“หม่ามี๊ หม่ามี๊จะไม่โทรหาแด๊ดดี้เหรอครับ?”
กิจจาจับชายแขนเสื้อของนรมนเอาไว้ ร่องรอยของความวิตกกังวลเล็กน้อยได้ข้ามผ่านเข้ามาภายในดวงตาของเขา
นรมนลังเลอยู่พักหนึ่ง
เธอรู้ว่ากิจจาเป็นห่วงตัวเอง สถานการณ์เช่นนี้ก็ผิดปกติอยู่บ้างจริงๆ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่ง ขบวนของผู้สละชีพทิวายังดำเนินอยู่ข้างหน้า และทหารทั้งหมดก็กำลังเดินตามขบวนไป ถ้าหากบุริศร์ถูกเรียกกลับมาเพราะเรื่องนี้ของเธอ ตามหลักเหตุผลแล้วมันช่างไม่เหมาะสมจริงๆ
นรมนรู้สึกสับสนครู่หนึ่ง จากนั้นก็กอดกิจจาเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่จะปิดประตูรถ
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรหาบริษัทลากรถ แล้วตัวเองก็อุ้มกิจจาเดินอยู่ข้างหลังขบวน
กิจจามองไปที่นรมนซึ่งตอนนี้รอบคอบและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเมื่อก่อนมาก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกสองครั้ง และพบว่าหม่ามี๊ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
แม้ว่านรมนจะไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่รถเสียนั้นตกลงว่าเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ แต่หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติแล้ว เพราะว่านรมนกับกิจจาไม่ใช่ทหารเลยไม่มีสิทธิ์เข้าไปข้างใน จึงทำได้เพียงยืนรออยู่ข้างนอกเท่านั้น
สำหรับพวกเขาแล้ว การยืนรอกานต์กับบุริศร์อยู่ตรงนี้ก็เป็นการอยู่เป็นเพื่อนอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เมื่อพิธีไว้อาลัยด้านในเริ่มต้นขึ้น เพลงไว้อาลัยที่ดังขึ้นมาเป็นระยะก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอัดอั้นตันใจด้วยความเป็นทุกข์ และพอหิมะบนท้องฟ้าได้โปรยปรายลงมา ก็ยิ่งเสริมให้ความรู้สึกที่เศร้าโศกอาดูรนั้นเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
ในขณะที่นรมนกำลังมองดูแม่ของทิวาร้องไห้จนเป็นลมไปสองสามครั้งอยู่ด้านนอก หัวใจก็เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
แล้วกิจจาก็ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่า “หม่ามี๊ แด๊ดดี้ของพี่ทิวาล่ะครับ?”
นรมนจึงพูดกระซิบว่า “พ่อของเธออยู่ในเงื้อมมือของผู้ก่อการร้าย ยังไม่กลับมา เขาไม่ได้เห็นแม้แต่ใบหน้าสุดท้ายของลูกสาวตัวเองด้วยซ้ำ”
นี่คือความจำใจของคนที่เป็นทหาร และก็เป็นความยิ่งใหญ่ของพวกเขา
นรมนแลกเปลี่ยนบทบาทด้วยการลองสมมุติว่าตัวเองเข้าไปอยู่ ณ จุดๆ นั้น และคิดถึงว่าถ้าคนที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนี้คือกานต์ เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง?
พอคิดถึงตรงนี้ นรมนก็อดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา
คิดไม่ได้นะ!
เธอถึงกับรู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว
เธอไม่มีจิตสำนึกมากขนาดนั้น จึงทนไม่ได้ที่จะส่งลูกชายไปที่สนามรบ แต่ถ้ากานต์ยืนกรานที่จะไปเองล่ะ?
