“เกิดอะไรขึ้น?”
เจตต์กอดขวัญตาไว้โดยทันที กลัวว่าขวัญตาจะหล่นลงไป
สีหน้าขวัญตาดูไม่ค่อยดีนัก
“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?”
เธอไม่ค่อยสบายใจ เธอรู้สึกตลอดว่างานวันนี้ไม่น่าจะราบรื่นขนาดนี้ ตั้งแต่ที่พ่อเธอโดนคนจับไปห้องเก็บไวน์ใต้ดินเธอก็เริ่มรู้สึกเช่นนี้แล้ว
คนขับรู้สึกลำบากใจที่จะพูด “คุณชายเจตต์ มีคนมาขวางทางรถครับ”
“ใคร?”
เจตต์ลดกระจกรถลง ก็มองเห็นป้องยืนยิ้มตาหยีอยู่ตรงนั้น ตอนที่เขามองเห็นเจตต์ก็พูดพลางยิ้ม “คุณชายเจตต์ เปลี่ยนรถเถอะ”
เขามองไปทางข้างๆ เห็นป้องขับรถมาอีกคันที่เหมือนกับรถแต่งงานของเขาเป๊ะเลย
เจตต์คิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมพูดกับขวัญตาเบาๆ “พวกเราเปลี่ยนรถกันเถอะ เผื่อไว้ก่อนเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น”
“โอเคค่ะ”
ขวัญตาไม่ได้ปฏิเสธ
ตอนเธอจะลงจากรถแต่ยังไม่ทันได้ลง เจตต์ก็อุ้มเธอขึ้นทันที
“มีคนบอกฉันว่าถ้าเจ้าสาวยังไม่ได้เข้าเรือนหอ เท้าห้ามแตะพื้นเด็ดขาด ฉันจะอุ้มเธอเอง”
หัวใจของขวัญตานั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
“ฉันไม่ได้ถือเรื่องนี้ขนาดนั้นซะหน่อย”
“อย่าเลย วันนี้เป็นวันแต่งงานเราควรทำตามประเพณี”
เจตต์พูดกับขวัญตาขณะอุ้มเธอลงจากรถ
ป้องเปิดประตูรถรอแล้ว พร้อมยิ้ม “วันนี้ผมจะเป็นคนขับรถให้พวกคุณเอง เป็นไง?”
“ลำบากคุณชายป้องซะแล้ว”
เจตต์ยิ้มด้วยความซาบซึ้งขอบคุณ
ป้องพูดกับเจตต์ “แยกจากขบวนรถ พวกเราต้องออกไปเดี่ยวๆ หลังจากนั้นก็จะไปรวมตัวกันอีกทีที่ฝั่งคุณท่านตนุวร”
ขวัญตาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจอะไรๆ ได้ทันที
“ได้ค่ะ”
เธอตอบแทนเจตต์
น่าจะเป็นนรมนและบุริศร์ที่ใช้ความสนิทกันนี้ ถึงขนาดส่งป้องออกมาเลย
พวกเขาสามาหารถที่รถที่เหมือนกันได้หนึ่งคัน แน่นอนว่าคือกลัวจะมีคนมาปล้นรถแต่งงานระหว่างทาง
ป้องพบว่าขวัญตานั้นรู้สถานการณ์เช่นนี้แล้ว อดที่จะยิ้มไม่ได้ “คุณชายเจตต์ ช่างโชคดีจริงๆ นะเนี่ย”
“อื้อ ขอบคุณสำหรับคำชม”
วันนี้เจตต์ยังไม่หยุดยิ้มเลย
เขาดีใจจริงๆ
ป้องคือคนที่เคยผ่านมาก่อน เขาจึงไม่ได้ตลกคุณชายเจตต์ เพียงแต่พูดเตือนด้วยความหวังดี “เย็นวันนี้พวกเราจะมีพิธีปลุกห้องเจ้าสาว ทางที่ดีคุณควรเตรียมใจไว้ให้พร้อมล่ะ”
“จะแกล้งกันจริงๆ เหรอ?”
