แขนของบุริศร์กระชับขึ้นทันที
ห่ากระสุนรอบตัวก็ดี การเตะต่อยก็เถอะ สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีความสำคัญ อวัยวะสัมผัสทั้งหมดและเซลล์ทั้งหมดของเขาร้องตะโกน กระโดด และตื่นเต้นเพื่อผู้หญิงที่ชื่อนรมนคนนี้
นรมนรู้สึกว่ากระดูกของตนเองถูกบุริศร์บดขยี้
ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะน่ากลัวจริง ๆ
เธอจะมาที่นี่โดยไม่เตรียมตัวได้อย่างไร?
ครั้งแรกบุกไปคนเดียวเพราะไร้เดียงสา ถ้าครั้งที่สามครั้งที่สี่ยังเป็นแบบเดิมก็คงจะโง่จริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่วุ่นวายแบบนี้ ถึงแม้เธอจะไม่เอาคนของอาณาจักรรัตติกาลมา ก็เอาคนของคุณท่านตนุวรกับตระกูลทวีทรัพย์ธาดามา
แต่บุริศร์ห่วงใยเธอแบบนี้ นรมนรู้สึกดีใจมาก
จนเมื่ออากาศในทรวงอกใกล้จะถูกสูบจนหมดไป นรมนจึงพยายามดิ้นและผลักบุริศร์ออก
เธอหอบเฮือกใหญ่ หน้าแดงเหมือนผลเชอร์รี่สุก มีความงดงามอย่างบอกไม่ถูก จนแม้แต่หน้าตาหลังจากความซาบซึ้งใจยังมีความเลือนรางและเสน่ห์ชวนให้หลงใหล
บุริศร์อยากจะเอาเธอไปซ่อนเสียจริง ไม่ให้คนอื่นได้เห็นความงดงามของเธอ
“ไปเถอะ พวกเราไปหากานต์กัน!”
บุริศร์เพิ่งจะพูดจบ เขาช้อนตัวอุ้มนรมนขึ้นมาแล้วเดินออกไปข้างนอก
ในขณะนั้นเอง “ปัง” เสียงปืนดังขึ้น เฉียดด้านหลังศีรษะของบุริศร์ไปทันที
เสียง “พู” ดังขึ้น ของเหลวอุ่น ๆ กระเด็นออกมาในชั่วพริบตา สาดใส่ใบหน้าของนรมน
เลือด!
อุ่น ๆ เลย!
ร่างกายของนรมนแข็งทื่อ เธอมองไปทางด้านหลังของบุริศร์ ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งอยู่ห่างกับบุริศร์เพียงไม่ก็เซนติเมตร ในตอนนี้ค่อย ๆ ล้มลงไปบนพื้น
เลือดทะลักออกมาจากขมับของเขา นองบนพื้นอยู่รวดเร็ว
เป็นครั้งแรกที่นรมนเผชิญหน้ากับความตายในระยะประชิดเช่นนี้ เธอตกใจกลัวอย่างห้ามไม่ได้
บุริศร์กอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น เหลือบมองไปยังทิศทางที่ปืนยิงออกมา ร่างของกานต์ปรากฏสู่สายตาของเขาทันที
คิดไม่ถึงว่าคนที่ยิงปืนไรเฟิลจะเป็นกานต์?!
ลูกตาดำของบุริศร์เบิกกว้างทันที
กานต์กลับลุกขึ้นอย่างไร้ความกดดันใด ๆ และก้าวเดินมาทางนี้
เห็นได้ชัดว่านรมนก็มองเห็นสิ่งนี้เช่นนี้
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เมื่อสักครู่กานต์ฆ่าคน?
ถึงแม้จะพูดว่าทำไปเพื่อปกป้องบุริศร์ แต่เขายังเป็นเด็กอยู่นะ!
เขายังเป็นเด็กคนหนึ่งหรือว่าไม่จริง?