นรมนรู้ดีว่า ตัวเองมาสามารถบังคับลูกชายได้ แต่ทว่าอาชีพนี้……
จากนั้นเธอก็ส่ายหน้าไปมาทันที เพื่อไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องพวกนี้ชั่วคราว
ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง “ปัง” ดังขึ้นมา และพื้นดินทั้งหมดก็ดูเหมือนจะแกว่งไปมาเล็กน้อย กิจจาทรงตัวไม่อยู่ จึงตั้งใจจับนรมนเอาไว้
ในขณะที่นรมนกำลังประคองเขาอยู่ ตัวเองก็โซเซไปมาเช่นกัน แล้วถือโอกาสมองไปยังสถานที่ที่เกิดระเบิด ซึ่งนั่นคือรถที่จอดเพราะเสียของตัวเองนั่นเอง!
กิจจากับนรมนหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมา
ถ้าหากเมื่อสักครู่นี้นรมนลงรถไปดูสาเหตุที่รถเสียด้วยตัวเอง คาดว่าตอนนี้นรมนคงจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
การที่ได้รู้เช่นนี้ทำให้นรมเกิดความรู้สึกใจหายในภายหลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กิจจาจับมือของเธอเอาไว้โดยตรง แล้วเหงื่อก็ออกเต็มฝ่ามือ
พอบุริศร์และคนอื่นๆ ได้ยินเสียงระเบิดจึงวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเขาเห็นว่ารถที่เกิดระเบิดคือรถของบ้านตัวเอง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ขาวซีดเล็กน้อย
ดวงตาของกานต์ก็แน่นขนัดขึ้นทันใด
“หม่ามี๊”
เขายกเท้าขึ้นวิ่งไป พร้อมด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
นรมนเห็นกานต์ออกมา ขณะที่กำลังมองดูสีหน้าของเขาอยู่ ก็รู้ว่าเขาถูกทำให้ตกใจจะแย่อยู่แล้ว จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและคว้าแขนของกานต์เอาไว้
“กานต์ แม่อยู่ตรงนี้ กิจจาก็อยู่ตรงนี้ เราไม่ได้อยู่บนรถหรอกนะ”
เสียงของนรมนช่วยดึงสายตาของกานต์ให้กลับมาแล้ว
การตายของทิวาเมื่อสักครู่นี้ยังอยู่ในหัวสมองอยู่เลย ตอนนี้รถหม่ามี๊ก็เกิดระเบิดขึ้นอีกแล้ว กานต์ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อย เมื่อเห็นนรมนเขาก็โผลเข้าไปในอ้อมกอดของเธอในทันที แล้วร่างกายของเขาก็สั่นเทาไปทั้งตัว
พอบุริศร์ได้ยินเสียงของนรมนก็เหลือบมองมาทางด้านนี้ในทันที เมื่อพบว่านรมนกับกิจจาปลอดภัยไร้กังวลแล้วเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขาวิ่งมา แล้วถามเสียงเบาๆ
นรมนจึงเล่าเรื่องให้เขาฟังอย่างง่ายๆ สั้นๆ สักพักหนึ่ง และเริ่มมีคนมาช่วยดับเพลิงแล้ว
พอบุริศร์ได้รู้ว่าเป็นคำเตือนของกิจจา เขาก็อดไม่ได้ที่จะลูบผมของเขาไปมา แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ขอบคุณมากเลยนะ กิจจา”
กิจจาส่ายหน้าไปมา เห็นได้ชัดว่าเขาถูกขู่ขวัญให้กลัวเป็นอย่างมาก
นึกไม่ถึงเลยว่ารถของนรมนจะระเบิดไปเสียแล้ว หลังจากที่บุริศร์แน่ใจแล้วว่าพวกเขาปลอดภัยไม่มีปัญหาใดใด เขาก็เลยเข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินการดับเพลิงทันที
กานต์สงบจิตสงบใจลงมาอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้แสงที่หนักแน่นและทรหดซึ่งคนอื่นมองไม่เข้าใจกำลังเปล่งประกายอยู่ภายในดวงตาหงส์ที่สวยงามคู่นั้น
ผู้ก่อการร้ายก็น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
มาระรานคนจีนอย่างฉัน แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องแก้แค้นให้ได้!
