บุริศร์เห็นดวงตาที่เปล่งประกายของนรมนแล้ว ความทุกข์ทั้งหมดในใจก็จางหายไป
จริงๆแล้วสิ่งที่เขาต้องการในชีวิตนี้ธรรมดามากๆ แค่ได้ใช้ชีวิตเรียบๆง่ายๆในแต่ละวันกับคนที่ตนเองรักก็เพียงพอแล้ว
“ภรรยาอยากไปไหนก็ไปที่นั่น!”
กมลที่อยู่ข้างหลังจึงแสดงอาการขนลุกขนชันออกมา
“พี่กิจจา หนูคิดว่าพวกเราเหมาะจะไปนั่งที่รถคันข้างหลังนั้นนะ”
“แค่กๆ”
กิจจารีบก้มหน้า แต่มุมปากกลับอมยิ้ม อารมณ์ดีสุดๆเลย
นรมนโดนลูกสาวของตนเองหยอกล้อ จึงค่อนข้างทำตัวไม่ถูกแล้ว
เธอผลักบุริศร์แล้วพูดขึ้น “คุณทำตัวให้เหมาะสมหน่อยได้ไหม?”
“ที่ผมพูดเป็นความในใจทั้งนั้นนะ”
“แหวะ!”
กมลทำท่าคลื่นไส้ออกมาอย่างไม่ไว้หน้าทันที ทำให้บุริศร์ต้องชำเลืองไปมอง
“ไม่สบายเหรอ?”
กมลรีบพูด “ใช่ๆๆ น่าจะเมารถนิดหน่อย หนูกับพี่กิจจาไปนั่งรถคันข้างหลังดีกว่า อ้อหม่ามี้ หนูอยากไปสิบสองปันนา หม่ามี้เคยรับปากหนูไว้แล้วนะ!”
พูดจบเธอก็ไม่สนใจแล้วว่านรมนกับบุริศร์จะมีท่าทียังไง เปิดประตูดึงกิจจาลงไปจากรถ แล้วยังหันกลับมาแลบลิ้นใส่บุริศร์อย่างซุกซน ทำหน้าตาทะเล้น
กิจจาหัวเราะพรวดออกมา
กล้าท้าทายบุริศร์อย่างนี้ ก็มีแค่กมลเท่านั้นแหละ
ทั้งสองคนรีบไปที่รถคันข้างหลัง
นรมนพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด “คุณดูสิ พูดอะไรต่อหน้าเด็กๆเนี่ย?”
“พวกเขาควรจะโตได้แล้ว แด๊ดดี้กับหม่ามี้อยู่ด้วยกันถ้ามองอะไรไม่ออกบ้างเลย คงต้องบริหารไอคิวหน่อยแล้วมั้ง”
คำพูดที่หน้าไม่อายของบุริศร์ทำให้นรมนพูดไม่ออกจริงๆ
“เลิกกวนได้แล้ว รีบเดินทางเถอะ คุณไม่ได้ยินที่ลูกสาวคุณบอกว่าจะไปสิบสองปันนาเหรอ?”
“เธอก็ไปเพื่อกินสินะ! ฤดูกาลนี้ระหว่างทางไปสิบสองปันนาเต็มไปด้วยผลไม้อร่อยๆทั้งนั้น”
บุริศร์เข้าใจลูกสาวของตนเองเกินไปแล้ว
นรมนนึกถึงภาพนักกินตัวน้อยของกมลแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “กมลที่เป็นแบบนั้นฉันรู้สึกว่าค่อนข้างเข้าถึงได้ง่ายกว่า”
“คุณมีความสุขก็พอ ยัยเด็กแสบนั่นก็มีบุคลิกชอบกินอยู่พอตัวเลย”
บุริศร์นึกถึงการกินของกมล จึงยิ้มออกมาโดยปริยาย
รถออกตัวแล้ว บุริศร์กลัวว่านรมนจะเหนื่อย จึงปรับที่นั่งของเธอให้นอนราบลงไป
“นอนสักหน่อย ยังอีกไกล”
“เราจะไปจากหมู่บ้านดารายนอย่างนี้ มันไม่ดีหรือเปล่า?”
นรมนคิดอยู่ตลอดว่าที่บุริศร์มาที่หมู่บ้านดารายนน่าจะมีธุระต้องจัดการ แต่วันนี้ไม่นึกว่าถือโอกาสมาทำความสะอาดสุสานของตรินท์แล้วก็จะไปสิบสองปันนาตามความต้องการของกมลเลย ไร้สาระเกินไปหน่อยไหม?
