นรมนเงียบ คนอื่นก็เงียบเช่นกัน บรรยากาศในห้องค่อนข้างแข็งขืนและอึดอัดใจ
“นรมน ไม่ต้องกังวล ผมจะไม่ปล่อยตุลยาไป”
บุริศร์จับมือนรมนไว้แน่น
แม้ว่า ดวงตาของนรมนจะไม่มีปัญหาแล้ว แต่เขาก็กลัว
พิษที่ไม่รู้จักนี่ทำให้พวกเขาจัดการอะไรไม่ได้
แต่นรมนกลับไม่สนใจ เธอยิ้มและพูดว่า “ฉันหิวแล้ว”
คำพูดที่ไม่เกี่ยวกันแม้แต่น้อยนี้ ทำให้บุริศร์และทุกคนตกตะลึง
ไม่พูดถึงปัญหาของดวงตาและพิษเหรอ?
ทำไมถึงพูดประโยคนี้ออกมา?
อย่างไรก็ตาม บุริศร์ก็ตามใจภรรยา เขารีบให้คนไปเตรียมของให้นรมนทานทันที
นรมนพูดอยากรวดเร็วว่า “ฉันอยากทานเนื้อ”
เมื่อเห็นความกระปรี้กระเปร่าของนรมน มุมปากของบุริศร์ก็ยกยิ้ม
“คุณเพิ่งฟื้นตัว ทานเนื้อเยอะไม่ดีนะ”
“แล้วถ้าฉันอยากทานละคะ?”
นรมนหดหู่เล็กน้อย เธอยู่ปาก ท่าทาง สีหน้า และน้ำเสียงนั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าสองคนนี้อวดความรักกันอีกแล้ว
เจตต์กระแอมไอ ก่อนพูด “ในเมื่อนรมนไม่เป็นไรแล้ว ฉันไปหาขวัญตาก่อนนะ”
พูดเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ขวัญตาของเขายังอยู่คงหมดสติ ถ้าผู้หญิงคนนี้รู้ว่าเธอเป็นลมเพราะเขา ไม่รู้ว่าตื่นมาจะเป็นอย่างไร?
เมื่อเจตต์คิดถึงขวัญตา ทั้งหัวใจของเขาก็อบอุ่น
รมิดาและโพนี่ก็อยากกลับบ้าน แต่ตอนนี้พวกเขากลับไปไม่ได้แล้ว
สาเหตุทางร่างกายของนรมนยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด จะให้พวกเธอกลับบ้านอย่างไร?
ผัวเมียคู่นี้ไร้ยางอายจริง
ทั้งสองกระแอมไอ ก่อนจะถอยตัวออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงบุริศร์และนรมน ก่อนที่เขาจะดึงนรมนเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม
นรมนรู้สึกว่าตัวเองต้องการถูกบุริศร์จูบจนหายใจไม่ออก
เธอรู้ว่าบุริศร์กลัวและกังวลมากในครั้งนี้
แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่รู้ว่าทำไมร่างกายถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่เธอก็ยังคงมองโลกในแง่ดี
เป็นนิมิตหมายอันดีที่ตอนนี้เธอยังไม่ตายจากพิษหรือตาบอด
หลังจากดื่มกินจนอิ่มหนำถึงค่อยมาพูดคุยปรึกษากันถึงเรื่องนี้
บุริศร์ยังคงกังวลเมื่อเขาคลายตัวนรมนออก
นรมนมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา ก่อนพูดเสียงอ่อนโยน “ฉันขอโทษ ที่ทำให้คุณกังวล”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณ แค่ศัตรูมันเจ้าเล่ห์เกินไป”
คำพูดของบุริศร์ ทำให้นรมนยิ้ม
“ตุลยา… …”
“ถูกผมคุมตัวเอาไว้แล้ว แต่คุณไม่ต้องไปดูหรอก ไปหาคำตอบจากปากของเธอก็ไม่ได้อะไร ปล่อยคนคนนี้ไว้ไม่ได้แล้ว”
ดวงตาของเขาแข็งกร้าว
ตอนจบของตุลยา นรมนคิดออกนานแล้ว ตอนนี้เธอรนหาที่ตายด้วยการกวนโมโหตัวเอง เป็นเรื่องแปลกที่บุริศร์จะปล่อยเธอไป
“สามีฉัน ฉันหิว ฉันหิวจริงๆ”
นรมนทิ้งเรื่องราวจะเป็นหรือตายของตุลยาไว้เบื้องหลัง ในเมื่อบุริศร์บอกจะไม่ปล่อยเธอไว้ เธอก็ไร้หนทาง ส่วนวิธีแก้ปัญหา นรมนไม่อยากถาม และรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องถาม
สำหรับเธอผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนคนแปลกหน้า
