นรมนนึกถึงคำพูดสุดท้ายของบุณพจน์ อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
“ลูกของพี่ใหญ่แท้งไปอย่างน่าเสียดายจริงๆ”
“ไม่มีอะไรน่าเสียดาย เด็กไม่แข็งแรงคนหนึ่ง เกิดมาก็มีแต่จะทำให้ทุกคนลำบาก โชคดีที่พรวลัยตั้งครรภ์ได้ไม่นาน ถ้าดูแลร่างกายดีๆ ยังมีโอกาสมีลูกได้อีก ถ้ารออายุครรภ์ครบกำหนดแล้วคลอดออกมาตายตั้งแต่อยู่ในท้อง เดาว่าจะกระทบกระเทือนพวกเขายิ่งกว่านี้”
เมื่อผู้ชายมองปัญหามักจะมีเหตุผล
นรมนรู้ว่าบุริศร์พูดถูก แต่ยังคงรู้สึกเศร้าใจ
“ถึงยังไงก็คือชีวิตหนึ่ง”
“ตอนนี้เป็นแค่ตัวอ่อนในระยะแรกแค่นั้น หัวใจอาจจะยังไม่เต้นด้วยซ้ำ อย่าให้ตนเองต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะหนี้แค้นระหว่างพวกเขายังไม่ได้สะสาง แม้จะมีเด็กคนนี้ก็ยังคงไม่มีความสุขเหมือนเดิม เรื่องของคนอื่นให้คนอื่นจัดการเถอะ คุณอย่าเป็นห่วงเลย”
นรมนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของบุริศร์
“จริงด้วย พูดถึงลูก ก็ไม่รู้ว่าลูกของธิดาคลอดหรือยัง ดูจากเวลาก็น่าจะใกล้แล้ว”
นรมนไม่ได้ตั้งใจพูดถึงธิดา แต่เธอนึกขึ้นได้ฉับพลัน
เธอเหลือบมองบุริศร์อย่างกังวล เห็นเขาไม่มีท่าทางพิเศษอะไรถึงได้โล่งอก
เห็นท่าทางระมัดระวังของภรรยา บุริศร์อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“ทำไม? กลัวผมรู้สึกแย่เหรอ?”
“อืม”
นรมนพยักหน้า
เธอรู้สึกว่าช่วงนี้แย่มาก นอกจากโพนี่จะคลอดลูกชายแล้ว ลูกของเจตต์จากไปแล้ว ลูกของบุณพจน์ก็จากไปเช่นกัน ทำให้รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
บุริศร์จะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรได้อย่างไร
เขากอดเธอเบาๆ กระซิบว่า “นาวินฟื้นแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้นรมนอึ้งไปเล็กน้อย นึกถึงความรู้สึกที่นาวินมีต่อธิดาวีร์ นรมนเอ่ยถามอย่างเสียใจ “เขาจะขอความเมตตาเพื่อธิดาวีร์ไหม?”
“ไม่”
คำตอบของบุริศร์ทำเอานรมนอึ้งไปอีกครั้ง
“ไม่?”
“ไม่เลย และในทางตรงกันข้าม เขาต้องการให้ลูกคลอดก่อนกำหนด จึงติดต่อคุณหมอมาทำการผ่าคลอดให้ธิดาวีร์ คลอดออกมาเป็นเจ้าเด็กอ้วนหนัก 3.9 กิโลกรัม”
บุริศร์กล่าวเสียงเบา แววตามีความรู้สึกเล็กน้อย กลับหายวับไป
“คลอดแล้ว? ลูกผู้ชาย?”
นรมนไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะพูดว่ารู้สึกอย่างไร พูดว่าดีใจ แน่นอนว่าดีใจ แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ตอนนี้ของธิดาวีร์และนาวิน เธอดีใจไม่ออก
นอกจากนี้นิสัยของธิดาวีร์ อาจจะใช้ประโยชน์จากเด็กคนนี้ให้นาวินทำอะไรก็ไม่แน่
คล้ายกับบุริศร์รู้ว่านรมนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาพูดเสียงเบา “ธิดาวีร์ตายแล้ว”
“อะไรนะ?”
นรมนค่อนข้างแปลกใจ
พลังชีวิตของธิดาวีร์แข็งแกร่ง ผ่านความเป็นความตายมาได้ตั้งหลายครั้ง ทำไมถึงได้คลอดลูกแล้วตาย?