เจตต์ยังคงคิดว่าบุริศร์แค่พูดเล่น
“ใช่น่ะสิ นี่คุณยังคิดว่าเป็นเรื่องหลอกเล่นอีกเหรอ? ไม่ต้องคิดแล้ว ในชีวิตหนึ่งก็ครั้งเดียวนี่แหละที่สามารถแกล้งกันได้อย่างตามสบาย”
ป้องพูดจบก็ขับรถแยกออกมาเลย
เจตต์กุมมือขวัญตาไว้ตลอดทั้งทาง รู้สึกว่าในใจนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างเกินคาด
เมื่อใกล้ถึงบ้านของคุณท่านตนุวร โทรศัพท์ของป้องก็ดังขึ้น
เขากำลังขับรถ จึงกดเป็นแฮนด์ฟรีแทน
“ฮัลโหล ฉันป้อง”
“คุณชายป้อง เกิดเหตุอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ รถแต่งงานของคุณชายเจตต์ระเบิดแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ขวัญตาก็เหงื่อออกเย็นไปทั้งตัว สีหน้าของเจตต์นั้นก็ดูไม่ค่อยดีนัก
“คนของกล้าณรงค์เหรอ?”
“น่าจะใช่ครับ”
“รู้แล้วๆ อีกห้านาทีพวกเราจะไปถึง เตรียมรวมตัว”
“ครับ”
หลังจากที่ป้องวางสาย ก็ยิ้มแล้วพูด “ไม่เป็นไร พวกเราเตรียมการไว้หมดแล้ว”
สีหน้าของเจตต์ยังคงดูไม่ดีเช่นเดิม
ในชีวิตนี้แต่งงานเพียงแค่ครั้งเดียว เขาหวังอยากให้งานวันนี้เป็นที่น่าจดจำที่สุดสำหรับขวัญตา แต่ตอนนี้ถูกกล้าณรงค์ก่อกวนวุ่นวายไปหมด เขาอยากฆ่าคนซะจริงๆ เลย
“เมื่อถึงตระกูลพรโสภณจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดอีกใช่ไหม?”
“ก็ไม่แน่นะ”
ป้องขับรถไปอย่างรวดเร็ว
ขวัญตารู้ว่าเจตต์นั้นโมโหเล็กน้อย จึงรีบพูด “วันนี้ถือว่าเป็นวันสำคัญของพวกเรา เรื่องอื่นๆ ยกให้นรมนกับบุริศร์จัดการเถอะค่ะ”
“อือ”
สำหรับพวกเขาสองคน เจตต์ยังคงไว้วางใจ
รถนั้นเข้าไปรวมกลุ่มกับขบวนรถอย่างรวดเร็ว
แขกนั้นนั่งอยู่เต็มบ้านตระกูลพรโสภณ คุณท่านตนุวรรออยู่ข้างหน้านั้นกับโตษิน ตอนที่เขามองเห็นรถแต่งงานปรากฏขึ้น ความเป็นห่วงและความกังวลในใจก็เบาลงได้แล้ว
“ดี ดีจริงๆ ”
ใบหน้าของคุณท่านตนุวรปรากฏรอยยิ้มออกมา
โตษินก็พูดด้วยเสียงเบา “เจ้าของบ้าน เข้าไปได้แล้ว ตามประเพณีคุณไม่สามารถออกมารอข้างนอกได้นะ”
“ไปไปไป เข้าไป เข้าไป”
คุณท่านตนุวรเดินกลับเข้าไปด้วยความดีใจ
แขกทุกคนที่มางานกำลังจดจ่อรอดูพิธีงานแต่งงาน
เมื่อถึงเวลานี้ กล้าณรงค์ที่อยู่ประเทศFก็ได้รับสายโทรศัพท์จากลูกน้อง
“พี่กล้าณรงค์ ฉันขอโทษ ภารกิจล้มเหลวแล้ว บุริศร์เจ้าเลห์มาก พวกมันเปลี่ยนรถระหว่างทางทั้งเจตต์และขวัญตาถึงบ้านตระกูลพรโสภณอย่างปลอดภัย”
“แกมันขยะ!”