แต่ไหนแต่ไรมากานต์ไม่ได้รู้สึกถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของการเป็นทหารที่แรงกล้ามากขนาดนี้ดั่งเช่นในเวลานี้มาก่อนเลย
เขาต้องเอาชนะอาการสองบุคลิกของเขา! เขาต้องขยันฝึกซ้อม! และเขาจะต้องเข้าร่วมกองทัพต่อไป!
ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีความสามารถในการปกป้องครอบครัวของเขาเลย
ไม่ว่านรมนก็ดี หรือบุริศร์ก็ดี ด้วยฐานะและภูมิหลังของพวกเขาได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าชีวิตของพวกเขาล้วนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาได้ และชีวิตของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยแผนร้ายและวิกฤตการณ์
เขาเป็นลูกชายของพวกเขา และยังมีกิจจากับกมลอีก เขาจะต้องมีอำนาจจึงจะสามารถปกป้องพวกเขาได้
ในตอนแรกที่อยู่แอฟริกาใต้ ที่เขาฆ่าไม่ใช่คน แต่เป็นผู้ก่อการร้ายที่ชั่วร้ายต่างหาก เขาเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม แม้ว่ามือของเขาจะเปื้อนเลือด แต่เขาก็ทำเพื่อปกป้องญาติพี่น้องและประเทศชาติ!
ทันใดนั้นอุปสรรคที่กีดขวางอยู่ภายในหัวใจของกานต์ก็คลี่คลายออกไปแล้ว
เขาเหลือบมองดวงตาที่เป็นกังวลของนรมนและพูดด้วยเสียงต่ำๆ แต่ก็หนักแน่นขึ้นมาว่า “หม่ามี๊ ผมจะไปช่วยเอง”
พูดจบกานต์ก็กระโจมเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
“โอ้!”
นรมนอยากจะดึงกานต์เอาไว้แต่กลับไม่สามารถทำได้ดั่งความปรารถนา
ในเวลานี้เธอก็รู้สึกได้อย่างรำไรๆ แล้วว่าเส้นทางการเป็นทหารของลูกชายดูเหมือนว่าจะยิ่งแน่วแน่มั่นคงยิ่งกว่าเดิมแล้ว
เธอไม่ยินยอม แต่กลับไม่สามารถบังคับกานต์ได้ ภายในใจของเธอจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง
กิจจาไม่ปล่อยมือของนรมนเลย ถึงแม้ว่าจะมีการจัดตั้งหน่วยทหารให้เคลื่อนกำลังออกไปปฏิบัติการแล้วก็ตาม และแม้ว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบจะดูปลอดภัยมาก แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยนรมน ตรงกันข้ามเขากลับยิ่งจับแน่นขึ้นกว่าเดิม
บริเวณโดยรอบสับสนอลหม่านเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริเวณใกล้เคียงสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติค่อนข้างเงียบ และไม่มีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย นี่จึงเป็นเรื่องเดียวที่ต้องชื่นชมยินดี
เพลิงไหม้ถูกดับลงไปอย่างรวดเร็ว แต่รถถูกแจ้งเป็นของชำรุดแล้ว
นักกู้ระเบิดที่อยู่ในหน่วยได้ทำการตรวจสอบหนึ่งครั้ง แล้วพูดกับบุริศร์ว่า “หัวหน้า มันเป็นระเบิดเวลาครับ รถคันนี้ถูกคนดัดแปลงไปแล้วครับ”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของบุริศน์อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแย่เลยทีเดียว อากาศรอบๆ ก็ดูเหมือนจะตกลงมาที่จุดเยือกแข็งอย่างกะทันหันเช่นกัน
คริชณะอยู่ข้างหลังบุริศร์พอดี ตอนที่ได้ยินคำพูดนี้เขาก็ชะงักงันสักพัก แล้วถามว่า “มันพุ่งเป้าไปหาคุนหรือภรรยาของคุณหรือครับ?”