นึกถึงก่อนพวกเขาจะไปบุริศร์ให้คนปฏิบัติต่อธิดาวีร์อย่างไร นรมนอดสงสัยไม่ได้
“เธอเสียเลือดมากเกินจนตายเหรอ?”
“ถูกนาวินบีบคอจนตาย”
ตอนบุริศร์ได้รับข่าวนี้ก็ช็อกไปเช่นกัน
นาวินรักธิดาวีร์ขนาดนี้ เพื่อเธอ เขายอมทิ้งความเกลียดชังของสองตระกูล และยอมลำบากมากมายขนาดนั้นเพื่อเธอ จนแม้แต่ยอมให้ตนเองต้อยต่ำเพื่อเธอ แต่ท้ายที่สุดเขากลับเป็นคนฆ่าธิดาวีร์ด้วยมือของตนเอง
นรมนก็ช็อกไป อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกด้วยซ้ำ
คนรักที่เคยยอมตายเพื่อกันและกัน ทำไมสุดท้ายถึงกลายเป็นแบบนี้?
บุริศร์พูดเสียงเบา “หลังจากธิดาวีร์คลอดลูก นาวินก็ฆ่าเธอทันที เขาพูดกับผมว่า การที่เธอมีชีวิตอยู่ไม่ดีกับใครทั้งนั้น ไม่สู้คลอดลูกแล้วตายไปดีกว่า อีกหน่อยเขาจะบอกกับลูกว่า แม่ของเขาจากโลกนี้ไปเพราะคลอดเขาแล้วเสียเลือดเยอะมาก ถ้าเป็นแบบนี้ ลูกจะได้จำด้านที่ดีของธิดาวีร์ นาวินขอร้องผม ให้บันทึกชื่อของธิดาวีร์ลงในแผนภูมิตระกูลโตเล็ก ไม่ใช่เพื่อใครอื่น แต่เพื่อลูกที่เขายินดีสละสิทธิ์ทุกอย่างที่ตระกูลโตเล็กมอบให้แก่เขา”
นรมนได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ธิดาวีร์หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
ชีวิตดีๆ ถูกเธอทำจนกลายเป็นแบบนี้ ถ้าเธอสามารถลืมได้ทุกอย่าง ไม่ถูกคนยุยงใช้ประโยชน์ ตอนนี้เธอคงจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขคนหนึ่ง มีครอบครัว มีพี่ชายที่รักเธอมาก แต่ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว
นรมนเคยเกลียดธิดาวีร์
ตอนที่เธอทำร้ายกานต์ เธอเกลียดจนแทบอยากจะสับหล่อนเป็นชิ้นๆ
แต่ตอนนี้เธอตายแล้ว
คนตายเปรียบเสมือนตะเกียงที่ดับไป ความแค้นไม่มีเหลือแล้ว
เธอจะไม่กล่าวโทษนาวินกับเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนหนึ่ง แค่ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดข้างใน
“นาวินจะจากไปไหม?”
“ไม่ เขาจะเรียนรู้การทำธุรกิจกับผม”
สิ่งนี้บุริศร์กลับคิดไม่ถึง
นาวินไม่ต้องการหุ้นในตระกูลโตเล็ก แต่คิดจะให้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีแก่ลูกด้วยตนเอง นี่คือความภาคภูมิใจของพ่อคนหนึ่ง เขาควรสนับสนุน
นรมนก็เข้าใจสิ่งนี้ จึงอดชื่นชมนาวินไม่ได้
“ต่อจากนี้ต้องดูแลเอาใจใส่เขา”
“อืม เขาคือน้องเขยของผมตลอดไป”
นรมนพยักหน้ากับคำพูดของบุริศร์
ทั้งสองคนกอดกันแน่น
การแยกจากกันชั่วคราวทำให้พวกเขามีเรื่องจะคุยกันมากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ทำได้เพียงแค่กอด
นรมนรู้สึกว่าตนเองกำลังจะหายใจไม่ออก จึงผลักออกไปอย่างแรง “คุณคิดจะบีบฉันให้ตายจะได้หาเมียใหม่ใช่ไหม?”