เสียงของกล้าณรงค์เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ทำให้ปลายสายนั้นตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
เขาขว้างโทรศัพท์ในมือทิ้งไป ทั้งตัวดูมืดหมอง ทุกคนรอบตัวนั้นก้าวถอยออกไปโดยอัตโนมัติเพราะกลัวจะโดนทำร้าย
โสธรมองดูกล้าณรงค์ที่กำลังโกรธ พร้อมก้าวไปข้างหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเช็คดูก่อนสักพัก เห็นว่ายังใช้ได้จึงยื่นส่งคืนให้กล้าณรงค์
กล้าณรงค์มองไปที่อุดม ดวงตาคู่นั้นมีความบังคับกดขี่เล็กน้อย
“ดูเหมือนว่านายจะไม่กลัวที่ฉันโกรธเลยสักนิด”
“ทำไมฉันต้องกลัวนายโกรธด้วย?”
โสธรถามนิ่งๆ ไม่ได้ยินดียินร้าย เหมือนราวกับว่าเป็นหุ่นยนต์
ตั้งแต่ที่กล้าณรงค์ช่วยเขาออกมาจากที่โรงพยาบาล โสธรก็ติดตามเขามา นิสัยก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“มือยังเจ็บอยู่ไหม?”
กล้าณรงค์มองไปที่มือของโสธรโดยอัตโนมัติ
เอ็นที่มือโสธรโดนนรมนตัดขาดไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะถูกช่วยได้ทันเวลา เส้นเอ็นประสานกันแล้ว แต่ก็ยังทิ้งอาการเรื้อรังไว้อยู่ วันไหนที่ฟ้าครึ้มฝนตกอาการเจ็บจะทวีคูณยิ่งขึ้น
มีครั้งหนึ่งที่กล้าณรงค์เห็นโสธรเจ็บจนเป็นลมล้มไป
เขาจึงเตรียมยาแก้ปวดไว้ให้โสธร แต่ดูเหมือนโสธรจะไม่เคยกินมาก่อน เขาบอกว่าเขาต้องการที่จะจดจำความเจ็บปวดนี้ไว้ให้ขึ้นใจว่าใครคือคนที่ให้แผลนี้มา
เวลานั้นกล้าณรงณ์รู้สึกว่าโสธรและตัวเขานั้นเป็นคนเหมือนกัน
โสธรได้ยินกล้าณรงค์ถามเช่นนั้น ก็ส่ายหัว “พอไหว”
“เลิกฝืนได้แล้ว ถ้าเจ็บจริงๆ ก็กินยาแก้ปวดบ้าง กินนิดเดียวไม่ติดเป็นนิสัยหรอก”
“รู้แล้ว”
“โสธรพูดนิ่งๆ จากนั้นก็กำลังจะหนีไป แต่กล้าณรงค์ก็พูดดักไว้ก่อน
“นายใช้เวลาตามนรมนมาก็นานแล้ว รู้หรือยังว่าเธอมีจุดอ่อนอะไร?”
โสธรขมวดคิดเล็กน้อย พร้อมพูดนิ่งๆ “จุดอ่อนของเธอไม่ใช่บุริศร์หรอกเหรอ?”
“บางทีอาจจะมีคนอื่นอีก”
รอยยิ้มของกล้าณรงค์นั้นแฝงไปด้วยความชั่วร้าย
โสธรยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก
“คุณหมายถึงใคร?”
“ไม่ได้หมายถึงใครหรอก นายก็พักต่อไปเถอะ”
กล้าณรงค์โบกมือ เป็นการบอกว่าไม่มีอะไรจะคุยกับโสธรอีกต่อไป
ในใจโสธรนั้นเกิดความสงสัยเล็กน้อย แต่ตอนนี้องค์ชายสามยังอยู่นี่อยู่ เขาไม่สามารถส่งข่าวไปให้ราเชนได้ และยิ่งไม่สามารถปล่อยให้เรื่องความลับของนรมนแพร่งพรายออกไป จะทำยังไงดีนะ?
เขากลับไปที่ห้องอย่างมีเรื่องหนักใจ
จะไม่พูดก็ไม่ได้ กล้าณรงค์ก็ค่อนข้างจะดีกับเขา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ซึ้งใจอะไร
ตอนที่โสธรกำลังคิดว่าจะส่งข่าวของนรมนออกไปยังไงนั้น ระเบียงทางเดินด้านนอกนั้นจู่ๆ เสียงองค์ชายสามก็ดังขึ้นมา
“กล้าณรงค์ แม่ง แกรีบคิดวิธีมาให้ฉันสิ! ไอ้ราเชนนั่นน่ารำคาญฉิบหาย! ฉันอยากจะฆ่ามัน!”