“ไม่รู้สิ อาจจะทั้งคู่”
เสียงของบุริศร์ไม่ใช่ไม่ดัง และเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึมครึมและเยือกเย็น
คริชณะขมวดคิ้วเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะซับซ้อนกว่าที่เขาคิด
“คุณพาพวกเขากลับบ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะจัดการเอง”
แต่บุริศร์กลับส่ายหน้า และพูดว่า “ผมจะอยู่ที่นี่ คุณสั่งคนให้ส่งพวกเขาไปหาคุณตาของผมก็แล้วกัน”
“ได้”
คริชณะไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็เป็นรถของตระกูลโตเล็ก จะต้องเหลือใครสักคนเอาไว้ที่นี่ก่อน
เขาเดินมาอยู่ข้างหน้านรมน และพูดคุยเกี่ยวกับการตัดสินใจของบุริศร์ให้เธอฟังสักพักหนึ่ง นรมนไม่ได้คัดค้านอะไร
เธอเหลือบมองบุริศร์ แล้วพูดเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ช่วยดูแลเขาให้ดีดีด้วยนะคะ”
“ผมทำได้”
คริชณะพยักหน้า
นรมนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวขึ้นไปบนรถพร้อมกับกิจจา
กานต์เรียกพวกเขาขึ้นไปบนรถ แล้วจึงพูดเบาๆ ว่า “หม่ามี๊ ผมจะอยู่ที่นี่! พิธีไว้อาลัยของทิวายังไม่เสร็จสิ้นเลย ผมเป็นหัวหน้าทีม ผมจึงไม่สามารถจากไปในเวลานี้ได้”
ดวงตาของเขาแน่วแน่จนถึงขึ้นทำให้คำพูดทุกคำที่นรมนต้องการจะพูดออกมาติดอยู่ในลำคอของเธอไปหมดแล้ว
กานต์โค้งคำนับให้นรมนหนึ่งครั้งแล้วหันหลังวิ่งไปทางด้านนั้น
ฝีเท้าของเขามั่นคง ทำให้เบ้าตาของนรมนแดงก่ำขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
กิจจาคิดว่านรมนรู้สึกเป็นกังวล จึงรีบพูดออกไปว่า “หม่ามี๊ หม่ามี๊วางใจเถอะ แด๊ดดี้ก็อยู่ด้วย กานต์ไม่เป็นอะไรหรอก”
ในขณะที่นรมนกำลังมองกิจจา เธอไม่รู้ว่าจะบอกกับเขาอย่างไรเกี่ยวกับจิตใจที่สับสนวุ่นวายของเธอในตอนนี้
ทั้งสองคนถูกเจ้าหน้าที่ของคริชณะส่งตัวกลับไปที่บ้านคุณท่านตนุวร คุณท่านตนุวรก็ได้รับทราบข่าวนี้แล้วเช่นกัน เมื่อได้เห็นว่านรมนปลอดภัยกลับมา เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งใจแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น? ยังโอเคอยู่ไหม? แล้วกานต์ล่ะ?กมลล่ะ?”
กมลอยู่กับธรรศ นรมนจึงไม่กังวลสักเท่าไหร่
ขวัญตาตบไหล่ของเธอแล้วพูดว่า “อยากไปช่วยเจตต์ทำงานหรือเปล่า?”
“ไม่ล่ะ บุริศร์สามารถจัดการได้อยู่แล้ว ฉันแค่รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยน่ะ”
นรมนฝืนยิ้ม หลังจากนั้นก็ไปที่ห้องของตัวเอง
กิจจาถูกคุณท่านตนุวรเรียกไปแล้ว ไม่รู้ว่าสองคนปู่หลานกำลังพูดอะไรกันอยู่ แต่ทว่าอารมณ์ของคุณท่านตนุวรกลับดีมากๆ
นรมนเปิดโทรศัพท์ขึ้น อยากจะโทรถามบุริศร์ดูว่าเป็นอย่างบ้าง แต่สุดท้ายก็วางโทรศัพท์ลง
เป็นใครกันนะ?
