อ้อมกอดของกานต์แน่นมาก แน่นจนกิจจาหายใจไม่ค่อยออก
เขาก้มมองกานต์ในอ้อมแขน ความเยือกเย็นและความเย็นชาในแววตาค่อย ๆ หายไป ราวกับร่างกายที่ถูกโยนลงไปในถังน้ำแข็งอันเหน็บหนาวอบอุ่นขึ้นมาทีละนิด
จริงด้วย
เขายังมีพวกเขาอยู่
คนเหล่านี้คือญาติของเขา เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด
และมีเพียงพวกเขาถึงจะปฏิบัติต่อตนเองอย่างจริงใจ ไม่มีการคิดร้าย ไม่มีการเลือกใช้ประโยชน์
กิจจาน้ำตาไหลอีกครั้ง
เขากอดกานต์กลับไป ซุกใบหน้าที่ระหว่างคอของเขา พูดสะอึกสะอื้น: “กานต์ โชคดียังมีพวกนาย ไม่อย่างนั้น……”
ไม่อย่างนั้นเขาไม่รู้ว่าอะไรคือความหมายของการมีชีวิตบนโลกใบนี้
กิจจาไม่ได้พูดออกมา แต่กลับสาบานในใจ ครอบครัวนี้ ทุกคนในครอบครัวนี้เป็นทั้งชีวิตของเขา คนที่จะต้องปกป้องแม้จะต้องสละชีวิตก็ตาม
นี่คือความหมายและคุณค่าของการมีชีวิตของเขา!
หลังจากความเย็นชาสุดท้ายในแววตาค่อยๆ หายไป เขาปล่อยกานต์ออกและหัวเราะ: “พวกเราสองคนเป็นสาวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”
กานต์ฟังออกว่าเขาล้อเล่น จึงกางกำปั้นออกไปชกเขาหนึ่งหมัด
“นายสิเป็นสาว เมื่อกี้ใครไม่รู้ร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
กิจจาเช็ดน้ำตาทันที พูดอย่างดื้อรั้น: “มีอะไรเข้าตานายหรือเปล่า?กลางวันแบบนี้ยังมองผิด”
“กิจจา นายมียางอายไหมเนี่ย?ร้องไห้เองยังบอกว่าฉันตาฝาด?ไม่ยอมรับแถมยังเล่นงานฝ่ายตรงข้ามนี้ใครสอนกัน?”
“ไม่ได้เรียนรู้มาจากนายเหรอ?ฉันไม่ได้เรียนรู้ทุกอย่างมาจากนายหรือไง?นายคือเฮียกานต์”
คำพูดอย่างผ่อนคลายของกิจจา ทำเอากานต์อึ้งไปทันที
คิดไม่ถึงว่าจะเขาพูดไม่ออก!
กิจจากลายเป็นคนนิสัยเสียตั้งแต่เมื่อไหร่?
กานต์จมูกย่น มองเห็นกิจจามาตรงหน้าคอมพิวเตอร์ของเขาตรวจดูตำแหน่งของมิลิน กานต์พูดอย่างสงสาร: “เรื่องนั้น ส่งมาให้ฉันเถอะ หรือจะบอกแด๊ดดี้กับหม่ามี้ก็ได้ ฉันได้ยินมาว่านงลักษณ์ไหว้วานให้หม่ามี้ตามหาเบาะแสของมิลิน ในเมื่อนายคือลูกศิษย์ของหล่อน บางเรื่องก็ไม่ควรออกหน้า”
“ไม่มีอะไรไม่ควรออกหน้า นายพูดเองไม่ใช่เหรอ?นงลักษณ์ไหว้วานหม่ามี้ตามหาหล่อน ฉันออกหน้าก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”
กิจจาพูดอย่างเรียบเฉย แววตาไร้ความรู้สึก
เขาคือเฮียของรุ่นนี้ในบ้าน เขาแบกรับหน้าที่ดูแลครอบครัวและพี่น้อง ไม่ว่าคนนั้นเป็นใคร คิดจะทำร้ายคนในครอบครัวของเขาเหรอ ไม่มีทาง!
กิจจาเลือกที่จะตรงไปตรงมาเหมือนเช่นเคย
เขาจะทำให้ดีที่สุดกับความรู้สึกที่คุ้มค่าต่อการทุ่มเท ส่วนที่ไม่คุ้มค่า……
หัวใจของกิจจาเจ็บปวด แต่ยังคงยืนหยัดเช่นเคย
ส่วนที่ไม่คุ้มค่า งั้นต้องดูว่าใครใช้ประโยชน์จากใคร ใครมีหัวใจที่โหดเหี้ยมกว่ากัน
ท้ายที่สุดก็เป็นแค่เด็ก หลังจากตัดสินใจแบบนี้ กิจจาเหลือบมองกานต์อย่างอ่อนแอ
“นี่คือที่ไหน?”
