บุริศร์รู้สึกพรึบทีเดียวก็เหมือนกับว่าได้จุดไฟติดทั้งตัวขึ้นมาทันที แต่ว่าเขาก็ยังพยายามข่มเอาไว้ ในเมื่อตอนนี้ร่างกายของนรมนก็ยังรับไม่ไหวเท่าไหร่
นรมนสามารถรับรู้ถึงร่างกายที่เกรงขึ้นและสั่นเทาของบุริศร์ได้อย่างชัดเจน แต่ว่ากลับไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวต่อสักที จึงอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปทีหนึ่ง
“บุริศร์?”
บุริศร์ถอนหายใจเบา ๆ และกอดเธอไว้ในอกแน่น แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้ ต้องพักฟื้นอีกไม่กี่วันก่อน”
ใบหน้าของนรมนแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
เธอเกือบจะลืมความอ่อนแอของร่างกายของตัวเองไปซะแล้ว
ทั้งสองคนคลุกคลีกับอยู่บนเตียงอีกพักหนึ่ง อาการของนรมนดีขึ้นกว่าเมื่อวานเยอะมากแล้ว
เธออยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย รมิดาเองก็รู้สึกว่าเอาแต่นอนอยู่บนเตียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และที่สำคัญเธอเองก็คิดถึงลูกของตัวเองแล้ว จึงทำการตรวจร่างกายทั้งตัวให้นรมนครั้งหนึ่งแล้วก็ขอตัวกลับเลย
นรมนอยู่ภายใต้การเดินมาเป็นเพื่อนของบุริศร์มาถึงที่สวนดอกไม้
เพราะสาเหตุที่หลายวันนี้มีหิมะตก ในสวนดอกไม้นอกจากหิมะสีขาวโพลนแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกเลย
บุริศร์กระชับเสื้อของเธอเข้าด้วยกันทีหนึ่ง
นรมนโผล่ใบหน้าเล็ก ๆ ออกมา ยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “ในสมัยโบราณมีฮ่องเต้ที่ปลูกดอกเหมยเพื่อสนมที่รักใคร่ คุณจะปลูกให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้”
บุริศร์ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ฉันหมายถึงปลูกเองกับมือนะ”
“ได้”
ในดวงตาของบุริศร์เต็มไปด้วยความรักใคร่
นรมนสงสัยว่าตอนนี้ถ้าเธอบอกว่าจะเอาดวงดาวบนท้องฟ้า เขาก็คงจะตอบว่าได้แน่
เธอหัวเราะแล้ว หัวเราะได้อย่างอิ่มเอมใจมาก
นรมนพิงอยู่ในอกของบุริศร์ แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ปลูกต้นไม้ไม่รอดหรอก รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแล้วค่อยปลูก งั้นฤดูหนาวปีหน้าพวกเราก็จะได้เห็นดอกเหมยบานแล้ว พอถึงตอนนั้นเราก็มาชมดอกเหมยด้วยกัน”
“ได้”
บุริศร์ตอบตกลงข้อเสนอของภรรยาทุกอย่าง
นรมนรู้สึกว่าความสุขมันอยู่ใกล้ขนาดนี้ จนรู้สึกเหมือนกับว่าเพ้อฝันไปเล็กน้อย
บุริศร์เห็นว่าบนใบหน้าของเธอมีความเหนื่อยล้าขึ้นมาเล็กน้อย ก็ถามเสียงอ่อนขึ้นว่า “ผมอุ้มคุณเข้าไปนอนสักพักไหม?”
“ไม่เอา ฉันชอบที่นี่ ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังมีชีวิตอยู่”
คำพูดนี้ทำให้ใจของบุริศร์รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา
“ตุลยาตายแล้ว”
บุริศร์รู้ นรมนไม่ถาม ไม่ได้แปลว่าในใจไม่มีปัญหานี้อยู่
แล้วก็เป็นเช่นนั้น ร่างกายของนรมนสั่นไปทีหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
สำหรับตุลยา นรมนเคยมีใจคิดที่จะเชื่อมสัมพันธ์ดี ๆ ด้วยมาก่อน แต่น่าเสียดายจิตใจของตุลยานั้นชั่วร้ายเกินไปแล้ว จะพลิกยังไงก็พลิกกลับมาไม่ได้แล้ว
นรมนขดตัวอยู่ในอกของบุริศร์เล็กน้อย แล้วก็พูดขึ้นอย่างโศกเศร้าเล็กน้อยว่า “คนที่ฉันสนิทชิดเชื้อที่สุดก็เหลือแค่ตัวฉันเองแล้ว พ่อแม่และน้องสาวของฉันล้วนจากไปหมดแล้ว ถ้าหากว่าเป็นสมัยโบราณ ผู้หญิงอย่างฉันจะถูกหาว่าเป็นคนดวงกำพร้าหรือเปล่าคะ?”