บุริศร์หัวเราะทันที
“คุณชั่วร้ายแบบนี้ ผมคนเดียวรับมือไม่อยู่ จะมีความคิดไปแต่งเมียใหม่ที่ไหนกัน?”
“คุณกล้าพูดว่าฉันชั่วร้าย?บุริศร์ คุณกล้ามากนักใช่ไหม?”
นรมนยื่นนิ้วทรงพลังของตนเองออกไป ตรงไปที่ใต้รักแร้ของบุริศร์
มุมปากของบุริศร์ยกขึ้น เล่นกับนรมนสักพัก ทั้งสองเล่นกันจนเหนื่อยเอนกายลงบนเตียง
นรมนหนุนต้นขาบุริศร์ ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริงอยู่บ้าง
บุริศร์หายตัวไปอย่างลึกลับ ปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด ตอนนี้ข้อสงสัยมากมายปรากฏอยู่ในสมองเธอ กลับไม่รู้ว่าควรจะถามอันไหนก่อนดี
“บุริศร์”
“หือ?”
“ปีวราเป็นคนทรยศหรือเปล่า?”
นรมนนึกถึงท่าทางมั่นใจของคุณนายใจภักดิ์ จึงอดถามไม่ได้
“ไม่ใช่”
คำตอบที่มั่นใจของบุริศร์ทำให้ในที่สุดนรมนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“งั้นฉันสามารถคิดว่ากมลปลอดภัยได้แล้วใช่ไหม?”
“ใช่ ไม่มีที่ไหนปลอดภัยกว่าสถานที่ของกมลในเวลานี้”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตอนนี้กมลอยู่ไหน แต่นรมนได้ยินบุริศร์พูดแบบนี้ จึงวางใจทันที
“งั้นพวกเราจะเอายังไงต่อ?”
“รอ”
“รอ?”
“ใช่ รอบุณพจน์ยึดอำนาจของพิรุณได้แล้วค่อยลงมือ”
บุริศร์มองหน้านรมน พูดอย่างอ่อนโยน “นานๆ ทีจะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง คุณภรรยา พวกเราไม่ได้ใกล้ชิดกันนานแล้วเนอะ”
คำพูดโจ่งแจ้งทำเอานรมนหน้าค่อยๆ แดงขึ้น
“ฉันเพิ่งนึกออกว่ายังมีธุระ ฉันขอตัวออกไปก่อนนะ”
นรมนพูดจบก็ลุกขึ้นวิ่ง กลับถูกบุริศร์กอดเอวบางไว้จากด้านหลัง โอบรัดเธอไว้ในอ้อมแขนทันที
“คุณจะมีธุระอะไร?ผมรู้เรื่องของพิรุณแล้ว”
“หา ?คุณรู้แล้ว?”
นรมนงุนงงทันที
พรวลัยปล่อยพิรุณหนีไป พวกเขาทุกคนไม่รู้เบาะแสของพิรุณ คิดไม่ถึงว่าบุริศร์จะรู้เรื่องด้วย?
มองเห็นใบหน้าแปลกใจของนรมน บุริศร์ยื่นใบหน้าเขาไปอย่างไร้ยางอาย
“จูบผมหนึ่งที คุณจูบแล้วผมจะบอกคุณ”
นรมนหมดคำพูดทันที
“บุริศร์ คุณออกไปเจอใครมาหรือเปล่า? ทำไมถึงรู้สึกว่าหลังจากคุณกลับมาถึงเปลี่ยนไปเป็นไร้ยางอายแบบนี้?”
