเรา ! ทำไมแม่ถึงไม่เข้าใจล่ะ ?”
“แม่เข้าใจ แต่แม่ก็รู้ว่าพ่อของลูกตายไปตั้งนานแล้ว ยี่สิบกว่าปีแล้ว จนแม่แทบจะลืมไปแล้วว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง ถ้าได้ไปเจอเขาก่อนตายสักครั้ง ให้แม่ได้จำรูปร่างของเขาไว้ ชีวิตนี้ของแม่ก็คุ้มค่าแล้ว”
“คุณแม่กำลังพูดอะไรอยู่น่ะ ? คุณแม่ตื่นหน่อยเถอะค่ะ”
นรมนไม่รู้ว่าเชษฐ์ล้างสมองของคิมได้ยังไง เธอรู้สึกเพียงว่าอยากจะฆ่าเชษฐ์ให้ตายคามือ
แต่เชษฐ์กลับยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ของเธอตื่นอยู่ตลอดนั่นแหละ ไม่มีใครตื่นได้เท่าเธอแล้ว เพราะว่าตื่นอยู่ ดังนั้นชีวิตนี้ก็เลยอยู่ในสภาพนี้มาโดยตลอด ใช่ไหม ? คิม ?”
“นายหุบปากไปเลย ! ตอนที่ฉันคุยกับลูกสาวนายอย่าเข้ามาสอดปาก !”
น้ำเสียงของคิมไม่ค่อยดี
หลายปีที่ผ่านมานี้เชษฐ์ถูกผู้คนยกย่องเชิดชูมาตลอด ใครที่ไหนจะกล้าพูดกับเขาแบบนี้ ?
แต่ตอนนี้คิมกลับตะคอกใส่เขา พูดตามจริงเขารู้สึกเสียหน้ามาก แต่เขากลับไม่ระเบิดออกมา แต่กลับมองเธอด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่งจากนั้นก็เงียบปากไปจริงๆ
นรมนรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งนี้มาก
“คุณแม่คะ ทำไมเขาถึงฟังคำพูดของแม่ล่ะคะ ?”
“เพราะว่าเขาละอายใจไง !”
คิมพูดอย่างเย็นชา “ลูกอาจจะไม่รู้ คนๆนี้เคยเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดของพ่อลูก แต่พี่น้องที่ดีที่สุดคนนี้กลับเป็นคนทำร้ายพ่อของลูก ตอนนี้ยังเก็บซ่อนร่างของพ่อลูกเอาไว้ไม่ยอมส่งมอบออกมา หลายปีขนาดนี้แล้ว เกรงว่าเขาเองก็คงกลัวที่จะต้องไปเจอกับพ่อของลูกละมั้ง”
“อะไรนะ ?”
นรมนนิ่งอึ้งไปทันที
ชินทรเป็นทหารนายหนึ่ง และเป็นวีรบุรุษด้วย แล้วยังเป็นนักวาดรูป คนแบบนี้จะไปเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดกับคนอย่างเชษฐ์ได้ยังไง ?
แต่เชษฐ์เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเป็นเรื่องจริง
นรมนมองดูคิม แล้วถามเสียงต่ำว่า “คุณแม่คะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? แม่บอกว่าร่างของคุณพ่อมันเรื่องอะไรกันแน่ ?”
“เรื่องนี้พูดไปมันก็ยาว ที่แม่สามารถบอกลูกได้ก็คือ พ่อของลูกเป็นอัจฉริยะ เขาไม่เพียงวาดรูปได้ดี การทหารก็ทำได้ดีด้วย เขาถึงขั้นมีผลงานที่โดดเด่นในบางเขตบริเวณด้วย”
“อย่างเช่น……”
“อย่างเช่นพ่อของลูกเป็นนักวิจัยฟิสิกส์ทั่วประเทศ”
คำพูดประโยคนี้ของคิม ทำให้นรมนเริ่มเข้าใจขึ้นมาในทันที
“ดังนั้นตอนนั้นพ่อของหนูเองก็เข้าร่วมการวิจัยข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยใช่ไหมคะ ?”
