มือของบุริศร์กอดนรมนไว้แน่นอย่างอัตโนมัติ
หัวคิ้วของมิลินก็ขมวดกันแน่นขึ้นมา
เธอผ่อนความเร็วรถลง แล้วจ้องมองไฟที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดที่อยู่ข้างหน้า ในหัวสมองไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ตามองเห็นว่าเดี๋ยวก็จะถึงด่านสกัดข้างหน้านี้แล้ว แต่อยู่ ๆ ที่ไม่ไกลนักก็มีเสียงของตำรวจลอยมา
“ทางโน้นจับคนวางระเบิดได้แล้ว รีบไปช่วยเสริมกำลังเร็ว!”
เสียงที่ลอยมาจากที่ไม่ไกลนัก ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้ารีบเคลื่อนย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
ใจของบุริศร์และมิลินวางลงมาได้ทันทีเลย มิลินยิ่งเหยียบคันเร่งทีหนึ่ง แล้วก็ผ่านด่านนี้ไปเลย
หลังจากที่ออกจากประเทศFแล้ว ก็ถือได้ว่าพ้นขีดอันตรายได้แล้ว
มิลินส่งพวกเขาออกไปถึงนอกชายแดนเป็นอันดับแรก แล้วก็ได้มีเฮลิคอปเตอร์รออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
จากที่ไกล ๆ บุริศร์ก็มองเห็นนงลักษณ์แล้ว
หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
นรมนยังคงนอนหลับอยู่
นงลักษณ์มองนรมนที่อยู่ในอ้อมอกของบุริศร์ทีหนึ่ง แล้วก็ยิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดขึ้นว่า “อากาศหนาว ฉันซื้อเสื้อกันหนาวมาให้เธอตัวหนึ่ง อีกเดี๋ยวเอาให้เธอใส่ซิ ในเมื่อห่มผ้าห่มไว้ผืนหนึ่งมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ขอบคุณครับ”
คำว่าขอบคุณนี้ของบุริศร์นั้นมีความหมายเยอะมาก
นงลักษณ์ฟังเข้าใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าเอานาฬิกาพกเก่าอันหนึ่งออกมาจากอกแล้วยื่นให้บุริศร์ และพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “จะปีใหม่แล้ว ช่วยฉันเอาของสิ่งนี้ไปให้พ่อฉันหน่อยเถอะ”
“นี่คือ……”
“เป็นของดูต่างหน้าของแม่ฉัน”
แววตาของนงลักษณ์แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าเสี้ยวหนึ่ง
“ก่อนแม่ฉันจะเสียได้เก็บไว้ให้เทย่า หวังว่าเธอจะไว้เป็นที่ระลึก แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนั้นจะทำลายความหวังของแม่ฉันไป แล้วไปหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอจนเจอ แล้วก็ยังเดินหมากเกมใหญ่ตาหนึ่งด้วย นาฬิกาพกอันนี้ได้ยินมาว่าตอนนั้นยังเป็นของหมั้นของพ่อแม่ฉันด้วย ต่อมาระหว่างที่ถูกขายทอดฉันถึงจะหาเจอนาฬิกาพกอันนี้เจอ ตอนแรกกะว่าจะส่งคืนกลับไปให้พ่อฉันด้วยมือตัวเอง แต่ว่าตอนนี้เวลายังไม่เหมาะสม และฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อของฉันจะสามารถรอจนถึงวันที่ฉันกลับไปได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นจึงขอให้คุณช่วยส่งมอบให้แทน และก็บอกกับท่านว่า ลูกสาวคนโตของท่านยังมีชีวิตอยู่”
บุริศร์ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เรื่องนี้ไม่ใหญ่แล้วก็ไม่เล็ก และที่สำคัญตอนนี้สถานะและการกระทำของนงลักษณ์ยังไม่ชัดเจน เขาไม่ชัดเจนว่าหลังจากที่ตัวเองช่วยเอานาฬิกาพกอันนี้คืนให้กับคุณท่านตนุวรแล้วจะเกิดปฏิกิริยาแบบไหนขึ้น
ในระหว่างที่บุริศร์ลังเลอยู่นั้น นรมนก็ลืมตาขึ้นมา
“นี่เป็นของที่คุณยายเหลือทิ้งไว้เหรอคะ? เป็นของหมั้นที่คุณตาให้คุณยายเหรอคะ?”