ส่วนคุณตา ค่อยกลับไปบอกให้คุณท่านเขาค่อยๆ ฟื้นตัว
เมื่อเห็นว่านรมนไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ บุริศร์ก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดต่อ ก่อนจะให้ป้าหวานเสริฟ์อาหารแทน
เมื่อนรมนเห็นโต๊ะอาหาร เธอรู้สึกว่าตัวเองหิวจนตาลาย และรีบร้อนไปทาน
“กินช้าๆ ระวังสำลัก”
บุริศร์เห็นท่าทางตะกละของเธอ ไม่เพียงแต่จะไม่รังเกียจ แต่ยังรู้สึกสบายใจ
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานรมนไม่ได้กินอะไรเลย
กานต์รู้ว่านรมนตื่นแล้ว จึงรีบเดินไปหา แต่เมื่อมองจากหน้าประตู เขาเห็นนรมนทานข้าวอยู่เลยไม่เข้าไปรบกวน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั่นของคุณบุริศร์ที่เกือบจะติดอยู่กับบนร่างกายหม่ามี้ เขาเข้าไปรังแต่จะทำให้รำคาญเท่านั้น
เขามองไปยังนรมนและพบว่าเธออารมณ์ดี เขาก็โล่งใจ ก่อนจะกลับไปที่ห้องหนังสือและเล่นคอมพิวเตอร์ต่อ
นรมนอาจจะอาจหิวจริงๆ
เธอกินข้าวหมดไปหลายชาม และยังกินอาหารบนโต๊ะจนหมด กินจนบุริศร์ตาค้าง
“ไม่รู้สึกว่าไม่สบายท้องเหรอ?”
แม้ว่าสองสามวันนี้นรมนจะไม่ได้ทานข้าว แต่ตอนนี้ทานเยอะสักหน่อยก็ไม่เป็นไรไหม?
แต่นรมนกลับโบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังหิวอยู่”
บุริศร์ตกใจกระต่ายตื่นตูม จนไปเรียกโพนี่และรมิดามา
เมื่อรมิดาเห็นท่าทางของนรมน เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มก่อนพูด “คนที่รู้จะคิดว่าเธอป่วยและขาดปริมาณความร้อน แต่คนที่ไม่รู้จะคิดว่าเธอเป็นผู้ลี้ภัยชาวแอฟริกัน”
นรมนมองไปที่เธอ ก่อนพูดเสียงต่ำ “กินได้แล้วมันผิดกฎหมายไหม?”
“ไม่ผิด กินไปเถอะ”
รมิดาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นนรมนดูมีเรี่ยวแรง
เมื่ออาหารมื้อนี้จบลง นรมนก็รีเฟรชความรู้สึกของทุกคน
ผู้หญิงคนนี้ทานมากเกินไป
บุริศร์ให้รมิดาตรวจร่างกายนรมนสักนิด เมื่อพบว่านรมนไม่มีอะไรผิดปกติ เลยค่อยทำให้ผู้คนสบายใจขึ้นมาหน่อย
นรมนไม่ได้เห็นแสงแดดข้างนอกเป็นเวลานาน และหลังจากทานอาหารมามากขนาดนี้แล้ว เธอก็ขอให้บุริศร์พาตัวเองออกไปเดินเล่นข้างนอก
บุริศร์ไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองคนกำลังเดินเล่นอยู่ในสนาม แสงแดดสาดแสงส่องกระทบร่าง
จู่ๆ นรมนก็รู้สึกดีมากที่ยังมีชีวิตอยู่
ตุลยาที่นั่นคือสาระสำคัญของเธอ
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าตุลยาแทบอยากให้ตัวเองตาย แต่นรมนไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะจับคุณท่านตนุวรเป็นเหยื่อล่อ และทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการแปลกประหลาด
ในเวลานั้น เธอรู้สึกเจ็บที่หลังมือ แต่เธอไม่สนใจ เพราะเธอกังวลเกี่ยวกับคุณท่านตนุวรมากเกินไป และก็โกรธตุลยาอย่างมาก ดังนั้นตุลยาจึงใช้ประโยชน์จากช่องว่างเหล่านั้น
ตอนนี้นรมนจำได้หมดทุกอย่าง อดไม่ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนพูด “ระดับของตุลยาสูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ?”