แต่บุริศร์กลับยิ้ม “พวกเรามาที่ฝั่งนี้ก็เพื่อท่องเที่ยว ในเมื่อกมลอยากไปกินที่สิบสองปันนา พวกเราก็ไปเที่ยวตามอำเภอใจสักหน่อย อีกอย่าง พวกเราเพิ่งถึงหมู่บ้านดารายนก็โดนโจมตีอย่างไม่คาดคิด ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกใครก็บอกไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราถึงต้องเป็นเป้าหมายที่เคลื่อนไหวได้รอให้พวกเขามารวบตัวพวกเราที่หมู่บ้านดารายนล่ะ? คงไม่ดีเท่าเดินทางไปเรื่อยเปื่อย อยากไปไหนก็ไป อาจจะเจอโอกาสได้ตอบโต้กลับบ้างนะ”
นรมนเข้าใจได้ในทันที
บุริศร์จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ คุณจะไม่รู้เลยว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่โชคดีที่นรมนชินแล้วกับบุริศร์ที่เป็นอย่างนี้ นอกจากความเชื่อใจก็คือความเชื่อใจนั่นแหละ
“จะพูดยังไงก็เป็นความหลักแหลมของคุณทั้งนั้น”
“ไม่ เป็นความหลักแหลมของภรรยาต่างหาก”
บุริศร์โน้มเข้าไปหาทันที
คนขับรถที่ด้านหน้าเอาแผงกั้นขึ้นอย่างเข้าใจสถานการณ์
ใบหน้าของนรมนแดงขึ้นมาทันที
“คุณทำตัวให้เหมาะสมหน่อยได้ไหม? มีคนขับรถอยู่นะ”
“ภรรยา ผมทำตัวเหมาะสมมากแล้วนะ แค่อยากนอนกอดคุณสักหน่อย ไม่มีความคิดอย่างอื่นเลย”
บุริศร์เห็นนรมนเคอะเขิน จึงอดขำไม่ได้
“คุณยังจะหัวเราะอีก”
นรมนรู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าของบุริศร์แล้วตนเองสู้ไม่ได้เลยจริงๆ
“ฮ่าๆๆ!”
บุริศร์ไม่เพียงไม่มีท่าทีอ่อนลง แต่กลับหัวเราะดังขึ้นไปอีก
นรมนหมดหนทาง จึงก้มไปที่คอของเขา ประทับริมฝีปากลงไปทันที
สัมผัสที่อ่อนโยนทำให้บุริศร์ตะลึงเล็กน้อย แล้วตามมาด้วยความประหลาดใจ
ตอนนี้ภรรยาตัวน้อยของเขาเป็นฝ่ายรุกบ้างแล้วนะ
ไม่เลวๆ!
สองมือของเขาโอบไปที่เอวของนรมน ค่อยๆจูบอย่างลึกซึ้ง
หลังจากกมลกับกิจจาขึ้นไปอยู่บนรถคันข้างหลังแล้ว จู่ๆเธอก็กอดแขนของกิจจาเอาไว้ ยิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่กิจจา พี่บอกมานะผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นใคร?”
กิจจาชะงักเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยสัญชาตญาณ “แด๊ดดี้บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาเป็นคนทำความสะอาด……”
“พี่กิจจา อย่าเอาลูกไม้ที่แด๊ดดี้ใช้หลอกหม่ามี้มาใช้กับหนูนะ หม่ามี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อหน้าแด๊ดดี้เท่านั้นแหละ หนูไม่อยากแกล้งไม่รู้เรื่อง ผู้ชายคนเมื่อกี้หน้าตาหล่อใช้ได้เลย อีกอย่างค่อนข้างเหมือนแด๊ดดี้ด้วย เขาเป็นใครเหรอ?”
กิจจาไม่รู้มาก่อนเลยว่ากมลจะช่างสังเกตเช่นนี้ โดนเธอพูดฉีกหน้าขนาดนี้ จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“กมล พี่……”
“พี่กิจจา พี่ไม่รักหนูแล้ว”
กมลเบะปากเล็กๆขึ้นมาทันที น้ำตาใสๆที่เอ่อล้นอยู่ในเบ้าตาจะร่วงลงมาให้ได้ เห็นแล้วใจจะสลาย
กิจจาหมดแรงต่อต้านอย่างฉับพลัน
“กมล อย่าร้องนะ พี่บอก พี่บอกแล้วโอเคไหม?”
“พี่กิจจาดีที่สุดเลย? !”
กมลรีบยิ้มทั้งน้ำตา กอดแล้วจุ๊บกิจจาโดยไม่ให้ตั้งตัว
หน้ากิจจาแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
“เธอๆๆ……”
“หนูๆๆๆ! หนูอะไรเหรอ?”