ใครสามารถเข้าใกล้พวกเธอแล้วติดตั้งระเบิดเวลาในรถได้โดยที่พวกเธอไม่รู้ตัว?
คนรับใช้ในบ้านก็ลาพักร้อนไปแล้ว หรือว่าจะติดตั้งก่อนหน้านี้?
เป็นคนของกล้าณรงค์เหรอ?
ไม่ใช่บอกว่าจะลงมือในปีใหม่เหรอ? ทำไมมันถึงได้เร็วกว่ากำหนดล่ะ?
มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของนรมนอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เธอคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
ทันใดนั้นนรมนก็คิดถึงกล้องวงจรปิดที่อยู่ในบ้านขึ้นมา
ในกล้องวงจรปิดจะมีภาพนี้หรือเปล่านะ?
พอคิดถึงตรงนี้ นรมนก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเดินไปถึงประตูก็ต้องหยุดชะงัก
ถ้าเธอคิดถึงปัญหานี้ได้ อีกฝ่ายจะไม่คิดถึงได้อย่างไร?
ในตอนนี้เธอก็เลยรีบกลับไปที่บ้านใหญ่ตระกุลโตเล็กอย่างร้อนรนเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครบางคนกำลังดักรอเธออยู่ก็ได้
หากเกิดเรื่องอะไรกับเธออีกแม้แต่นิดเดียว บุริศร์ กานต์กับพวกเด็กๆ จะทำยังไง?
เป็นไปได้ว่า ถ้าเธอกลายเป็นเป้าหมายในการคุกคามของพวกเขา เช่นนั้นมันจะยิ่งได้ไม่คุ้มเสียมากกว่านะ
พอคิดถึงตรงนี้ นรมนก็หยุดฝีเท้าลง
จะทำอย่างไรดี?
เธอสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้น
นรมนเหลือบมองดู คือสายที่กานต์โทรเข้ามา
หัวใจของเธอกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบรับสายอย่างรวดเร็ว
“กานต์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
นรมนไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงของตัวเองกำลังสั่นเครือไปหมดแล้ว
กานต์จึงรีบพูดว่า “เปล่าครับ หม่ามี๊ หม่ามี๊อย่าได้คิดฟุ้งซ่านไปเลย เมื่อกี้คุณบุริศร์บอกผมว่า รถถูกดัดแปลงแล้ว กล้องวงจรปิดภายในบ้านจะต้องมีหลักฐานอย่างแน่นอน ผมได้ตัดเข้าไปในระบบของกล้องวงจรปิดภายในบ้าน พบว่ามีวิดีโอในกล้องวงจรปิดเมื่อเวลาบ่ายโมงของวันก่อนถูกตัดออกหนึ่งชั่วโมงครับ”
ความคิดของบุริศร์กับนรมนได้รวมอยู่ด้วยกันแล้ว
ตอนนี้พอได้ยินกานต์พูดอย่างนี้แล้ว นรมนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
“พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าไม่มีเบาะแสอะไรเลยเหรอ?”
แต่กานต์กลับพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “ไม่เลยครับ มีผมอยู่ แม้ว่าวิดีโอจะถูกลบไปแล้ว ผมก็สามารถกู้กลับมาได้ เพียงแต่หลังจากที่วิดีโอช่วงนี้ได้กู้กลับคืนมาแล้ว ผมก็ไม่มั่นใจอยู่นิดหน่อย แต่ผมจะให้หม่ามี๊ดูสักหน่อยนะครับ ส่วนจะทำยังไงต่อไป ก็แล้วแต่หม่ามี๊จะตัดสินใจเลยครับ”
พูดจบ กานต์ก็ส่งคลิปวิดีโอที่ถูกลบไปให้นรมนดูโดยตรง
นรมนรีบเปิดดูอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ดูเนื้อหาในวิดีโอเท่านั้นก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาแล้ว
ทำไมถึงเป็นเขาได้ล่ะ?
ผิดพลาดอะไรหรือเปล่า?