บุริศร์ตอบเสียงต่ำ “ไม่ใช่เพราะระดับของเธอสูงหรอก แต่มีคนสอนอยู่ด้านหลังเธอ”
“กล้าณรงค์?”
นรมนรู้ว่าชาวีมีส่วนเกี่ยวข้องกับกล้าณรงค์ ดังนั้นเรื่องที่กล้าณรงค์ช่วยตุลยากำจัดตัวเองจึงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
บุริศร์ส่ายหัว ก่อนพูด “ไม่ใช่ คือเทย่า เทย่ากับกล้าณรงค์ร่วมมือกัน”
ทันทีที่เขาพูดจบ นรมนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“คุณน้าคนนี้ของฉัน อย่างไรก็ไม่ยอมแพ้สินะ”
เธอรู้ว่าเทย่าอยู่ในเมืองชลธี แต่กลับไม่รู้ว่าเทย่าไม่ยอมรามือจากเธอเลย
สำหรับเทย่าแล้ว นรมนไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ
“จริงสิ พ่อที่อยู่เบื้องหลังของเทย่าคนนั้นค้นหาเจอหรือยังคะ?”
ก่อนหน้านี้นรมนต้องการรู้ถึงเรื่องนี้ เธอไม่เข้าใจมาโดยตลอด คุณยายรักคุณตาอย่างสุดซึ้ง ตอนนั้นถึงแม้คุณตาไม่อยู่ แต่คุณยายอยู่ในลานใหญ่ ระบบรักษาความปลอดภัยก็เข้าที่เข้าทาง ผู้คนจะใช้ช่องโหว่ไหนในการแย่งชิงคุณยายไป?
ฐานะของคนผู้นั้นคืออะไรกันแน่?
จะเข้าพื้นที่ลานใหญ่เขตทหารได้อย่างอิสระได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นรมนก็รู้สึกกลัว
นรมนก็กำลังคิดถึงปัญหานี้อยู่เช่นกัน
เดิมทีเขาวางแผนที่จะใช้เทย่าล่อบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอมา แต่ไม่คิดว่าคนๆ นั้นจะฉลาดแกมโกงเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่เปิดเผยตัวตนของเขา แต่ยังฉกฉวยเทย่าไปด้วย
ตอนนี้เทย่ากลับมายังเมืองชลธีอีกครั้ง นรมนและบุริศร์ต่างก็คิดว่า บางทีเมืองชลธีอาจจะไม่สงบสุข
บุริศร์ดึงนรมนมากอดไว้ในอ้อมแขน ก่อนพูดเสียงต่ำ “ผมจะสืบให้แน่ชัด คนที่ซ่อนตัวเช่นนี้ ต้องมีฐานะที่ไม่อาจจะบอกใครได้แน่นอน”
“บางทีทุกคนอาจจะแปลกใจเมื่อตัวตนของคนๆนั้นเปิดเผย”
นรมนรู้สึกแบบนี้
บุริศร์ก็รู้สึกแบบเดียวกัน
หลังจากที่ทั้งสองเดินไปมาไม่กี่รอบ นรมนก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
เธอหาว ก่อนจะพิงไหล่ของบุริศร์ และพูดว่า “บุริศร์ ฉันอยากนอน”
“ผมจะอุ้มคุณกลับ”
บุริศร์อุ้มนรมนด้วยสองแขนขึ้นมา
เมื่อเขาพานรมนมาถึงห้องนอน เธอก็หลับไปแล้ว
แม้ว่าตอนนี้นรมนดูเหมือนจะสบายดีแล้ว แต่ทั้งบุริศร์และรมิดาต่างก็ไม่สามารถวางใจได้
สารพิษคงไม่หายไปโดยไม่มีเหตุผล แต่ตอนนี้ตรวจด้วยเครื่องมือไม่พบ เป็นเรื่องที่น่าวิตกและปวดหัวจริงๆ