โสธรขมวดคิ้วแน่นอีกรอบ
การปะทะระหว่างราเชนกับองค์ชายสามทศพลตอนนี้สู้กันเข้าขั้นรุนแรงแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทางด้านราเชนนั้นยั่วยุอะไรจนทำให้ทศพลโมโหเช่นนี้
กล้าณรงค์รีบชักมือออกทันที พร้อมยิ้มแล้วพูด “เป็นอะไรอีกแล้วล่ะ? เทียบราเชนกับคุณแล้ว ก็ไม่มีส่วนดีอะไรเทียบได้เลย”
“แกไม่ต้องพูดแล้ว แกรู้ไหม? ไอ้เลวราเชนนั่น นึกไม่ถึงว่ามันจะไปบอกเสด็จพ่อว่าจะสู่ขอลูกสาวของเสนาบดี แกก็รู้ว่าเสนาบดีมีอิทธิพลมากขนาดไหนในประเทศของเรา ถ้าเกิดว่าเสด็จพ่อตอบตกลงจริงๆ ถึงเวลานั้นไอ้ราเชนคงได้รับความช่วยเหลือจากเสนาบดีแน่ๆ พวกเราก็จะซวยแน่ แม่ง ถ้ารู้เร็วกว่านี้ฉันคงไม่รีบแต่งงานหรอก”
ทศพลยิ่งคิดยิ่งโกรธ
ไอ้ราเชนนี้ไม่ใช่ว่าชอบผู้ชายหรอกเหรอ?
ทำไมถึงไปสู่ขอลูกสาวของเสนาบดี
เมื่อคิดได้ดังนี้ ทศพลก็ได้ยินกล้าณรงค์หัวเราะพร้อมกับพูด “ข่าวอื้อฉาวที่ราเชนชอบผู้ชายยังไม่ได้ถูกแพร่งพรายออกไป หาคนให้นำข่าวฉาวระหว่างราเชนกับซินดี้ออกไปเผยแพร่ซะ ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงเสนาบดีหรอก แม้แต่พระราชาก็คงไม่ยอมรับเรื่องการแต่งงานนี้”
“จริงด้วยสิ ทำไมฉันคิดไม่ถึงเลยนะ หรือว่าคุณฉลาด”
ทศพลตบกล้าณรง์เบาๆ จากนั้นก็ยิ้มกริ่มเดินจากไป
กล้าณรงค์เห็นเขาเดินออกไปแล้วจึงก้มหน้า
โง่!
คงจะดีมากถ้าหากให้เขาและราเชนต่อสู้กันจนพังไปทั้งคู่
เขายิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
หลังจากที่โสธรรู้เรื่องของพวกเขา ก็รีบออกมาจากประตูไป จากนั้นก็ใช้วิธีที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับราเชนประจำเพื่อส่งข่าวสารให้ราเชนรู้
ตอนที่ราเชนได้รับรู้ข่าวเขาก็โกรธจนแทบบ้า
พวกคนกลุ่มนี้ต่อให้ต้องฆ่าคนก็ยอมใช่ไหม?
ซินดี้ถูกใครฆ่ากันแน่?
พวกนี้มันคิดกันไม่ได้บ้างเหรอ?
โสธรยังส่งข่าวอื่นๆ มาให้เขาอีก ดูแล้วน่าจะเกี่ยวกับเรื่องของนรมน
ราเชนคิ้วขมวดแน่น พร้อมกดโทรศัพท์โทรหานรมนโดยอัตโนมัติ
ทางด้านนรมนนั้นก็กำลังเข้าร่วมงานพิธีแต่งงานของเจตต์อยู่ เมื่ออยู่ที่บ้านของคุณท่านตนุวรแล้ว กล้าณรงค์คงคิดที่จะทำอะไรไม่ได้แล้ว
ขณะที่เธอกำลังดูพิธีกรถามเจตต์และขวัญตาเกี่ยวกับเส้นทางเรื่องราวความรักอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
พอมองดูก็เห็นว่าเป็นราเชนที่โทรมา
นรมนชะงักไปนิดหน่อย จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์เดินไปที่ห้องประชุมใหญ่
“พี่ เป็นอะไรไป?”