นรมนดิ้นออกมาจากอ้อมแขนของบุริศร์ทันที วิ่งตรงไปหากานต์
“เป็นอย่างไรบ้าง? กานต์ ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
นรมนสั่นไปทั้งตัว
เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนเองหวาดกลัว หรือเป็นเพราะกังวลที่กานต์เป็นเช่นนี้
กานต์ตอบอย่างใจเย็น “ผมไม่เป็นอะไรครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณบุริศร์ปลอดภัยก็พอ”
“ลูกเป็นเด็กนะ ทำไมลูก……”
นรมนพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกบุริศร์ดึงเอาไว้
ในตอนนี้บุริศร์มองเห็นแววตาของกานต์แล้วรู้สึกกังวลใจ
“เข้าไปหากิจจาเถอะ เขาได้รับบาดเจ็บ อยู่ข้างใน”
“มิลินเข้าไปแล้ว”
กานต์พูดอย่างเรียบเฉย
บุริศร์สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่ามือของกานต์กำลังสั่น
แรงถีบของปืนไรเฟิลแรงมาก ไม่ใช่สิ่งที่เด็กอายุเท่ากานต์จะสามารถทำได้ เมื่อสักครู่เป็นวินาทีเส้นยาแดงผ่าแปด กานต์ก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน
ราวกับว่าจะสังเกตเห็นสายตาของบุริศร์ กานต์เก็บมือขวาไปข้างหลัง และกล่าวอย่างเรียบเฉย “ผมขอไปดูกิจจาก่อนนะ”
พูดจบเขาก็เดินไป ไม่เห็นแววตาที่เป็นกังวลของบุริศร์และนรมนสักนิดเดียว
เมื่อกานต์เข้าไปในห้องของกิจจา ก็มองเห็นมิลินกำลังตรวจดูบาดแผลของเขา ส่วนนภดลก็ออกไปแล้ว
“กานต์”
กิจจาเอียงคอส่งยิ้มให้กานต์
กานต์พยักหน้า ยกมุมปากขึ้น แต่กลับไม่ได้ยิ้มออกมา
มิลินจัดการบาดแผลของกิจจาเสร็จเรียบร้อย เธอมองไปที่กานต์ รู้สึกได้ว่าสองพี่น้องมีเรื่องจะคุยกัน จึงพยักหน้าให้กิจจาและถอยออกไป
เมื่อภายในห้องเหลือแค่เพียงกิจจากับกานต์ กิจจาจึงพบว่าสีหน้าของกานต์ขาวซีดจนน่ากลัว
“กานต์ นายเป็นอะไรไป?”
“เปล่าไม่ได้เป็นอะไร”
กานต์นั่งลงข้างกิจจา สายตาเหม่อลอย
“นาย……”
กิจจาเอื้อมมือไปจับมือของกานต์ เขาขมวดคิ้วถามทันที “ทำไมมือของนายถึงได้เย็บเฉียบแบบนี้?ฝ่ามือยังมีเหงื่อออกมากอีกด้วย?”
“ฉันเพิ่งจะยิงคนตายมา”
กานต์พูดอย่างนิ่งเฉยสุด ๆ แต่กิจจามองเห็นความสับสนวุ่นวายจากน้ำเสียงและแววตาของเขา
ฆ่าคน?
สองคำนี้ค่อนข้างห่างไกลกับความรู้สึกนึกคิดและภาพจำของเด็ก ๆ แต่กานต์เพิ่งจะผ่านประสบการณ์ทั้งหมดนี้มาอย่างไม่คาดคิด จึงไม่แปลกใจที่เป็นเช่นนี้
“ฉันสามารถให้คำปรึกษาทางด้านจิตวิทยากับนายได้นะ”
กานต์ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร หลังจากกลับไปจะมีจิตแพทย์ประจำเขตทหาร ฉันก็แค่ยังไม่ค่อยชิน”
“ใครก็ไม่ชินทั้งนั้นแหละ คืนนี้นอนกับฉันไหม”
“อืม”
กานต์ไม่ปฏิเสธคำขอของกิจจา
นรมนมองบุริศร์และเอ่ยถามว่า “กานต์จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“คุณเห็นเหมือนเขาไม่เป็นอะไรหรือไง?ลูกคนนี้ถึงแม้จะเปลือกนอกจะดูไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้ว่าในใจจะพังแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นคน ยิงครั้งแรกก็จะเป็นภาพจำฝังใจ เดี๋ยวผมจะคุยกับเฮีย บอกให้เขาหาจิตแพทย์ให้กานต์ อย่าปล่อยให้มีอะไรฝังใจ”
บุริศร์หรี่ตาลง
เขาเตะศพตรงหน้าไปด้านข้าง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ
ถ้ากานต์มีภาพจำฝังใจจริง ๆ เขาจะไม่ปล่อยชัยณรงค์ไปแน่!