เหมือนกับจะคิดไม่ถึงว่านรมนจะตื่นขึ้นมาในเวลานี้ ทั้งนงลักษณ์และบุริศร์ต่างก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
บุริศร์อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “หนาวไหม?”
“ยังโอเคค่ะ”
นรมนกระโดดลงมาจากอกของบุริศร์ แล้วก็เอาเสื้อกันหนาวที่นงลักษณ์ซื้อให้มาใส่อย่างไม่เกรงใจ
อย่าว่าอะไรนะ ยังพอดีตัวมากจริง ๆ ด้วย
นงลักษณ์เห็นเธอใส่แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“สวยจริง ๆ เลย”
“นั่นเป็นเพราะว่า ฉันสวยมาตั้งแต่กำเนิด”
นรมนพูดขึ้นอย่างไม่ถ่อมตัวเลยสักนิด จากนั้นก็หันหน้ากลับไปมองนงลักษณ์แล้วถามขึ้นว่า “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามเมื่อกี้ของฉันเลย”
“ใช่ เป็นของหมั้นหมาย”
นงลักษณ์นึกว่าการร่วมมือกันสองครั้งจะสามารถขจัดการคาดเดาที่นรมนมีต่อตัวเองลงได้แล้ว แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าเธอจะยังคงหลักแหลมแบบนี้
นรมนรู้สึกพอใจกับคำตอบของนงลักษณ์เป็นอย่างมาก แล้วก็เก็บกดกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้ ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ฉันจะส่งมอบให้คุณตาแน่ วางในเถอะ ถ้าหากคุณแค่อยากจะแสดงหัวใจกตัญญูละก็ ความหวังอันนี้ฉันจะช่วยคุณทำให้สำเร็จ แต่ถ้าคุณมีความตั้งใจอย่างอื่น ถึงตอนนั้นก็อย่ามาโทษฉันว่าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน ฉันขอเตือนคุณไว้ก่อนเลย เผื่อว่าพอถึงตอนนั้นทุกคนฉีกหน้ากันแล้วก็จะไม่ดี”
คำพูดชุดนี้ของเธอพูดได้อย่างตรงไปตรงมามาก ไม่ได้สนใจเลยว่านงลักษณ์จะรับไหวหรือเปล่า
นงลักษณ์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะและพยักหน้า ส่วนในใจคิดอะไรอยู่นั้น นรมนไม่รู้ และไม่อยากรู้
หลังจากที่พูดคำพูดนี้จบแล้ว นรมนก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับบุริศร์
เฮลิคอปเตอร์เป็นของส่วนบุคคล แต่ว่าตราที่ประทับอยู่กลับเป็นตราสัญญาลักษณ์ของประเทศF ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเฮลิคอปเตอร์ของในวัง
หลังจากที่พวกนรมนขึ้นมาแล้ว เฮลิคอปเตอร์ก็ขึ้นบินเลย
บุริศร์จ้องมองเธอแล้วถามเสียงต่ำขึ้นว่า “สร้างความลำบากใจให้เธอขนาดนี้ไม่กลัวว่าเธอจะกลับมาจริง ๆ เหรอ?”
“อยากกลับมาแน่นอนว่าดีอยู่แล้ว แต่ว่าฉันก็ดูเธอไม่ออก คุณดูอำนาจของเธอซิ อยู่ในประเทศFแทบจะสามารถพูดได้ว่าเป็นคนอยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือคนเป็นหมื่น อำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ประธานาธิบดีกลับไม่รู้ และอีกย่างเธอกลับไม่ช่วยราเชนแย่งชิงอำนาจ ในส่วนนี้ก็ทำให้คนรู้สึกน่าแปลกมาแล้ว หรือว่าราเชนจะไม่ใช่ลูกชายของเธอเหรอ?”
“จะไม่ใช่ได้ยังไง? ถ้าหากว่าไม่ใช่แม่ของราเชน จะมามีหน้าตาเหมือนกับแม่ของคุณได้ยังไง? จะมามีเปอร์เซ็นต์ความเหมือนของดีเอ็นเอกับคุณมากขนาดนั้นได้ยังไง?”