นรมนยังคงพูดด้วยอารมณ์มีความสุขกับงานแต่งอยู่
ราเชนพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาเล็กน้อย “วันนี้เจตต์แต่งงาน?”
“ก็ใช่น่ะสิ น่าเสียดายที่พี่มาไม่ได้”
คำพูดนรมนนั้นแทงใจเล็กน้อย
“น่าจะมีโอกาสนะ”
ราเชนพูดไปยิ้มไป
ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กับนรมน เป็นเวลาที่เขารู้สึกผ่อนคลายที่สุด ถึงอย่างไรในใจเขา นรมนก็คือญาติพี่น้องคนเดียวบนโลกนี้ของเขา
ถึงแม้นรมนจะบอกเขาว่าพ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะออกตามหา เพราะกลัวจะไปรบกวนแผนการชีวิตของพ่อกับแม่
หรือจะพูดได้ว่า คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขายังมีครอบครัวก็มีเพียงนรมนเท่านั้น
นรมนฟังออกว่าน้ำเสียงของราเชนนั้นดูผ่อนคลาย จึงยิ้มถาม “ที่พี่โทรมาหาฉันคงไม่ใช่เพื่อจะคุยกับฉันเพียงไม่กี่คำหรอกใช่ไหม?”
“อือ จะว่าใช่ก็ใช่ คนของบ้านเธอนั้นเพิ่งส่งข่าวมาให้ฉัน บอกว่ากล้าณรงค์จะลงมือกับคนใกล้ตัวเธอ ให้เธอระวังไว้ด้วย ตอนนี้ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าเพิ่งให้ลูกๆ ออกไปข้างนอก น่าจะหมายความว่าเช่นนี้แหละ ยังไงก็น่าจะไม่ผิดคาดมาก”
คำพูดของราเชนทำให้ใจของนรมนเหมือนถูกตอกย้ำขึ้นมา
“กล้าณรงค์จะลงมือกับลูกของฉันเหรอ?”
“อาจจะเป็นไปได้ ตอนนี้มันบ้าไปแล้ว แล้วมันก็จ้องเธออยู่ตลอดนะ ฉันก็ไม่ค่อยสบายใจ ทำไมเขาถึงโกรธแค้นเธอขนาดนั้นล่ะ? หรือเป็นเพราะแพรวา แต่ถึงกับไม่ต้องการตำแหน่งในประเทศFแล้ว? เป็นศัตรูกับเธอนี่เป็นการเลือกที่ไม่ฉลาดเลย ทั้งยังจะดึงดันอีก ทำให้ฉันคิดว่าเรื่องราวมันไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น บางทีตระกูลโตเล็กกับตัวเธอนั้นอาจจะยังมีอะไรที่เขาต้องการอีกก็ได้”
คำพูดของราเชนทำให้นรมนรู้สึกขำเล็กน้อย
“พี่ ฉันไม่ใช่คนที่น่าดึงดูดอะไร พี่อย่าคิดเรื่องอะไรที่มันซับซ้อนวุ่นวายขนาดนั้นโอเคไหม?”
“ซับซ้อนหน่อยก็ดี คิดเยอะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ หลังจากนี้ก็ระวังไว้หน่อยละกัน ฉันจะวางสายแล้ว”
พูดจบราเชนก็ตัดสายไป
นรมนคิดตามคำพูดของราเชน ในใจก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
ลูกเหรอ?
กานต์อยู่ที่โรงพยาบาลทหาร กมลอยู่ที่บ้านของคริชณะ มีเพียงกิจจาที่อยู่กับพวกเขา
หรือว่าเป้าหมายต่อไปของกล้าณรงค์คือกิจจา?
ทันใดนั้นนรมนเหงื่อออกเย็นไปทั้งตัว แล้วก็คิดได้ทันทีว่าเหมือนกับเธอจะไม่เห็นกิจจามาสักพักแล้ว