“พูดไปเรื่อย”
เสียงของคุณท่านตนุวรดังมาจากข้างหลัง ทำให้บุริศร์และนรมนอึ้งไปครู่หนึ่งทันทีเลย
นรมนอยากจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แต่กลับโดนคุณท่านตนุวรห้ามเอาไว้ซะก่อน
“ไม่ต้องลุกขึ้นแล้ว ตอนนี้ร่างกายเธออ่อนแอซะขนาดนี้ ยังสู้ตาแก่อย่างฉันไม่ได้เลย”
“คุณตา”
นรมนรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
คุณท่านตนุวรกลับหัวเราะขึ้นมา
“ยังรู้จักอ้อนอีก แสดงว่าฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย อืม นี่ก็ถือได้ว่าเป็นผลงานของบุริศร์”
ใบหน้าของบุริศร์มีสีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณตา เข้าไปนั่งเถอะ เดี๋ยวผมจะชงชาให้คุณตา”
บุริศร์เคารพนอบน้อมคุณท่านตนุวรเป็นอย่างมาก
“ก็ดีเหมือนกัน”
คุณท่านตนุวรอยู่ภายใต้การพยุงของโตษินแล้วเดินเข้าไปข้างใน ตอนแรกนรมนกะว่าจะเดินเอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าบุริศร์จะช้อนตัวเธออุ้มขึ้นมาโดยตรงแล้วพาเธอเข้าไปข้างใน
เธอรู้สึกว่าบนใบหน้านั้นเป็นสีแดง สายตาของคนทุกคนต่างก็แฝงไว้ด้วยแววขำขัน
นรมนก็เลยแสร้งทำเป็นนกกระจอกเทศแกะอยู่ในอกของบุริศร์ซะเลย
สำหรับความเขินอายของเด็กสาวคนนี้ บุริศร์ดีใจจนหัวเราะออกมา
คุณท่านตนุวรเห็นพวกเขาสามีภรรยารักใคร่กันดี จิตใจที่แกว่งอยู่ถึงได้วางลงสักที
อยู่ภายใต้การส่งสัญญาณของคุณท่านตนุวร โตษินก็ล้วงกล่องอันหนึ่งออกมาแล้วยื่นไป
“คุณตา นี่คือของอะไรคะ?”
นรมนถามขึ้นอย่างรู้สึกสงสัย
“เปิดออกดูซิ”
คุณท่านตนุวรยิ้มอ่อน ๆ ขึ้น
บุริศร์วางนรมนลงบนโซฟา จมูกของเธอหนาวจนเป็นสีแดงเล็กน้อย ดูแล้วน่ารักมาก
นรมนเอากล่องมาเปิดออก แล้วก็อึ้งไปทันทีเลย
มันคือโสมหนึ่งต้น!
แต่ว่าสีหน้าของบุริศร์กลับมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแล้ว
“คุณตา อายุของโสมอันนี้น่าจะเป็นร้อยปีขึ้นไปแล้วมั้ง?”
โสมแบบนี้อยู่ในตลาดคงจะต้องเป็นของที่มีราคาแต่คนซื้อไปไหวแน่
นรมนรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง
กิจจาออกมาในเวลานี้พอดี พอได้ยินบุริศร์พูดว่าเป็นโสมอายุร้อยปีก็เดินเข้ามา
เขาหยิบขึ้นมาดูเล็กน้อย จากนั้นก็ลองดมดู แล้วก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “อันนี้เป็นของดี หม่ามี้กินแล้วสามารถจะเพิ่มเรี่ยวแรงได้ แต่ว่ากินเยอะมากไม่ดี วันหนึ่งกินรากฝอยของโสมเส้นหนึ่งก็พอ”
“อืม ยังมีคนที่รู้จักของคนหนึ่งอยู่ ไหนลองพูดดูซิ โสมอันนี้มีอายุกี่ปี?”