“สุสานพรสรรพ์์ แต่เดาว่าพวกเรารีบไปก็คงเปล่าประโยชน์ หล่อนไม่มีทางอยู่ที่เดิมรอพวกเราไปหรอก”
คำพูดของกานต์ทำให้กิจจานิ่งไป
“เธออยู่ในเมืองชลธี?”
“ตอนนี้ดูจะเป็นแบบนั้น”
นัยน์ตาของกิจจามืดมนทันที
“เป็นอะไรไป?”
กานต์ปิดคอมพิวเตอร์ มองเห็นนัยน์ตาของกิจจาจึงเอ่ยถามอย่างกังวล
กิจจาสูดลมหายใจเข้าลึก: “นงลักษณ์ไหว้วานให้หม่ามี้หาเบาะแสของหล่อน เดิมคิดว่าหล่อนอยู่ประเทศ F แต่ในเวลานี้กลับปรากฏตัวในเมืองชลธี ในเมื่อปรากฏตัวที่นี่ การหาตัวนงลักษณ์ก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว จนแม้แต่สามารถมาหาแด๊ดดี้กับหม่ามี้ได้ แต่เธอไม่ทำ”
“นายสงสัยอะไร?”
ไอคิวของกานต์ก็ออนไลน์อยู่เช่นกัน แน่นอนว่าได้ยินความสงสัยในคำพูดของกิจจา
กิจจากัดฟัน: “กลัวว่าข่าวที่เธอบาดเจ็บเพราะปกป้องนงลักษณ์จะมีความจริงอย่างอื่นอยู่”
กานต์หรี่ตาลง จากนั้นดึงมือกิจจา: “เล่าเรื่องนี้ให้แด๊ดดี้กับหม่ามี้ฟังเถอะ บางเรื่องพวกเขาอาจจะเอาไปใช้ได้ ถ้าพวกเราทิ้งไปง่ายๆ อาจจะทำลายแผนของพวกเขาได้”
กิจจาพยักหน้า แต่เห็นได้ชัดว่ารู้สึกไม่ดี
เมื่อเด็กสองคนโทรหานรมน เธอนำนมถั่วเหลืองกับปาท่องโก๋กลับมาให้บุริศร์พอดี
กมลพักผ่อนมาทั้งคืน ความมีชีวิตชีวากลับคืนมา แปลงร่างเป็นเด็กกินจุทันที ตั้งหน้าตั้งตากิน
กมลที่เป็นแบบนี้ นรมนผ่อนคลายมาก
เธอไม่อยากเชื่อทุกอย่างที่บุริศร์พูดออกมา
ลูกสาวของเธอเป็นเด็กกินจุมีความสุข เป็นเจ้าหญิงน้อย บางครั้งขี้โมโหขี้โวยวาย แต่ก็มีความไร้เดียงสาไม่ต่างจากเด็กผู้หญิงวัยเดียวกัน
นรมนพูดกับตัวเองแบบนี้ สายตาที่มองกมลก็มีความเอาอกเอาใจ
แน่นอนบุริศร์รู้ว่าในใจของภรรยาของตนเองคิดอะไรอยู่ จึงไม่ไปโต้เถียงและหักล้างเหตุผล อย่างไรเสียแบบนี้ก็ค่อนข้างดี
แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบบนี้ กมลชอบก็ทำไป เขาจะไม่ชอบเห็นกมลมีความสุขแบบนี้ได้อย่างไร?
เมื่อมือถือดังขึ้น นรมนเหลือบมองอย่างไม่รู้ตัว เห็นเป็นกานต์โทรมา อดยิ้มไม่ได้
“กานต์เจ้าลูกคนนี้สงสัยจะรอไม่ไหว อาจโทรมาเร่งให้พวกเรารีบกลับไปเก็บของ”
นรมนพูดไปพร้อมเดินออกไปรับสาย
“เจ้าเด็กคนนี้ หม่ามี้กับแด๊ดดี้และน้องสาวของลูกอีกสักพักจะกลับไป อย่าเร่งสิ”
นรมนพูดขึ้น ทำเอากานต์สำลัก ถามอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก: “หม่ามี้ พวกเรายังจะไปเที่ยวเหมือนเดิมไหม?”