นรมนกับบุริศร์ออกไปจากตรงนี้ด้วยความรู้สึกกดดัน
ส่วนเรื่องต่อจากนี้แน่นอนว่าจะมีคนของกองทหารเข้ามาจัดการ
นรมนมองเห็นคนของตระกูลทวีทรัพย์ธาดาและตระกูลพรโสภณยังอยู่ จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกคุณกลับไปก่อนได้เลย ฝากบอกอาธรณีกับคุณตาว่า พวกฉันปลอดภัย ฉันกับบุริศร์จะอยู่ข้างนอกอีกสักวันสองวันแล้วค่อยกลับไป”
“ครับ”
นรมนมองกองทัพที่มิลินบัญชาการ เธอถามบุริศร์ว่า “กองทัพของมิลินนี่มันอะไรกัน?”
“เคยได้ยินชื่อองค์กร HG ไหม?”
“มันคืออะไรเหรอ?”
นรมนรู้สึกปวดหัว
บุริศร์เล่าเรื่องที่กานต์สืบเจอให้นรมนฟัง
นรมนนิ่งไปสักพัก และถามว่า “งั้นนงลักษณ์คือคุณป้าของฉันเหรอ?”
“อาจจะเป็นไปได้และก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ สรุปแล้วสถานการณ์ของประเทศ F ค่อนข้างซับซ้อน ช่วงนี้พวกเราอย่าเพิ่งเข้าไปแทรกแซงก่อน และปีนั้นที่คุณป้าของคุณหายสาบสูญไปมีความเป็นไปได้สูงว่ามีเรื่องอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย จนแม้แต่ยังไม่ความเป็นไปได้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้สิ่งที่ผมกลัวคือ ไม่รู้ว่าเจตนาและเป้าหมายของมือมืดที่อยู่เบื้องหลังคืออะไร”
บุริศร์ทอดถอนใจเบา ๆ
นรมนกลับกล่าวอย่างไม่สนใจ “ไม่ว่าเขาจะมีเจตนาและเป้าหมายอะไร ทุกปัญหามีทางออก ตอนนี้กังวลไปจะมีประโยชน์อะไร? เดี๋ยวค่อยว่ากันดีกว่า”
ทั้งสองคนเดินจูงมือขึ้นรถ
ตอนพริมาโทรเข้ามา นรมนเพิ่งจะขึ้นมาบนรถ
เธอนิ่งไปสักพัก และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สัญญาณที่นี่ไม่ได้ถูกตัดขาดเหรอ?ทำไมถึงยังมีสายโทรเข้ามาได้?”
“ก่อนที่พวกเราจะมาได้หาคนซ่อมแซมแล้ว คุณควรจะเชื่อใจลูกชายของคุณ”
“กานต์ทำเหรอ?”
นรมนภูมิใจสุด ๆ
มุมปากของบุริศร์ยกขึ้นเล็กน้อย สามารถมองเห็นได้ว่า เขาก็รู้สึกเป็นเกียรติต่อกานต์เช่นกัน
นรมนกดปุ่มรับสายอย่างรวดเร็ว
“ประธานนรมนคะ จัดการเรื่องของณัจยาแล้ว หลังจากชาวีตาย พ่อแม่ของเขาก็เริ่มขอณัจยาสิบล้าน ณัจยาไม่ให้ พ่อแม่ของเขาจึงทำร้ายณัจยาที่ทางเข้าบริษัททันที ทีมกฎหมายของบริษัทพวกเราได้ฟ้องร้องพ่อแม่ของเขาแล้ว ณัจยาไม่ยอมความ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนไกล่เกลี่ย เพียงแต่คนที่มีอำนาจดำเนินการคือทางฝั่งพวกเรา”
ได้ยินพริมาพูดแบบนี้ นรมนจึงวางใจทันที
นับว่าเป็นเรื่องดีกับทั้งสองฝ่ายจริง ๆ
ทางฝั่งของบุริศร์ก็ไม่มีอะไรแล้ว เรื่องทางฝั่งของณัจยาก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ค่อนข้างดี
“เข้าใจแล้ว คุณจัดการได้เลย ช่วงนี้ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องในบริษัท ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็ไม่ต้องรายงานฉัน คุณสามารถจัดการเองได้เลย”
นรมนพูดจบก็วางสาย
เนื่องจากกลัวว่าคนอื่นจะรบกวน นรมนจึงปิดเครื่องทันที
บุริศร์มองเธอด้วยความแปลกใจ
“นี่คุณทำอะไร?”