คุณท่านตนุวรเห็นกิจจามีท่าทางที่ชอบมาก ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
กิจจารู้สึกเขินอายเล็กน้อยแล้วพูดอย่างยิ้ม ๆ ขึ้นว่า “โสมอันนี้น่าจะมีอายุราว ๆ สี่ห้าร้อยปีแล้วครับ”
พอคำพูดนี้พูดออกมา นรมนก็อึ้งไปเลยทันที
“โสมที่อายุสี่ห้าร้อยปีเหรอ? คุณตา นี่มันมีมูลค่ามากเกินไปแล้ว หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“พูดคำพูดโง่ ๆ อะไร ของดี ๆ แบบนี้ก็จะต้องเอามากิน ตาแก่อายุมากขนาดนี้อย่างฉัน กินแล้วก็กลัวว่าจะบำรุงไปสูญเปล่า เก็บไว้ก็เก็บไปอย่างนั้น เอามาให้คนตุ๋นให้เธอกิน ถ้าร่างกายของเธอแข็งแรงดีจิตใจของตาถึงจะมีความสุข”
คุณท่านตนุวรพูดไปอย่างหัวเราะแหะ ๆ ดวงตาของนรมนมีความเปียกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณตา”
เธอเป็นเหมือนอย่างกับเด็กคนหนึ่งซุกตัวอยู่ในอกของคุณท่านตนุวร
คุณท่านตนุวรเองก็มีความทอดถอนใจอยู่บ้าง
ลูกหลานของตระกูลเขาไม่ได้เต็มบ้านเต็มเมือง ตอนนี้ก็เหลือแต่แค่นรมนที่อยู่ข้างกายแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็จะต้องรับรองให้นรมนมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
บุริศร์เองก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้างแล้ว
กิจจาเก็บโสมให้เรียบร้อย แล้วดึงชายเสื้อของบุริศร์มาแล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “แด๊ดดี้ โสมอันนี้เป็นของที่ดีมากจริง ๆ แด๊ดดี้ฟังผมนะ อย่าให้หม่ามี้กินเยอะเกินไป”
“ได้ เอาตามที่หนูพูดเลย”
ในตอนที่พูดเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์นั้น ดวงตาของกิจจามีแววเป็นประกาย ดูน่ามองเป็นอย่างมาก
คุณท่านตนุวรเองก็ชอบกิจจามาก แต่ว่ากิจจายังมีความระแวดระวังเล็กน้อย
ตอนที่กานต์ออกมานั้น ก็เห็นว่าคุณท่านตนุวรมาแล้ว จึงทักทายอย่างมีมารยาทขึ้นคำหนึ่ง
“สวัสดีครับคุณตาทวด”
“สวัสดีกานต์ ปิดเทอมแล้วเหรอ?”
คุณท่านตนุวรจ้องมองกานต์ มักจะรู้สึกว่าเด็กคนนี้หนักแน่นเกินไป ไม่เหมือนเด็กเลยสักนิด
กานต์พยักหน้าเล็กน้อย
“อืม ปิดเทอมแล้วครับ ผมจะไปบ้านคุณอาป้องสักหน่อย ผมไม่อยู่เป็นเพื่อนคุณตาทวดแล้วนะครับ”
“ได้”
บุริศร์เรียกคนมาพากานต์ออกไป
พอกิจจาเห็นกานต์ออกไปแล้ว ก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ผมไปรับกมลกลับมานะครับ”
“ได้”
นาวินมาพากิจจาออกไป
ในห้องก็เหลือแค่ผู้ใหญ่ไม่กี่คน บุริศร์เริ่มชงชาให้คุณท่านตนุวร
คุณท่านตนุวรรู้สึกว่าอยู่ที่นี่มีบรรยากาศผู้คนมากยิ่งกว่า
กลิ่นหอมของชาอบอวลไปทั่วห้อง นรมนอยู่เป็นเพื่อนอยู่อีกข้างหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่ว่ากลับทำให้คุณท่านตนุวรรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างมาก
เขาจ้องมองไปข้างนอก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างนอกมีหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้งแล้ว พอนึกถึงบ้านของตัวเองนั้นที่ตอนนี้มีแต่ความเงียบเหงา คุณท่านตนุวรก็ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “จะตรุษจีนแล้ว พวกเธอควรจะไปพักที่บ้านฉันสักหน่อยแล้วใช่ไหม? รอให้ผ่านวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งไปแล้วค่อยกลับมา”
เขาเหงามานานแล้ว
พอตอนนี้มีเวลาว่างลงมา ก็รู้สึกกลัวความเงียบเหงาเป็นอย่างมาก
นรมนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง บุริศร์ก็ไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าจะเอาความคิดเห็นของนรมนเป็นหลัก
“พี่เจตต์จะแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอคะ? คุณตา คงจะไม่ใช่ว่าจะให้พี่เขาแต่งงานไปแล้วก็ยังพักอยู่ที่บ้านคุณตาหรอกนะคะ?”