บุริศร์โต้แย้งกับนรมนกลับไปเลย
นรมนยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ว่าเธอกลับมองดูลูกชายของเธอโดนคนอื่นกลั่นแกล้ง และต้องพบเจอกับเรื่องราวมากขนาดนั้นแต่กลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คุณรู้สึกว่ามันเป็นไปได้เหรอ?”
“นรมน ถ้าหากว่าเธอไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือจริง ๆ ราเชนคงจะมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ไม่ได้หรอก”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนอึ้งไปเล็กน้อย
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“ในตอนที่นงลักษณ์ตายไปต่อหน้าผู้คนนั้นราเชนยังเป็นเด็กอยู่ คุณคิดว่าถ้าราเชนไม่มีคนปกป้องอยู่จริง ๆ จะสามารถมีชีวิตอยู่จนสามารถออกไปจากประเทศFแล้วมาอยู่ในวงการบันเทิงได้เหรอ? คุณจะต้องรู้ไว้ว่า ถึงแม้ตอนนั้นองค์ชายสามจะยังเด็ก แต่ว่าเบื้องหลังองค์ชายสามมีแม่แท้ ๆ ของเขาช่วยเขาวางแผนอยู่ ถ้าจะฆ่าเด็กคนหนึ่งอย่างไม่มีสุ้มเสียงนั้นง่ายกว่าฆ่าผู้ใหญ่คนหนึ่งเยอะ แต่ว่าพวกเขากลับทำไม่สำเร็จ ทำได้เพียงแค่ไล่ราเชนออกไปได้เท่านั้น นี่หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่ามีคนคอยปกป้องราเชนอยู่”
พอได้ยินบุริศร์พูดแบบนี้ นรมนก็เข้าใจขึ้นมาบ้าง
“แต่ว่าในเมื่อปกป้องราเชนอยู่ แล้วทำไมยังจะต้องให้เขาแบกรับอยู่ข้างนอกเยอะขนาดนั้นด้วยล่ะ?”
“นี่คือบททดสอบของคนที่เป็นองค์ชายคนหนึ่งควรจะต้องแบกรับและเผชิญ หรือกระทั่งผมสงสัยว่าการตายของซินดี้นั้นนงลักษณ์เองก็รู้ และที่สำคัญน่าจะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถช่วยเหลือซินดี้ได้ แต่ว่าเธอก็ไม่ไปช่วยเขา ถึงแม้ว่าสำหรับราเชนมาพูดแล้วเขาจะเป็นเพียงแค่ความอบอุ่นเดียวในโลกนี้ก็ตาม”
นรมนฟังมาจนถึงตรงนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“หมายความว่ายังไง?”
“ราเชนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นผู้สืบทอดของประธานาธิบดี ก่อนหน้านั้นผมยังไม่แน่ใจนัก แต่พอมาเจอกับนงลักษณ์แล้วผมก็เข้าใจเลย นี่เป็นความตั้งใจของนงลักษณ์ และก็เป็นความหวังของเธอด้วย ถ้าเป็นประธานาธิบดีคนหนึ่ง จะมามีข่าวว่าเป็นคู่เกย์กับผู้ช่วยของตัวเองแพร่ออกไปได้ยังไงล่ะ? เพราะฉะนั้นในจุดนี้ ซินดี้ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ซินดี้ยังเป็นความอบอุ่นเดียวของราเชนอีก มีเพียงแต่เขาตายไป ที่สำคัญยังต้องตายด้วยน้ำมือขององค์ชายสามเท่านั้น ราเชนถึงจะเปลี่ยนเป็นโหดร้ายได้อย่างเต็มตัว ถึงจะกลับมาแย่งอำนาจได้ ถึงจะสามารถมาเดินบนเส้นทางที่นงลักษณ์ปูไว้ให้เขาได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีแพรวาหรือไม่มี ซินดี้ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อยู่ดี”
ดวงตาของบุริศร์มีความเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
ฝีมือที่สกปรกในวังพวกนี้เขาไม่อยากจะให้นรมนรู้เรื่องจริง ๆแต่ว่าคนคนนี้คือนงลักษณ์ เป็นคุณป้าใหญ่ของนรมน เป็นลูกสาวของตระกูลพรโสภณ เขาจะไม่ให้นรมนไม่รู้เรื่องที่ลดเลี้ยวคดเคี้ยวในนี้ไม่ได้
หัวคิ้วของนรมนขมวดกันแน่น ความรู้สึกดีเล็กน้อยที่เพิ่งมีต่อนงลักษณ์โดนทำลายลงไปทันที
“ถ้าอย่างนี้จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดที่นงลักษณ์ทำก็เพื่อต้องการให้ราเชนได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเหรอ?”
