ประโยคเดียวทำให้นรมนกับขวัญตาสีหน้าเปลี่ยนทันที
“ได้ยังไง? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ขวัญตายังไม่ทันได้เจอพ่อสามีของตน แต่ก็ดูออกว่าพรรษาสำคัญต่อเจตต์มาก
แม้ว่าเจตต์จะไม่ได้พูดอะไร แต่พอได้ข่าวว่าพรรษาตกอับ เจตต์ก็ไม่มีกะจิตกะใจเที่ยวฮันนีมูนแล้ว
ผู้ชายคนนี้ปากไม่พูด แต่ในใจกลับมีที่ว่างให้พรรษา
ตอนนี้ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพรรษา อย่างแรกที่ขวัญตานึกถึงคือ เจตต์จะทนรับได้ไหม
“ขึ้นรถก่อนค่อยคุย”
สถานการณ์เฉพาะเจาะจงบุริศร์เองก็ไม่รู้
นรมนรู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ
บุริศร์ราวกับมองความกังวลของเธอออก พูดเสียงต่ำ “ไม่เป็นไร พวกเขามีคนดูแล วางใจเถอะ”
มีคำพูดนี้ของบุริศร์ นรมนเองก็วางใจแล้ว ขึ้นรถไปกับขวัญตาทันที
บุริศร์ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง
พอดูออก ว่าหลังจากเจตต์หาพรรษาพบแล้วก็รับเขามาที่โรงแรมแห่งนี้
ที่นี่มีรถตำรวจสองคัน
ในใจนรมนเริ่มมีความไม่สงบขึ้นมาไม่มากไม่น้อย
เธอรั้งบุริศร์ไว้
พวกเขาออกมาจากเมืองชลธียังไง นรมนยังคงจำได้ ตอนนี้เมื่อเห็นรถตำรวจก็อดไม่ได้ที่จะชะงักเล็กน้อย จิตใจมีความประหม่า
บุริศร์กลับเหมือนมองไม่เห็นรถตำรวจ ดึงมือนรมนเดินเข้าโรงแรมไป
บรรยากาศภายในโรงแรมมีความกดดัน
ใจที่ไม่สงบของนรมนยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และขวัญตาแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ดูออกว่าเธอประหม่ามาก
หลังจากที่คนกลุ่มนึงเดินเข้ามาคนของวินเซนต์ก็เดินมาหาอย่างรวดเร็ว
“คุณชายบุริศร์ ทางนี้ครับ”
นี่คือชายหนุ่มคนหนึ่ง
บุริศร์เหลือบมองเขานิ่งๆ จากนั้นก็เดินตามเขาไป
ที่พวกเขาไปคือลิฟต์เฉพาะทาง
ลิฟต์ไปถึงชั้นที่เจตต์อยู่อย่างรวดเร็ว
ชั้นนี้โดยพื้นฐานถูกจำกัดไว้ ในพื้นที่ล้วนแต่เป็นตำรวจที่กำลังสอบถามบางอย่าง
นรมนสัมผัสบางอย่างได้อย่างพร่ามัว มือที่จับบุริศร์อยู่ออกแรงยิ่งขึ้น
บรรยากาศที่กดดันมีอยู่ตลอดกระทั่งถึงประตูห้อง609
เจตต์ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าประตู
ควันบุหรี่กระจายทั่วใบหน้าของเขา ทำให้คนมองอารมณ์ไม่ออก แต่บรรยากาศนิ่งเงียบโศกเคร้ากลับกระจายออกมาโดยพลการ
ขวัญตารับเดินเข้าไป ดึงมือของเขาเบาๆ เอ่ยถามเสียงต่ำ “นายโอเคไหม?”
ประโยคเดียวก็ทำให้ดวงตาของเจตต์อุ่นร้อนขึ้นมา
“ขวัญตา พ่อฉัน ไม่มีแล้ว”
ถ้อยคำที่แหบแห้งนี้ กลับมีความโศกเศร้าอันใหญ่หลวง
เขากอดขวัญตาไว้ทันที พูดสะอื้น “ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันกลายเป็นเด็กกำพร้าจริงๆแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้นรมนคัดจมูกทันที
บุริศร์พานรมนเข้าไปในห้อง เหลือพื้นที่ด้านนอกไว้ให้สองสามีภรรยาเจตต์
เวลานี้เจตต์ต้องการการปลอบโยน แต่คนที่ควรปลอบโยนคือขวัญตา
หลังจากนรมนตามบุริศร์เข้ามาก็พบว่าพรรษาตายแล้ว
เขานอนอยู่บนเตียง มุมปากมีฟองสีขาว ใบหน้าดำเขียวแล้ว
“เป็นยาพิษ?”