จุ๊บที่ซุกซนของกมลทำให้กิจจาตะลึงงันเล็กน้อย
ฉากนี้คุ้นตามากเลยนะ!
ไม่นานก่อนหน้านี้บุณพจน์เหมือนจะโดนแด๊ดดี้ตอบโต้อย่างนี้สินะ?
วินาทีนี้กิจจาถึงได้เข้าใจความรู้สึกหมดหนทางของบุณพจน์แล้ว
เผชิญหน้ากับคนที่ตนเองใส่ใจ ต่อให้โดนตอบโต้ก็ยังอยากตามใจเหมือนเดิม
จู่ๆเขาก็ค่อนข้างเข้าใจบุณพจน์แล้ว
“พี่กิจจา พี่กำลังคิดอะไรอยู่?”
กมลเห็นกิจจาเหม่อลอย จึงรีบยื่นมือออกไปโบกๆที่ด้านหน้าของเขา
กิจจารีบดึงสติกลับมา
“ไม่มีอะไร นึกถึงบางเรื่องน่ะ เธอไม่ได้อยากรู้ตัวตนของผู้ชายคนนั้นเหรอ?”
“ใช่สิ งั้นพี่รีบๆบอกหนูมา”
กมลหน้าตาสงสัย
กิจจายิ้มแล้วขยี้ๆหัวของเธอ “คนนั้นคือบุณพจน์ พวกเราน่าจะเรียกเขาว่าคุณลุงนะ”
“บุณพจน์?”
กมลชะงักเล็กน้อย
“เหมือนจะไม่คล้ายกับที่หนูคิดไว้เลย หนูรู้สึกว่าบุณพจน์น่าจะเป็นคนที่ไร้ความเห็นอกเห็นใจคนหนึ่ง ต้องปฏิบัติกับพวกเราอย่างเย็นชาสิถึงจะถูก แต่ที่หนูเห็นเมื่อกี้เขาเหมือนจะเป็นคนรองรับอารมณ์ที่โดนแด๊ดดี้รังแกมากกว่า เฮ้อ น่าผิดหวัง”
กมลส่ายๆหัว หน้าตาเสียดาย
กิจจาตะลึงเล็กน้อย
ปฏิกิริยาของกมลต่างจากคนทั่วไปจริงๆ
นี่เธอไม่ควรจะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างบุณพจน์กับพวกเขาจริงๆเหรอ?
“กมล รู้จักบุณพจน์ด้วยเหรอ?”
“รู้สิ ก่อนหน้านี้นานมากแล้วพี่ก็เคยสืบหาข้อมูลของคนๆนี้ไง หนูแอบดูตั้งหลายครั้ง พี่ก็ไม่ได้ห้าม ตามที่บอกกันว่าเขาเคยเข้าร่วมการประเมินกองกำลังทหารที่ต่างประเทศ ทั้งยังเป็นคนที่โดดเด่นในกองกำลังทหารต่างประเทศมาโดยตลอด ถึงขั้นโดนส่งตัวไปเข้าร่วมการแข่งขันด้านกรีฑาที่เยอรมันเพียงคนเดียวด้วย แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงสละสิทธิ์การแข่งขัน แล้วเป็นฝ่ายยื่นเอกสารขอออกจากการเป็นทหาร ไม่มีใครรู้เหตุผล ต่อมาภายหลังเขาสร้างองค์กรนักฆ่าขึ้นมาเอง คนภายในเป็นทหารรับจ้างทั้งหมด เป็นคนที่เข้าๆออกๆสนามรบ เป็นผู้รอดชีวิตที่ปีนขึ้นมาจากกองคนตายอย่างแท้จริง ตามที่ว่ากันภารกิจที่องค์กรของเขารับไม่มีตัวอย่างของความล้มเหลว แล้วก็มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศด้วย”
ตอนที่กมลพูดเรื่องพวกนี้ กิจจานิ่งงันไปเลย
เขามองกมล รู้สึกว่ากมลมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่กลับไม่อยากจะเชื่อ
เขายอมเชื่อว่ากมลยังเป็นแค่นักกินตัวน้อยที่เอาแต่กินๆดื่มๆเท่านั้นดีกว่า
ตระกูลโตเล็กของพวกเขามีเขากับกานต์แบกรับเอาไว้ก็พอแล้ว ถ้าเป็นไปได้ กิจจาหวังว่ากมลจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปควรใช้ก็พอแล้ว
เรื่องตีรันฟันแทงพวกนี้ แผนการร้ายพวกนี้ กมลอยู่ห่างๆจะดีที่สุด
แต่ในหัวของกิจจาก็นึกถึงคำพูดที่นรมนเคยบอกเอาไว้
เธอบอก “ไม่ว่าตอนไหน เขากิจจาต้องเป็นอันดับแรกเสมอ กมลกับกานต์ต้องเลือกที่จะเสียสละเพื่อเขา”
คำพูดนี้ทำให้กิจจาหวาดกลัว แต่กลับปวดใจเหลือเกิน
ไม่!