“ถือว่าใช่มั้ง”
“เพื่อต้องการให้ลูกชายขึ้นครองตำแหน่ง ยินดีที่จะไม่สนใจความสุขของลูกชาย อย่างนี้ยังเป็นแม่คนอยู่เหรอ?”
ปฏิกิริยาของนรมนร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย
บุริศร์กุมมือของเธอไว้แล้วพูดขึ้นว่า “นรมน มีบางคนมีบางเรื่องเราต่างก็ไม่รู้เรื่อง และไม่เข้าใจความสัมพันธ์ที่รุนแรงในนั้น เพราะฉะนั้นคุณเองก็ไม่สามารถช่วยราเชนพูดว่าไม่ยุติธรรมไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องรู้สึกว่านงลักษณ์มีความโหดเหี้ยม ในเมื่อเราไม่ใช่ตัวนงลักษณ์ ไม่ได้เผชิญเรื่องที่เธอต้องเผชิญมา แน่นอนว่าไม่รู้ว่าที่เธอแบบนี้มีประโยชน์อะไร ขอแต่เธอไม่มาจงใจทำร้ายคุณ วางกับดักกับคุณก็พอแล้ว อย่างอื่นที่เหลือพวกเราพยายามให้เต็มที่ก็พอแล้ว”
นรมนนึกถึงประวัติความเป็นมาของนงลักษณ์ขึ้นมาทันที
เกิดมาได้ไม่นานก็โดนพวกก่อการร้ายจับตัวไป และเกือบจะโดนยิงตาย จากนั้นก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่โดนลักพาตัวไป บางทีทั้งชีวิตของเธออาจจะถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่ธรรมดา
หลายปีมาขนาดนี้ เธอเผชิญกับอะไรมาบ้าง แบกรับอะไรมาบ้างไม่มีใครรู้ และสามารถถอนตัวออกไปได้อย่างราบคาบในวังที่รอบข้างมีแต่อันตรายก็เป็นการกระทำที่ไม่ทำไม่ได้แล้ว
อยู่ ๆ จิตใจของนรมนก็สับสนวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย และไม่รู้ว่าควรจะตัดสินนงลักษณ์ยังไงดี และเป็นอย่างที่บุริศร์พูดพอดี เธอไม่ใช่นงลักษณ์ ไม่มีสิทธิ์ไปชี้นิ้วว่ากล่าวการกระทำทั้งหมดของนงลักษณ์
แต่ว่าพูดจากมุมมองของญาติแล้ว นงลักษณ์ปฏิบัติต่อเธอก็ยังถือได้ว่าพอใช้ได้ ในส่วนนี้นรมนไม่ปฏิเสธ
“ก็ได้ งั้นก็เดินไปก้าวหนึ่งดูก้าวหนึ่งละกัน”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์โล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง เขากลัวว่าภรรยาตัวเล็กของตัวเองจะดื้อดึงออกมาไม่ได้
“ง่วงไหม? นอนต่ออีกหน่อยไหม? เดี๋ยวถึงเมืองชลธีแล้วผมเรียกคุณ”
บุริศร์เห็นว่านรมนเหมือนยังมีความอ่อนเพลียอยู่บ้าง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย
นรมนพิงอยู่ที่หัวไหล่ของเขา แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “น่าเสียดายจัง ฉันยังกะว่าจะกลับไปดูเกาะบุริศร์นรมนสักหน่อยด้วยนะ”
“ไว้ครั้งหน้าเถอะ ในเมื่อก็หนีไปไหนไม่ได้สักหน่อย”
น้ำเสียงของบุริศร์อ่อนโยนเป็นอย่างมาก
นรมนรู้สึกว่าตาก็ลืมไม่ขึ้นแล้ว
หัวของเธอสัปหงกลงเล็กน้อย แล้วก็พูดขึ้นอย่างสะลึมสะลือว่า “เหมือนกับว่าฉันจะนึกเรื่องหนึ่งออกแล้ว”
“ฮือ?”