คิ้วของบุริศร์ขมวดเล็กน้อย
วินเซนต์พยักหน้าพูด “ใช่ ฆ่าตัวตาย”
นรมนตกตะลึงทันที
ทำไมพรรษาถึงต้องฆ่าตัวตาย?
เธอยังจำท่าทางตื่นตระหนกของเขาตอนที่เจอพรรษาเมื่อไม่นานมานี้ได้ กระทั่งไม่อนุญาตให้เจตต์มาที่นี่ ตอนนี้ยังไม่ทันถึงหนึ่งวัน เขาก็ฆ่าตัวตายแล้ว?
ทำไมถึงต้องฆ่าตัวตายล่ะ?
มีเรื่องอะไรที่พูดไม่สามารถพูดได้?
นรมนไม่รู้ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของเจตต์
รีบมาถึงที่นี่จากที่ที่ห่างไกลเป็นพันไมล์ กลับนึกไม่ถึงว่าพรรษาจะฆ่าตัวตาย แล้วยังตายต่อหน้าต่อตาเจตต์ นี่ไม่ว่าเป็นใคร คาดว่าก็คงทนรับไม่ได้
“ตายก่อนที่เจตต์จะมา? หรือหลังจากมาแล้ว?”
“หลังจากมาแล้ว”
วินเซนต์พูดเสียงต่ำ “ตอนที่เจตต์มาถึงก็หาพรรษาเจอ ตอนนั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็ไม่ค่อยแน่ชัด แล้วยังมีไข้สูง ปากเอาแต่พูดว่าให้เจตต์รีบไป ไม่ต้องมา ตอนนั้นพวกเรานึกว่าไข้ขึ้นจนเลอะเลือน หาแพทย์ประจำครอบครัวมาให้น้ำเกลือเขา ฉันออกไปซื้อของกินให้เจตต์ เจตต์ออกไปสูบบุหรี่ ตอนที่กลับมาพรรษาก็ตายแล้ว ยาพิษของเขาคงจะพกติดตัวมาด้วย ถ้าเจตต์ไม่มา คาดว่าเขาก็จะเดินเส้นทางนี้เหมือนกัน”
ได้ฟังคำพูดของวินเซนต์ นรมนและบุริศร์ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
พรรษาที่ควรจะออกทองเที่ยวกลับมาปรากฏตัวที่นี่ แล้วยังใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาแบบนี้ กระทั่งไม่ให้เจตต์รู้ เพราะอะไรกัน?
คำถามนี้ค้างอยู่ในสมอง นรมนก็ได้ยินบุริศร์พูดขึ้น “บ่อนพนันนั้นตรวจสอบหรือยัง?”
“กำลังตรวจสอบ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาปิดกิจการไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
คำพูดของวินเซนต์ทำให้บุริศร์ขมวดคิ้วแน่นเข้าด้วยกันอีกครั้ง
“มันต้องมีร่องรอยอยู่ ถ้าไม่ได้จริงๆก็จับทุกคนในบ่อนนั้นมา ไล่ถามทีละคน ฉันไม่เชื่อว่าจะหาเบาะแสไม่ได้”
บุริศร์ในตอนนี้เหมือนเป็นซาตานที่ยอมทำที่อย่างที่จำเป็น แรงกระตุ้นทำให้อากาศโดยรอบลดลงถึงจุดเยือกแข็ง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน บุริศร์จะไม่เป็นแบบนี้เด็ดขาด ถึงอย่างไรสถานะของเขาก็อยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้บุริศร์กลับไร้จรรยาบรรณ ไม่รู้ว่าเพราะที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของเขา หรือเพราะผลกระทบจากพิษสีทอง
นรมนอยากที่จะห้ามไว้ ยื่นมือไปแต่กก็เก็บกลับมา
ช่างเถอะ ยังไงก็ต้องเปิดช่องไว้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนหายใจไม่ออก
ตอนที่เจตต์กับขวัญตาเดินเข้ามาจากด้านนอก ก็ได้ยินคำพูดของวินเซนต์พอดี
“หลังจากที่พ่อฉันมาที่นี่แล้วสภาพเป็นยังไงกันแน่? บอกฉันได้ไหม?”