นรมนแค่พูดไปอย่างไม่คิด แต่นัยน์ตาของบุริศร์กลับกะพริบเล็กน้อย จากนั้นพูดอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “เดิมทีผมเป็นเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน ไม่ใช่ว่าคุณภรรยาจะไม่รู้ซะหน่อย ใช้โอกาสที่ตอนนี้ข้างนอกยังคงสงบ พวกเรามาเอาอกเอาใจกันดีกว่า”
ในขณะพูดริมฝีปากของบุริศร์ขยับเข้ามา
นรมนคิดจะหลบ กลับไม่ทันการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของบุริศร์
ตอนนี้เขาเหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกปล่อยออกจากกรง พร้อมกับนิสัยรุกราน ทำให้ในขณะที่ตื่นเต้นก็สั่นไหวเล็กน้อย
นรมนค่อยๆ จมสู่การโจมตีอันแสนอ่อนโยนของบุริศร์ ในไม่ช้าก็พ่ายแพ้
ทั้งสองคนอยู่ในห้องลับหลายชั่วโมง นรมนรู้สึกว่าร่างกายของตนเองใกล้จะพังทลาย อดเตะบุริศร์หนึ่งทีไม่ได้
“ห้ามแตะต้องตัวฉันหนึ่งอาทิตย์”
บุริศร์รู้สึกน่าหัวเราะกับท่าทางแกล้งทำเป็นโกรธของเธอ
เขาพิงข้างเตียงอย่างพึงพอใจ พูดอย่างจริงจัง “ได้ ไม่แตะต้อง”
“ฉันพูดกับคุณจริงๆ นะ”
นรมนไม่เชื่อเขา ยื่นนิ้วออกไปเกี่ยวกับเขาไว้
ท่าทางน่ารักเช่นนี้ของนรมนทำให้บุริศร์อารมณ์ดีมาก อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“โตขนาดนี้แล้ว ทำยังกับเป็นเด็กไปได้”
เขายื่นนิ้วออกไปบีบจมูกนรมนเบาๆ จากนั้นตะแคงตัวลงนอน
“นอนเป็นเพื่อนผมสักพักได้ไหม?”
“ไม่ได้หรอก กลัวด้านนอกมีคนตามหาฉัน ฉันจะออกไปนอน ตอนนี้มิลินหาหนอนบ่อนไส้เจอแล้ว?คุณไม่อยากออกไปปรากฏตัวเหรอ สุดท้ายแล้วบอดี้การ์ดของตระกูลโตเล็กเห็นคุณอาจจะรู้สึกมีที่พึ่ง”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์นิ่งไปสักพัก เขาพูดเสียงเบา “ตอนนี้อย่าเพิ่งเลย ผมซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อน ไม่แน่อาจได้อะไรอย่างไม่คาดคิด”
“ตามใจคุณ ฉันออกไปก่อนนะ”
นรมนอาลัยอาวรณ์
เธออยากพักผ่อนอยู่ในอ้อมแขนของบุริศร์จริงๆ แต่เธอรู้ว่าบุริศร์พูดถูก
พวกเขาติดอยู่ที่นี่มานานแล้ว ต้องฝ่าฟันอุปสรรค ทำให้คดีความมีความคืบหน้าต่อไปถึงจะถูกต้อง
โดยเฉพาะมิลินบอกว่ารู้เบาะแสของคุณอาบุญทิวา ตอนนี้มิลินหายไป และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกับคุณอาบุญทิวาอีก
นรมนเปิดห้องลับกลับมาที่ห้องนอน หลังจากไถ่ถามแล้วไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจึงนอนหลับลงบนเตียง
ทุกอย่างดูเงียบสงบ แต่นงลักษณ์กลับสังเกตเห็นความอึดอัดใจดั่งพายุที่กำลังพัดเข้ามาซ่อนอยู่เงียบๆ
เดิมทีเธอคิดตามหามิลิน กลับได้ยินว่าเธอหนีไป จึงอดแปลกใจไม่ได้
นงลักษณ์คิดว่าตนเองเป็นคนที่เข้าใจมิลินที่สุด แต่ในตอนนี้เธอมองไม่ออกว่ามิลินทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
“หาคนแอบสืบเบาะแสของมิลิน อีกอย่าง สืบดูว่าช่วงนี้มิลินติดต่อใครบ้าง”
“ครับ”
เงาหนึ่งพุ่งออกไปจากห้องของนงลักษณ์
นงลักษณ์มองท้องฟ้าด้านนอก ที่นี่ทิวทัศน์สวยงาม อากาศบริสุทธิ์อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ในดวงตาของเธอกลับไร้สีสันใดๆ
บุญทิวา คุณอยู่ที่ไหนกันแน่
หัวใจของนงลักษณ์กำลังเฝ้ารอ กำลังทุกข์ทรมาน กลับยิ่งเป็นทุกข์และยิ่งเจ็บปวดใจ
ความมืดยามค่ำคืนค่อยๆ ย่างกรายเข้ามา นรมนยังคงกลับสนิท กลับเกิดเสียงดังปั้งขึ้นในท้องฟ้ากะทันหัน ดอกไม้ไฟละลานตาแผ่กระจายทันที