“มันจะเป็นอะไรไป? ฉันซื้อคฤหาสน์ไว้ที่ชานเมืองทางทิศเหนือหลังหนึ่ง ใหญ่มาก อีกไม่กี่วันทุกคนไปฉลองเทศกาลตรุษจีนกับฉันที่นั่น อย่าว่าแต่สองสามีภรรยาเจตต์เลย ถึงจะเป็นทั้งครอบครัวของคุณป้าใหญ่เธอมาพักอาศัยอยู่ด้วยก็ยังพอเลย”
คำพูดของคุณท่านตนุวรทำให้นรมนและบุริศร์อึ้งไปทันทีเลย
คุณป้าใหญ่เหรอ?
นงลักษณ์!
ชื่อนี้ทำให้นรมนรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย
ตอนนี้ตกลงนงลักษณ์มีเป้าหมายอะไรอยู่ ใครก็ไม่อาจรู้ เธอจะหวังผลจากตระกูลโตเล็กหรือว่าตระกูลพรโสภณอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าตอนนี้รับนงลักษณ์กลับมาจะดีจริงหรือเปล่า?
แต่ว่าพอเห็นคุณท่านตนุวรมีท่าทางที่มีความสุข อยู่ ๆ นรมนก็พูดไม่ออกแล้ว
ลูกสาวทั้งสามคนของเขา ตอนนี้เหลือแต่แค่นงลักษณ์คนเดียวแล้ว
นรมนสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของคุณท่านตนุวรได้ แต่ว่าก็ยังลังเลมากจริง ๆ
บุริศร์เห็นสีหน้าภรรยาตัวเองเต็มไปด้วยความลังเล ก็รีบเปิดปากพูดขึ้นว่า
“คุณตาครับ ทางคุณป้าใหญ่ยังมีเรื่องยุ่งอยู่อีกนิดหน่อย คิดว่าคงจะมาฉลองตรุษจีนด้วยไม่ได้ และอีกอย่างที่ประเทศF คุณป้าใหญ่ก็ได้กลายเป็นบุคคลเสียชีวิตไปนานแล้ว”
“อะไรนะ?”
คุณท่านตนุวรขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที
บุคคลเสียชีวิตเหรอ?
หมายความว่ายังไง?
“พูดกับฉันให้ชัดเจนหน่อย”
สีหน้าของคุณท่านตนุวรเคร่งขรึมลงมา
นรมนรีบพูดขึ้นว่า “คุณตาคะ เรื่องนี้เราพูดไม่ชัดเจน เพราะว่าพวกเราต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่คุณป้าใหญ่ติดต่อหนูมานั้น หนูยังไม่รู้สถานะของเธอเลย แต่ว่าเธออยู่ที่ประเทศFนั้นได้ตายไปแล้วจริง ๆ ค่ะ แม้แต่ลูกชายของเธอก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่”
“นงลักษณ์มีลูกชายด้วยเหรอ?”