“หมายความว่าอะไร ลูกไม่อยากไปเหรอ?”
มุมปากของกานต์กระตุก
ทำไมเขาจะไม่อยากไป?
หม่ามี้เอาตาข้างไหนมองว่าเขาไม่อยากไปเที่ยว?
เพียงแต่ในเวลานี้กานต์ไม่ควรพูดเรื่องอื่น จึงรีบเล่าเรื่องกิจจาโทรหามิลิน และเขาตรวจเจอว่ามิลินอยู่ในเมืองชลธีในนรมนฟัง
นรมนหรี่ตาลงเบาๆ
มิลินอยู่ในเมืองชลธี?
คิดไม่ถึงว่าเธอจะอยู่ในเมืองชลธี!
ถ้างั้นนงลักษณ์……
หัวใจของนรมนเต้นแรงทันที
“รู้ไหมว่าเธออยู่ไหน?”
“เมื่อกี้ตอนติดต่อกันพิกัดแสดงที่สุสานพรสรรพ์์”
นรมนตกใจ
สุสานพรสรรพ์์?
“โทรไปเมื่อไหร่?”
“สิบนาทีก่อน”
นรมนกังวลอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าตนเองเพิ่งจะออกมาได้ไม่นานเหรอ?
“รออยู่ในบ้าน ห้ามออกไปไหน กิจจาก็ห้ามออกไปไหน ไม่ว่าใครโทรเข้ามา ต้องรออยู่แต่ในบ้านเข้าใจไหม?รอหม่ามี้กับแด๊ดดี้กลับไปค่อยว่ากัน”
ได้ยินความร้อนรนและกังวลใจจากน้ำเสียงของนรมน กานต์รีบพยักหน้า
หลังจากนรมนวางสาย คว้าบุริศร์และกมลออกไป
“หม่ามี้ หนูยังกินไม่เสร็จ นมถั่วเหลืองรสหวานของหนู……หม่ามี้!”
ในมือของกมลยังดึงปาท่องโก๋ มองนมถั่วเหลืองรสหวานด้วยความเสียดาย ปากมุ่ยสุดๆ
“เป็นอะไรไป?”
บุริศร์ถือโอกาสอุ้มกมลขึ้นมา เดินออกจากประตูบ้านไปขึ้นรถกับนรมน
นรมนสตาร์ทรถ กระซิบตอบ: “มิลินอยู่ในเมืองชลธี และยังอยู่ที่สุสานพรสรรพ์์!เมื่อกี้นงลักษณ์อยู่ที่นั่นคนเดียว ฉันกลัว……”
“ไม่ต้องตกใจ ในตอนนี้ สิ่งที่ควรจะเกิดได้เกิดไปแล้ว ถึงคุณจะลุกลี้ลุกลนไปก็เปล่าประโยชน์ ผมขับเอง”
กมลขมวดคิ้ว มองปาท่องโก๋ในมือ ถอนหายใจเบาๆ
เฮ้อ!
กินอาหารเช้ามันฟุ่มเฟือยเหรอ?
เธอหิวจังเลย!
แต่มองเห็นท่าทางกังวลของหม่ามี้กับแด๊ดดี้ ในที่สุดก็ซุกตัวในอ้อมแขนของนรมนอย่างซื่อๆ แทะปาท่องโก๋ต่อไป
บุริศร์ขับรถมาถึงสุสานพรสรรพ์์
หลังจากทั้งสองลงจากรถ สิ่งแรกที่พบคือร่องรอยการต่อสู้ ถึงแม้จะไม่มีศพ แต่เลือดที่สาดลงบนใบไม้ทำให้นัยน์ตาของทั้งสองเคร่งขรึม
นี่คือเลือดของนงลักษณ์เหรอ?
หรือเป็นของคนอื่น?
บุริศร์ออกค้นหาโดยรอบอีกที พบร่องรอยของขาตั้งปืนไรเฟิล
“นรมน ที่นี่มีมือปืนซุ่มยิง”
นรมนอุ้มกมลมาที่ตำแหน่งนี้ จากนั้นมองไปข้างล่าง ตำแหน่งซุ่มยิงที่ดีที่สุดคิดไม่ถึงว่าจะเป็นตำแหน่งที่นงลักษณ์ยืนตอนตนเองจากไป
ตอนนี้มีรอยเลือดอยู่ที่นั่น
ดังนั้นคือเลือดของนงลักษณ์เหรอ?
หัวใจของนรมนเต้นแรงทันที เจ็บปวดอย่างทรมาน
“นงลักษณ์เธอ ตายแล้วเหรอ?”