เสียงของเจตต์แหบแห้ง แต่ความมีความโหดเหี้ยม
เขาเจตต์ไม่ใช่อยากเจอตาแก่คนนั้น กระทั่งมีความโกรธเกลียด แต่ผู้ชายคนนั้นถึงอย่างไรก็เป็นคนให้ชีวิตเขา ถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องของพวกเขาตระกูลรัตติกรวรกุล ไม่ให้คนอื่นยื่นมือเข้ามา
วินเซนต์เหลือบมองไปที่บุริศร์ เห็นบุริศร์พยักหน้า ถึงได้บอกสถานการณ์กับเจตต์
คิ้วของเจตต์ขมวดแน่น ไม่ได้พูดอะไร แต่ทำให้คนรู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก
บุริศร์พูดเสียงต่ำ “เรื่องบ้างเรื่องไม่เหมาะสมให้นายออกหน้า มอบให้ฉันทำเถอะ ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของสหภาพQT ยังไม่เคยมีใครทำอะไรได้โดยไม่ถูกพวกเราสังเกต”
พูดคำนี้ออกไป เจตต์ก็ชะงักทันที
“สหภาพQT”
เขารู้จักสหภาพQT
สหภาพQTนับว่าเป็นองค์กรนานาชาติ ทั้งดีและไม่ดี แต่ไม่มีใครกล้าต่อต้าน เพราะพลังของสหภาพQTกว้างใหญ่มาก ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เป็นหางเสือของพวกเขาคือใคร และมีสถานะอะไร?
ที่เจตต์ประหลาดใจคือ บุริศร์ผูกสัมพันธ์กับสหภาพQTได้
แต่เขาก็เก็บอาการอย่างรวดเร็ว พยักหน้าพูด “โอเค ฉันจะรอ”
“มีธุระอะไรก็ติดต่อเขา”
บุริศร์ชี้ไปที่วินเซนต์
เจตต์รู้จักวินเซนต์ และรู้ว่าวินเซนต์เข้ามาในสหภาพQT แม้แต่มีคนปล่อยข่าวว่าวินเซนต์คือผู้ก่อตั้งสหภาพQT ใครจะไปรู้ล่ะ?
ที่เขาสนใจตอนนี้คือสาเหตุการตายของพรรษา
นรมนไม่รู้ว่าควรจะปลอบโยนเจตต์ยังไง ก็ได้ยินเจตต์พูดขึ้น “พวกเธอมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ เรื่องนี้ฉันจัดการเองก็พอ”
“พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
นรมนยังนึกสภาพที่เมื่อกี้เขาพูดกับขวัญตาว่าตนเป็นเด็กกำพร้าได้ เริ่มคัดจมูกอีกครั้ง
อารมณ์ของเจตต์ไม่ได้สูงมาก พูดด้วยสติที่แข็งแรง “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นไม่สามารถพูดยิ้มกับเธอได้แล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็ไม่ค่อยเป็นมงคล เธอกับบุริศร์กลับไปก่อนเถอะ ฉันจะจัดการกับขวัญตาเอง”
นรมนพยักหน้า
ตอนที่บุริศร์พานรมนออกมาจากโรงแรม ค่ำคืนเย็นเยือกราวกับน้ำ
ไม่รู้ว่าเพราะการตายของพรรษา หรือเพราะกลางคืนหนาวเกินไป นรมนอิงแอบบุริศร์โดยไม่รู้ตัว
บุริศร์เปิดเสื้อตัวใหญ่ออกอย่างง่ายดาย โอบนรมนแน่นไว้ในอ้อมกอด
ความอบอุ่นบางๆแผ่เข้ามา แต่ก็ยังทำให้ใจนรมนอุ่นขึ้นไม่ได้
เธอพูดอย่างเจ็บปวด “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้มองไม่เห็นความแตกต่างของการอยู่หรือตาย คงเพราะอายุมากขึ้นแล้ว”
“อย่าพูดจามั่วซั่ว เธอพึ่งจะอายุเท่าไหร่? ยังไม่ถึงสามสิบ ทำตัวเป็นคนแก่?”