“จะเรียกว่าวิจัยก็ไม่ได้ เพียงแต่เขาชี้ให้เห็นปัญหาเล็กน้อยในด้านพันธุกรรมในขณะนั้น นี่เป็นปัญหาสองสามข้อที่ช่วยเชษฐ์ได้เป็นอย่างมาก”
คิมมองดูเชษฐ์ แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ตอนนั้นเขาหลอกพ่อของลูก ว่าอยากวิจัยหัวข้อนี้เท่านั้น คุณพ่อของลูกเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป พอยิ่งคุยกับเขาก็ยิ่งถลำลึก จากนั้นก็เริ่มทำการวิจัยหัวข้อนี้ร่วมกับเขาขึ้นมาจริงๆ จากนั้นเขาก็สามารถทดลองชุดข้อมูลชุดหนึ่งขึ้นมาได้จริงๆ ว่ากันว่าชุดข้อมูลนี้ประกอบขึ้นจากข้อมูลที่คุณท่านตระกูลโตเล็กศึกษาอยู่ก่อนหน้านี้ และมันบังเอิญเข้าไปแก้ไขข้อบกพร่องของชุดข้อมูลที่คุณท่านตระกูลโตเล็กอันนั้นพอดี พอคุณท่านตระกูลโตเล็กรู้เรื่องนี้เข้า ก็เชิญคุณพ่อของลูกไปที่ตระกูลโตเล็ก และได้นำชุดข้อมูลการวิจัยออกมาด้วย ทั้งสองคนคุยกันอยู่นาน คนนอกต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันอยู่”
“จากนั้นคุณท่านตระกูลโตเล็กก็ออกมาส่งชินทรด้วยตัวเอง พอชินทรกลับมาแล้วก็ทำการเผาบันทึกเล่มนั้นทันที และคืนนั้นเขาก็ดื่มจนเมามาย แม่ได้ยินเขาพูดว่าเขาทำเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงลงไป เขาเกือบจะกลายเป็นฆาตกรไปแล้ว เป็นแม่เอง แม่ไม่อาจตัดใจให้สิ่งที่ชินทรทุ่มเทวิจัยทั้งคืนทั้งวันถูกเผาไปจนมอดไหม้หมด ดังนั้นก็เลยแอบสลับสมุดบันทึกของเขาเพื่อเก็บรักษาเอาไว้ นับจากนั้นมา ชินทรกับเชษฐ์ก็ตัดขาดกัน ทุกคนต่างก็คิดว่าบันทึกของชินทรถูกทำลายหมดแล้ว ตอนนั้นเชษฐ์เองก็เชื่ออย่างนั้น แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเขาไปรู้มาจากไหนว่าที่แม่ยังมีสมุดบันทึกเล่มนี้อยู่ บอกให้แม่ส่งมอบให้เขา ถึงขั้นเพื่อจะข่มขู่แม่ เขาสั่งคนมามอมเหล้าแม่ และถ่ายรูปแม่ที่ตัวเปลือยเปล่าเอาไว้”
ตอนที่พูดถึงตรงนี้ คิมก็จ้องเขม็งไปทางเชษฐ์ แทบอยากจะชำแหละเขาออกเป็นชิ้นๆ
นรมนหรี่ตาลงทันที
“ช่างเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำกันจริงๆนะ !”
เชษฐ์ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ เหมือนว่าสิ่งที่กำลังพูดนั้นไม่ได้หมายถึงเขาอย่างไรอย่างนั้น
คิมที่มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้นั้นก็ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้อีกแล้ว
เรื่องที่น่าขายหน้าที่สุดในชีวิตของเธอก็คือเรื่องนี้
“คุณแม่เลิกกับคุณแม่ของหนูเพราะเรื่องนี้เหรอคะ ?”
จู่ๆนรมนก็เปิดปากพูดขึ้น
จู่ๆขอบตาของคิมก็เปียกชื้นขึ้นมา
“ใช่ เรื่องนี้ชินทรเขาไม่รู้ แต่ว่าแม่กลับไม่สามารถประเชิญหน้ากับเขาได้ แม่เป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุด แต่กลับไปเปลือยกายต่อหน้าพี่น้องที่ดีที่สุดของเขา เรื่องที่น่าอับอายแบบนี้ทั้งชีวิตนี้แม่ก็ไม่อาจลืมได้ แล้วพอดีกับที่ตระกูลทวีทรัพย์ธาดาเรียกตัวเขากลับไปเข้าร่วมกองทหาร แม่ก็เลยถือโอกาสนั้นขอเลิกกับเขา แต่ว่าเขาทำเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของแม่ ก็เลยประกาศต่อคนภายนอกว่าเขาเลิกกับแม่เพราะต้องไปเข้าร่วมการทหาร ตอนนี้แม่รู้อยู่แล้ว ว่าเขาอาจจะรู้เรื่องทุกอย่าง”
พูดไปพูดมา คิมก็เริ่มร้องไห้ออกมา
“ตอนนั้นแม่เกลียดเชษฐ์เป็นที่สุด ถึงขนาดที่อยากจะเผาบันทึกเล่มนั้นทิ้งไป น่าเสียดายที่สุดท้ายแม่ก็ทำไม่ลง แม่ส่งบันทึกเล่มนั้นไปให้ชินทร และนับตั้งแต่บัดนั้น ก็กำหนดการพลีชีพของชินทรเอาไว้แล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะ ?”