เพื่อความปลอดภัยของนรมน โพนี่และรมิดาต่างก็อยู่ในบ้านตระกูลโตเล็กต่อไปอีก
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปด้วยความสงบนิ่ง ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทย่าหรือกล้าณรงค์ ดูเหมือนจะไม่เพิ่มไม่ลด
ร่างกายของนรมนไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก นอกจากจะกินและก็นอนทุกวัน กินจนทุกคนตกใจ แต่ร่างกายกลับไม่อ้วนขึ้น
โพนี่และรมิดายังคงศึกษาและวิจัยอยู่ กิจจาขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวันเพื่อศึกษาหนังสือโบราณ
อารมณ์กังวลใจของบุริศร์เปลี่ยนไปเป็นสงบ แค่เพียงสามารถเห็นนรมนสบายดีต่อหน้าเขา เขาก็พอใจแล้ว
จนกระทั่งนรมนเริ่มมีอาการอาเจียน ทุกคนก็กลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น? ไม่สบายท้องหรือเปล่า?”
บุริศร์เห็นใบหน้าของนรมนมืดครึ้ม และอดไม่ได้ที่จะให้คนโทรเรียกโพนี่และรมิดามา
รมิดาจนใจแล้ว ตัวเองและโพนี่เกือบจะเป็นหมอประจำตัวของนรมน แต่กลับตรวจไม่เจอพิษอะไรในร่างกายของนรมน
คิดไม่ถึง
ทั้งสองทำการตรวจร่างกายของนรมน ทันใดใบหน้าก็มีอาการยุ่งเหยิง
“เกิดอะไรขึ้น? นรมนเป็นอะไร? ลำไส้มีปัญหาหรือเปล่า?”
บุริศร์ใจเสีย
เขายังคงจำคำพูดของตุลยาได้
เธอบอกว่าพิษแรกทำให้ตาบอด ต่อมาอวัยวะภายในจะล้มเหลว หรือว่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้?
ไม่!
เป็นไปไม่ได้!
บุริศร์จับมือนรมนไว้แน่น
นรมนรู้ว่าทุกคนดูผ่อนคลายมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในความเป็นเหมือนกำลังฝืนดึงเชือก
ตอนนี้ร่างกายของเธอกำลังประสบปัญหาอีกครั้ง เชือกที่ทุกคนฝืนดึง ดูเหมือนจะกำลังจะขาด
กลัวไหม?
นรมนไม่รู้
เธอผ่านอะไรมามาก ถ้าบอกว่าไม่กลัวคงไม่ใช่ แต่ตอนนี้กลับไม่หวั่นต่อสิ่งใด
ถ้าพระเจ้ายืนยันจะพาเธอไป เธอจะทำอย่างไรได้?
ผู้คนสามารถต่อสู้กับโชคชะตา และไม่ยอมรับต่อความพ่ายแพ้ แต่พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับชะตากรรมได้
บางทีเธอ นรมนอาจจะไม่มีชะตากรรมในการดื่มดำมีความสุขอยู่กับสามีและลูกๆ
นรมนยิ้ม เธอหันไปมองโพนี่และรมิดา
โพนี่และรมิดาชำเลืองมองกัน หดหู่เล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าพูดอย่างมั่นใจว่า “ดูเหมือนตอนนี้นรมนจะท้องนะ”
“อะไรนะ?”
บุริศร์และนรมนต่างก็ตกตะลึงในเวลาเดียวกัน
สถานการณ์อะไรกัน? !