คุณท่านตนุวรมีความรู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง
นรมนพยักหน้าเล็กน้อย
สถานะของราเชนนั้นปิดบังไว้ไม่อยู่แล้ว ในเมื่อนงลักษณ์ได้ส่งข่าวมาให้คุณท่านตนุวรแล้ว เรื่องที่ราเชนจะปรากฏตัวออกมานั้นก็เป็นเรื่องในเร็ววันนี้แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ประเทศFจะมีสถานการณ์เป็นยังไงบ้างนั้นก็ไม่มีใครรู้
คุณท่านตนุวรเข้าสู่การครุ่นคิดอย่างหนัก
ชั่วขณะหนึ่งในห้องรับแขกนั้นต่างก็ไม่มีใครพูดคุย บรรยากาศดูอึมครึมเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหน คุณท่านตนุวรถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอนั้น ทั้งวันไม่รู้ว่ากำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่ ช่างเถอะ พวกเธอมีชีวิตของพวกเธอเอง ฉันก็บังคับอะไรไม่ได้ แต่ว่างานแต่งงานของเจตต์นั้นฉันจะจัดการตั้งแต่ต้นจนจบเอง”
นรมนรู้อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาขึ้นมาแล้ว
“คุณตา คุณตาเป็นแค่ตาของพี่เจตต์เท่านั้น พี่เขายังมีพ่อแท้ ๆ อยู่เลยนะคะ คุณตาจะไม่ถามความเห็นของประธานพรรษากับพี่เจตต์หน่อยเลยเหรอคะ?”
“เจ้าเดนมนุษย์อย่างพรรษานั้นยังจะสนใจลูกชายด้วยเหรอ? ถ้าว่าสนใจละก็เจตต์ยังจะมีสภาพอย่างตอนนี้อยู่อีกเหรอ? พ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบแบบนั้นไม่เอาก็ได้ สำหรับทางเจตต์ ฉันจะไปคุยด้วยตัวเอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ให้เกียรติตาแก่อย่างฉัน”
คำพูดของคุณท่านตนุวรทำให้นรมนหัวเราะพรืดขึ้นมาเลย
“คุณตา คุณตานี่โมเมจริง ๆ เลย”
“ใครใช้ให้ฉันอายุเยอะที่สุดล่ะ”
นาน ๆ คุณท่านตนุวรจะล้อเล่นสักครั้งหนึ่ง
บรรยากาศของคนทั้งครอบครัวดูอบอุ่นขึ้นมาทันทีเลย
ที่ข้างนอกมีเสียงกริ่งประตูดังขึ้น แล้วป้าหวานก็ออกไปเปิดประตู ไม่นานก็เอาของขวัญกลับมามากมาย นรมนเห็นแล้วก็ตกใจอยู่เล็กน้อย
“ป้าหวาน นี่ใครส่งมาคะ?”
“ทางตระกูลทวีทรัพย์ธาดาส่งมาค่ะ บอกว่าจะตรุษจีนแล้ว ก็เลยส่งของขวัญปีใหม่มาให้คุณนายและคุณผู้ชายสักหน่อยค่ะ”
ป้าหวานดีใจแล้วก็เอาของขวัญมาวางลงบนพื้น รวม ๆ กันแล้วมีหลายถุงใหญ่เลย
เรื่องที่นรมนเกิดเรื่องขึ้นนั้นบุริศร์ได้ปิดบังทางตระกูลทวีทรัพย์ธาดาไว้ เพราะกลัวนิสัยที่ใจร้องของทางนั้นจะก่อเรื่องอะไรขึ้น แล้วอีกอย่าง ในเมื่อธรรศเป็นคนของกรมทหาร สถานะค่อนข้างละเอียดอ่อน เรื่องบางเรื่องก็จัดการได้ยาก
พอมาวันนี้เห็นตระกูลทวีทรัพย์ธาดาส่งของขวัญปีใหม่มาให้เยอะขนาดนี้ บุริศร์ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง? แกะออกมาดูหน่อยดีกว่า?”
“ก็ได้ค่ะ”
นรมนรู้สึกดีใจขึ้นมา แล้วก็รีบกระโดดลงไปจากโซฟา แล้วก็มาถึงกองของขวัญแล้วก็แกะห่อบรรจุออก แต่กลับโดนของขวัญปีใหม่ที่อยู่ข้างในทำให้ตกใจขึ้นมา