“ยังไม่เห็นศพ น่าจะยังมีชีวิตอยู่ วางใจเถอะ นงลักษณ์น่าจะสามารถดูแลตัวเองได้”
บุริศร์เห็นภรรยาทุกข์ใจเช่นนี้ จึงอดโมโหไม่ได้
มิลินคนนี้สมควรตายจริงๆ
นรมนจับมือบุริศร์ ร่างกายที่เหน็บหนาวรู้สึกอบอุ่น เป็นที่พึ่งพิง
“ฉันไม่ควรทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียวเลย”
“อย่าโทษตัวเอง ภายใต้สถานการณ์แบบนี้คุณยังไม่รู้แน่ชัดว่านงลักษณ์เป็นมิตรหรือศัตรู การเลือกแบบนั้นฉลาดที่สุดแล้ว นรมน มีบางเรื่อง และมีบางคนที่คุณควบคุมไม่ได้ สู้ปล่อยให้มันเป็นไปดีกว่า”
นรมนก็รู้ว่าสิ่งที่บุริศร์พูดเป็นความจริง แต่ผลลัพธ์ของการปล่อยให้มันเป็นไปคือสิ่งที่เธอต้องการจริงไหม?
เธอไม่รู้
นรมนกับบุริศร์พากมลกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลพรโสภณ
ชายชราเห็นพวกเขากลับมาก็ดีใจมาก จึงให้โตษินทำปีกไก่โคล่าให้กมลรับประทาน
กมลร้องเรียกคุณตาทวด ทำเอาคุณท่านตนุวรมีความสุขสุดๆ
เห็นคุณท่านตนุวรมีความสุข นรมนกลับรู้สึกกดดันมาก
วันนี้นงลักษณ์เป็นแบบนี้ คุณท่านตนุวรไม่รู้เรื่องเลย ถ้านงลักษณ์ตายจริง เธอจะคู่ควรกับคนแก่ที่มีใบหน้าอ่อนโยนตรงหน้าได้อย่างไร?
เหมือนกับบุริศร์รู้ว่านรมนกำลังคิดอะไร บีบมือของเธอแน่น
ฝ่ามือของเขาแห้งและอบอุ่น ความรู้สึกลบในใจของนรมนสงบลงอย่างน่าประหลาด
นรมนยิ้มให้เขา จากนั้นพูดอย่างเหนื่อยล้า: “ฉันจะไปดูกานต์และพวกเขา”
“ไปดูกิจจาเถอะ”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนมีการตอบสนองทันที
มิลินกับกิจจามีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
กิจจารู้สึกอย่างไรกับมิลิน?
พวกเขาทุกคนเห็นอยู่เต็มสองตา กลัวว่าเรื่องวันนี้จะกระทบกิจจาไม่น้อย
นรมนไม่มีเวลาสนใจว่านงลักษณ์จะเป็นอย่างไรอีก รีบไปห้องของกิจจา กลับพบว่าเขาหยิบตำราแพทย์มาอ่านอีก
“หม่ามี้?หม่ามี้กลับมาแล้ว?”
“ลูก……”
นรมนอยากถามเหลือเกินว่าลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?แต่นึกถึงกิจจาที่ยังเด็กแบบนี้ อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องของมิลิน หากตนเองถามขึ้นมาจะอธิบายเขาอย่างไร?
ในกรณีที่กิจจาไม่ได้สังเกตเห็นว่าถูกทำร้าย ตนเองถามไปกลับจะทำให้เด็กไม่สบายใจ
คิดได้เช่นนี้ นรมนจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ
“ลูกกินข้าวเช้าหรือยัง ? ทำไมอ่านหนังสือตั้งแต่เช้า? เจ้าลูกคนนี้ ตอนนี้จะกลายเป็นหนอนหนังสือไปแล้ว !มา กมลกลับมาแล้ว หม่ามี้จะพาลูกลงไปหากมล ถือโอกาสเก็บของด้วยเลย พวกเราจะออกไปเที่ยวกันทั้งบ้าน”
เสียงของนรมนปกติ แต่ฝ่ามือกลับชุ่มเหงื่อ และทุกอย่างนี้กิจจาที่ละเอียดรอบคอบเห็นหมด
“ครับ”
เขาตอบอย่างน่าเอ็นดู แววตากลับฉายความแน่วแน่ขึ้นมาแวบหนึ่ง
เขาจะต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนในครอบครัว ดังนั้นคุณครูครับ อย่าทำให้ลูกศิษย์คนนี้ลำบากใจได้ไหม?