“ใช้เวลาอยู่คุณสองต่อสองไง ไม่ชอบให้คนอื่นมารบกวน”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์ยิ้มเจื่อนๆ
“เกรงว่าช่วงนี้จะไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“ทางฝั่งของวินเซนต์เกิดเรื่องขึ้น ผมต้องยืนยันให้แน่ชัดว่าเขาปลอดภัย”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนนิ่งไป
สุดท้ายแล้วเรื่องการหายตัวไปของวินเซนต์ก็มาถึงหูของบุริศร์จนได้
“คุณมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร?”
“การหายตัวไปของวินเซนต์มีความเกี่ยวข้องกับทรรศยา ผมเดาว่าทรรศยาเป็นตัวปลอม”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนอึ้งไปอีกครั้ง
“ตัวปลอม?คุณมีหลักฐานเหรอ?”
“ไม่มี แต่ผมอยู่ข้าง ๆ ตอนที่ทรรศยาตาย ผมเห็นกับตาว่าทรรศยาถูกยิงตาย พวกเราไม่ได้ช่วยทรรศยา แต่นำร่างของเธอกลับไป ไม่มีใครสามารถฟื้นจากความตายได้ และหลังจากนั้นหลายปี”
บุริศร์พูดเสียงเบา อารมณ์เศร้าหมอง
นรมนเชื่อบุริศร์ ตราบใดที่เขาบอกว่าทรรศยาเป็นตัวปลอม นั่นจะต้องไม่ผิดแน่ นี่คือการเชื่ออย่างสนิทใจ
“แล้วผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนทรรศยาคือใคร?พี่น้องฝาแฝดของทรรศยาเหรอ?”
“ทรรศยาเป็นลูกคนเดียว มีเพียงลูกพี่ลูกน้อง ไม่มีพี่น้อง ดังนั้นสิ่งที่ผมกังวลตอนนี้คือวินเซนต์ถูกจับตัวไปเพราะค้นหาความจริง”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนเข้าใจทันที
“ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นแผนซ้อนแผนของวินเซนต์หรือเปล่า?ฉันกับพฤกษ์ต่างรู้สึกว่า ด้วยฝีมือของวินเซนต์ไม่น่าจะถูกลักพาตัว นอกเสียจากเขายินยอมเอง คิดไม่ถึงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันแบบนี้”
บุริศร์มองหน้าเธอและกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่สามารถคลี่คลายได้ในเวลาอันสั้น ตอนนี้ผมแค่อยากยืนยันความปลอดภัยของวินเซนต์”
“จะยืนยันอย่างไร?”
“แน่นอนว่าผมมีวิธีของผม”
บุริศร์พูดจบก็นั่งลงทันที เปิดโน๊ตบุ๊ค หลังจากใส่รหัสแล้ว บนหน้าจอก็เป็นสีดำอยู่ตลอด ไม่มีการตอบสนองใด ๆ
นรมนไม่เข้าใจคอมพิวเตอร์เหล่านี้ จึงรู้สึกน่าเบื่อโดยไม่รู้ตัว
เธอนั่งพิงเบาะ จู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่หลัง ถึงจะนึกขึ้นได้ว่าบาดแผลของตนเองฉีก
โอ๊ย!
เธอควรจะบอกเรื่องนี้กับบุริศร์ดีไหม?
นรมนสองจิตสองใจ
เธอเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของบุริศร์
ผู้ชายคนนี้ผิวคล้ำขึ้นหลังจากมาที่นี่ และยังผอมลง ใต้ตาที่ดำคล้ำทำให้นรมนรู้สึกสงสาร
เดาว่าหลังจากมาที่แอฟริกาใต้คงไม่ได้พักผ่อนเต็มที่
คิดถึงตรงนี้ นรมนสูดลมหายใจเข้าลึก ทิ้งเรื่องแผลฉีกไป