เขาไม่ต้องการให้กานต์กับกมลทำอะไร
ตอนนี้กมลเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว
นึกถึงตรงนี้ กิจจาจึงจับมือกมลเอาไว้ พูดเบาๆ “กมล รับปากพี่กิจจานะ ต่อไปไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรต้องให้พี่กิจจากับกานต์เป็นคนแก้ปัญหา เธอแค่มีหน้าที่เติบโตอย่างมีความสุขเท่านั้นก็พอ สิ่งที่เธอต้องการ แม้จะต้องขึ้นไปคว้าดวงดาวพี่กับกานต์ก็จะช่วยให้เธอสมปรารถนา เธอต้องรับปากพี่ อย่าให้ตนเองต้องเผชิญหน้ากับความอันตราย อย่าไม่ใส่ใจความปลอดภัยของตนเองรู้ไหม?”
กมลชะงักเล็กน้อย มองสายตาที่จริงจังสุดๆของกานต์ จู่ๆก็ยิ้ม
“พี่กิจจา หนูลำบากขนาดนั้นถึงจะมีชีวิตรอดมาได้ ก็ต้องทำให้ตนเองมีความสุขสิคะ วันนี้พี่เป็นอะไรไป?”
กิจจาได้ยินกมลพูดอย่างนี้ ในใจก็ยิ่งทนไม่ไหว
ใช่สิ
ตั้งแต่เกิดมากมลก็ทรมานจากอาการเจ็บป่วย และผู้สร้างความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ก็คือแม่ของเขาเอง
เขามีเหตุผลอะไรถึงให้กมลกับกานต์มาขวางอันตรายแทนเขา?
กิจจาพูดอย่างชัดเจน “เธอรับปากพี่”
เขาเคร่งขรึมเกินไป เคร่งขรึมจนทำให้กมลตกใจ
“พอแล้ว หนูรับปากพี่ก็ได้ พี่กิจจาเป็นอย่างนี้แล้วน่ากลัวจัง”
กมลค่อนข้างตกใจ
กิจจาจึงรีบผ่อนคลายสีหน้า พูดขึ้นเบาๆ “พี่จะตั้งใจเรียนหมออย่างดี รับรองว่าจะทำให้เธอสุขภาพแข็งแรง ไม่ให้เกิดปัญหาใดๆอีก พี่สาบาน”
“ไม่ต้องเคร่งขรึมขนาดนั้นก็ได้ พี่กิจจาดีกับหนูยังไงในใจหนูรู้ดี พี่กิจจา อย่าพูดเรื่องนี้เลย หนูค่อนข้างหิวแล้ว พี่ว่าพวกเราควรลงไปซื้ออะไรกินหน่อยไหม? หนูเห็นมะม่วงที่อยู่ข้างทางลูกใหญ่มากเลย!”
กมลดวงตาเป็นประกาย สายตานั้นราวกับหมาป่าหิวโซที่เจออาหารเข้าแล้ว ทำให้กิจจาหลุดขำพรวดออกมาในทันที
“เธอนี่ รู้จักแต่เรื่องกินนะ”
เขาดึงจมูกของกมลเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“กินเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าคนไม่รู้จักกิน ไม่กลายเป็นคนโง่เหรอ?”
กมลพูดแล้วก็ให้คนหยุดรถ
หลังจากทั้งสองคนลงจากรถ รถของบุริศร์ที่ด้านนี้ก็หยุดด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?”
บุริศร์กำลังจูบกับนรมนอย่างเร่าร้อน เกือบจะเกิดเรื่องเลยเถิดแล้ว จู่ๆที่ด้านนี้ก็หยุดรถ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะชะงักงัน แล้วรีบถามขึ้น ทั้งยังดึงนรมนขึ้นมาปกป้องไว้ในอ้อมอกด้วย
“ประธานบุริศร์ครับ คุณหนูกับคุณชายหยุดรถครับ เหมือนจะลงไปซื้ออะไร”
คนขับรถรายงานตามหน้าที่อย่างดี
บุริศร์มองสภาพแวดล้อมรอบๆ
ที่นี่มีแต่ถนนที่ยืดยาวสายหนึ่ง สองข้างเต็มไปด้วยเทือกเขา ไม่มีบ้านคนเลย จะมีคนขายผลไม้อยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?