บุริศร์กระชับอ้อมแขน พูดเสียงต่ำ “การตายของพรรษาดูแล้วไม่ใช่อุบัติเหตุ”
“นายพบเจออะไร?”
นรมนเงยหน้ามองไปที่บุริศร์ แววตามีการเอ่ยถาม
ตอนที่พรรษามีชีวิตอยู่ไม่ญาติดีกับใคร ตรงจุดนี้นรมนรู้ดี แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเจตต์ ที่นรมนใส่ใจคือความรู้สึกของเจตต์
บุริศร์ส่ายหน้าพูด “ไม่ได้พบเจออะไร แต่เพียงแค่คาดเดา ตอนที่พรรษาแต่งงานกับเทย่ามีช่วงเวลาที่มีความสุขและโรแมนติกอย่างมาก ฉันให้คนไปตรวจสอบดูแล้ว พรรษาใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อเทย่า ยิ่งกว่านั้นก็เพื่อเอาใจเธอ ก็ปรับปรุงบ้านเก่าของตระกูลรัตติกรวรกุลให้เป็นอย่างที่เทย่าชอบ แต่ในปีที่สองหลังจากให้กำเนิดเจตต์ พรรษาก็นอกใจ เกิดขึ้นอย่างไร้ข่าวคราว เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้ผู้คนในเมืองชลธีไม่อยากเชื่อไปช่วงหนึ่ง ถึงอย่างไรก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เป็นคู่กิ่งทองใบหยก มีความรักลึกซึ้ง ที่หนักไปกว่านั้นคือ พรรษาพาธัญญาเข้ามาในคฤหาสน์ที่เข้าสร้างใหม่เป็นพิเศษเพื่อเทย่า เหมือนจงใจทำให้เทย่าโกรธ”
เรื่องเก่าๆเหล่านี้นรมนไม่รู้มาก่อน เดาว่าเจตต์เองก็ไม่รู้ หาได้ยากที่บุริศร์จะไปตรวจสอบ
“นายตรวจสอบมาเมื่อไหร่?”
“วันนี้”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนชะงักไปอีกครั้ง มีกระแสอบอุ่นในหัวใจทันที
วันนี้ ตอนที่เธอกำลังพักผ่อน บุริศร์กลับตรวจสอบเรื่องพวกนี้อยู่ในห้องหนังสือหรอ?
เพราะว่าเธอใส่ใจเจตต์ เพราะว่าพรรษาเป็นพ่อของเจตต์ ดังนั้นบุริศร์สละเวลาส่วนตัวไปตรวจสอบเรื่องเก่าๆพวกนี้หรอ?
ดวงตาของนรมนเริ่มร้อนเล็กน้อย
เธอกอดเอวของบุริศร์แน่นพร้อมพูดว่า “ผู้ชายอย่างนายจะรักฉันไปถึงขนาดไหนกันแน่?”
บุริศร์ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองคนขึ้นรถ ตอนที่บุริศร์ขับรถ นรมนเงยหน้ามองไปที่เขา
ล่างตาของเขายังคงมีรอยดำเขียว เห็นได้ว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ
มือของนรมนกุมมือใหญ่ของเขาเบาๆ พูดอย่างอ่อนโยน บุริศร์ รักษาตัวเองให้ดี ไม่งั้นฉันจะเป็นกังวล สำหรับฉันแล้ว ไม่มีใครสำคัญไปกว่านาย”
คำพูดนี้ราวกับกระแสน้ำอุ่น ยึดติดบนหัวใจบุริศร์ในทันที
มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย พูดยิ้ม “อื้ม ฉันจะทำ”
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยต่อ แต่บรรยากาศกลับอบอุ่นมาก
ในสมองของนรมนนึกย้อนความหมายในคำพูดของบุริศร์เมื่อกี้ เขาอยากจะบอกอะไรกับตนกันแน่?
เป็นเพียงแค่เรื่องเก่าเรื่องหนึ่งจริงๆหรอ?
แต่นรมนเอาแต่รู้สึกว่าบุริศร์พูดเรื่องนี้ขึ้นมามีความหมายอย่างอื่น