“ฉันอยู่ข้างกายคุณมาห้าปีแล้ว ได้ยินว่าคุณได้สร้างสวนส่วนตัวให้ฉันขึ้นมาแห่งหนึ่ง? ฉันยังไม่เคยเห็นเลย”
นรมนพูดจบแล้วก็นอนหลับไปเลย ความเร็วที่นอนหลับไปภายในวินาทีแบบนี้ทำให้บุริศร์รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
มุมปากของเขาคลี่ขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “จะต้องมีโอกาสแน่”
แต่ว่านรมนได้นอนหลับไปแล้ว
เฮลิคอปเตอร์บินไปหลายชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงเมืองชลธี
นรมนหาวไปหลายทีแล้วก็ตื่นขึ้นมาเลย เวลานี้นี่กะได้ช่างแม่นยำมากจริง ๆ
บุริศร์ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณนี่ตื่นเป็นจริง ๆ”
“อืม หิวแล้ว พอดีเลยออกไปหาที่สักแห่งกินอะไรสักหน่อยดีกว่า”
ท่าทางของนรมนในตอนนี้ช่างเหมือนกับกมลมากจริง ๆ
ที่ระหว่างหัวคิ้วของบุริศร์แฝงไว้ด้วยแววรักใคร่เอ็นดู
ทั้งสองคนลงจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วออกจากสนามบินไปทางช่องทางพิเศษ ตอนแรกกะว่าจะไปหาที่ละแวกใกล้ ๆ สักแห่งกินอะไรสักหน่อย แต่กลับได้ยินเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังลอยมา
“นรมน ประธานบุริศร์ พวกคุณไปไหนกันมาคะ?”
นรมนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปก็แล้วเห็นขวัญตาเข้า
วันนี้ขวัญตาสวมใส่ชุดทำงานที่ดูเรียบร้อย ให้ความรู้สึกเป็นผู้หญิงแกร่งอย่างหนึ่ง
“พี่สะใภ้? นี่คุณ……”
“มารับลูกค้าคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอพวกคุณเข้า นี่ไปท่องเที่ยวมาเหรอคะ?”
ขวัญตามองนรมนอย่างสอดรู้สอดเห็น
นรมนหัวเราะขึ้นมาทันทีเลย “ออกไปเที่ยวมาไม่กี่วัน อ๋อใช่แล้ว ขาของพี่ชายฉันเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรแล้ว อีกสองสามวันก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ว่าก็ยังต้องพักฟื้นอีกระยะหนึ่ง นี่ก็เป็นเพราะว่าจะต้องเตรียมงานแต่งไง? เขาเป็นตายร้ายดีก็จะออกมามีส่วนร่วมด้วยตัวเองให้ได้ แล้วฉันก็เถียงเขาไม่ไหว จึงได้แต่ตามใจเขาไป”
ในตอนที่ขวัญตาพูดถึงเจตต์นั้นแววตาหวานแหวว แค่ดูก็รู้แล้วว่าอยู่ในช่วงกำลังมีความรัก
นรมนพูดขึ้นอย่างรู้สึกอิจฉามากว่า “ฉันก็กลับมาแล้ว พอถึงตอนนั้นฉันจะไปช่วยนะ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว จะปล่อยให้คุณผ่อนคลายไปได้ยังไง? อ๋อใช่แล้ว ลูกค้าของฉันยังจะต้องรออีกครึ่งชั่วโมงถึงจะลงเครื่อง ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวพวกคุณสองผัวเมียเอง”
ท่าทีที่เป็นการกันเองขวัญตาทำให้บุริศร์อึ้งไปครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้รังเกียจ และที่สำคัญขวัญตายังเคยช่วยชีวิตนรมนมาก่อนด้วย แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่มีความคิดเห็นอยู่แล้ว
ในตอนที่ทั้งสามคนเดินออกไปข้างนอกนั้น อยู่ ๆ ขวัญตาก็ลากนรมนไว้ แล้วก็กระซิบเบา ๆ ไปประโยคหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ สีหน้าของนรมนก็เปลี่ยนไปทันที