หัวใจของนรมนรัดแน่นขึ้นมาทันที
เหมือนว่าเธอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่กล้ามั่นใจ
คิมเช็ดคราบน้ำตา แล้วพูดว่า “เพราะบันทึกเล่มนั้นกลับไปอยู่ในมือของชินทรอีกครั้ง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาวางรากฐานสำหรับการตายของเขาเอาไว้แล้ว ตอนนั้นแม่คิดว่าเชษฐ์คงไม่มีกำลังมากพอที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในเขตทหาร ตอนนั้นเขาน่าจะสมคบกับบุคคลที่มีอำนาจสูง ไม่รู้ว่าใช้วาจาหลอกล่ออีกฝ่ายยังไงถึงได้รับความเชื่อใจมา แล้วจากนั้นก็เริ่มจัดให้ชินทรออกไปปฏิบัติภารกิจนอกสถานที่ ทุกครั้งที่ชินทรไปทำภารกิจต่างก็เสี่ยงตายเกือบเอาชีวิตไม่รอดกลับมาทั้งนั้น แต่ว่าเขาเองก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ เขาแอบสั่งให้คนส่งบันทึกมาให้แม่อย่างลับๆ ตอนนั้นแม่ไร้ที่พึ่งจริงๆ แต่ว่าเขาเขียนจดหมายมาให้แม่ว่า ให้แม่ปกป้องบันทึกเล่มนี้ ถ้าหากเป็นไปได้ ให้แม่หาโอกาสส่งมอบมันให้ฝ่ายทหาร น่าเสียดายที่ตอนนั้นแม่ไม่อยากมอบมันให้ใครเลย ต่อมาแม่ก็พบว่าตัวเองตั้งท้อง แม่เองก็ไม่กล้าติดต่อคุณปู่ของลูก เลยเริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับนักการทูตอย่างเงียบๆ และเริ่มเตรียมตัวเข้าสอบ”
“แม่ประสบความสำเร็จในการรับตำแหน่งนักการทูต แต่ว่าแม่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว รู้แต่ว่าหากได้งานแล้วก็ต้องไปต่างประเทศแน่นอน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ตัวแม่เองปรารถนา แต่หากแม่ไปแล้ว หากลูกตามไปกับแม่ก็จะอันตรายมาก แม่เลยต้องขอให้พ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนช่วยรับเลี้ยงดูอย่างไม่มีทางเลือก แล้วแม่ก็เดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับบันทึกเล่มนั้น”
“เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมายจริงๆ แม่ต้องเสี่ยงตายมากมายกว่าจะได้ไปรับตำแหน่งที่ต่างประเทศ ตอนนั้นแม่ได้รับจดหมายจากพ่อของลูก เขาบอกแม่ว่าจะมีคนมารับช่วงจากแม่ ให้แม่มอบบันทึกเล่มนั้นให้คนๆนั้น น่าเสียดายที่แม่ไม่ทันได้รอจนคนๆนั้นมาหา แต่กลับได้ข่าวการตายของพ่อลูกเสียก่อน ตอนนั้นแม่รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย แม่ต้องกลับไปร่วมงานศพของเขา แต่ฝ่ายทหารกลับบอกว่าสภาพศพของเขาอนาถมากเกินไป ไม่อาจระบุตัวตนได้ แต่จากการตรวจสอบDNAพบว่าร้อยละแปดสิบคือพ่อของลูก เรื่องนี้ก็เลยมีข้อสรุปลวกๆออกมาแบบนี้”
คิมสูดหายใจเข้าลึก มองดูเชษฐ์แล้วพูดว่า “คุณพ่อของลูกอาจจะตายไปแล้วจริงๆ แต่ว่าเขาตายได้ยังไงแม่จะต้องรู้ให้ได้ อีกอย่างแม่มั่นใจว่าการตายของพ่อลูกจะต้องเกี่ยวข้องกับเชษฐ์แน่ ตอนนี้เขาบอกว่าเขาเก็บร่างของพ่อลูกเอาไว้ ให้แม่เอาบันทึกมาแลก แม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว แม่ทำเพื่อประเทศชาติมาทั้งชีวิต ตอนนี้แม่เพียงแค่อยากอยู่กับคนที่ตัวเองรักที่สุดเท่านั้น”
จู่ๆนรมนก็จับจุดข้อมูลบางอย่างได้
“เดี๋ยวนะคะ คุณแม่ แม่จะบอกว่า แม่เอาบันทึกเล่มนั้นมาด้วยเหรอคะ ?”
“ใช่ ของสิ่งนี้ทำให้แม่กับพ่อของลูกต้องอยู่กันคนละภพ แม่เองก็ใกล้จะตายแล้ว แม่ไม่สามารถทิ้งของอันตรายแบบนี้ไว้ให้พวกลูกได้ ดังนั้นที่แม่มา ก็เพื่อนำบันทึกเล่มนี้มาด้วย”
คิมพูดไปพูดมาก็หัวเราะ แต่ใจหัวใจของนรมนกลับจุกแน่นขึ้นมา
“ไม่สิ ! คุณแม่คะ มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ที่เขาต้องการจะต้องไม่ใช่แค่บันทึกในมือคุณแม่เล่มนี้แน่ จะต้องไม่ใช่แค่นี้ !”
นรมนมองดูเชษฐ์ แล้วก็เห็นว่าเขากำลังแสยะยิ้ม รอยยิ้มได้อกได้ใจนั้นบาดลึกเข้าไปในสายตาของเธอ