“ขนาดพ่อแท้ ๆ ยังไม่รู้เรื่องเลย งั้นพวกคุณรู้เรื่องได้ยังไงกัน?”
นรมนรู้สึกว่าคำพูดของเรณุกาไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่
เรณุกาเองก็ไม่โกรธเคือง แต่กลับพูดอย่างสงบนิ่งมากว่า “เรื่องนี้ จนถึงตอนที่จณัตว์เรียนจบกลับมา แล้วพระราชากะว่าจะใช้ตำแหน่งมาบีบบังคับเขา ให้เขาเข้ามาทำงานในศูนย์วิจัยของกรมทหาร แต่น่าเสียดายกลับโดนจณัตว์ปฏิเสธไป และยังพูดออกมาว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้เป็นคนประเทศFแล้ว ถ้าจะเข้าไปทำงานในศูนย์วิจัยของกรมทหารประเทศ F คงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แล้วก็เป็นตอนนั้นเอง ทุกคนถึงรู้ว่าเขาได้โอนสัญชาติออกไปตั้งแต่ตอนอายุสิบหกปีแล้ว ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลแหลมวิไล แต่กลับสามารถทำเรื่องใหญ่แบบนี้ได้สำเร็จอย่างไม่มีสุ้มไม่มีเสียง จึงอดไม่ได้ที่จะทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวและรู้สึกสงสัย หลังจากจบเรื่องแล้วพระราชาได้ส่งคนไปตรวจสอบจณัตว์อยู่หลายชุด แต่กลับไม่ได้เรื่องอะไรเลย แม้แต่ทุกคนที่เขาติดต่อด้วยตอนเรียนก็ตรวจไม่พบอะไรที่น่าสงสัย และนี่ก็ยิ่งทำให้สถานะของเขาลึกลับมากขึ้นไปอีก”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นรมนได้ยินคนอื่นพูดถึงจณัตว์ แต่ว่าทุกครั้งก็มักจะรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ผู้ชายคนนี้อย่างกับว่าเป็นบุคคลในตำนาน ทั้งตัวล้วนเต็มไปด้วยความลึกลับอย่างกับตำนาน
หัวคิ้วของบุริศร์ขมวดขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านั้นธรรศแฝงตัวอยู่ภายใต้ศัตรูมานานขนาดนั้น คนที่รู้จักก็จะต้องมีไม่น้อยแน่ และตอนนี้ก็ยิ่งเป็นนายทหารที่มีความสามารถโดดเด่นคนหนึ่ง แต่กลับเชื่อมั่นจณัตว์คนนี้มากขนาดนี้ หรือไม่ก็จณัตว์มีเบื้องหลังเป็นฝ่ายมืด หรือไม่ก็จณัตว์มีความเกี่ยวข้องกับทางกรมทหาร
แต่ว่าเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่เกิดที่ประเทศFคนหนึ่ง จะมามีความเกี่ยวข้องกับกรมทหารของประเทศเราได้จริง ๆ เหรอ?
บุริศร์ไม่กล้ามั่นใจ แต่ในใจกลับมีการคาดเดาแบบนี้ขึ้น
นรมนนั้นไม่รู้เรื่องที่บุริศร์คาดเดาเลยสักนิด เพียงแต่แค่พอฟังเรณุกาพูดเรื่องของจณัตว์จบแล้ว และเอามารวมกับคำพูดของคนอื่น แล้วก็ถามเสียงต่ำขึ้นว่า “มีคนเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของจณัตว์ไหมคะ?”
“ไม่มี ได้ยินมาว่าตอนที่เด็กคนนั้นอายุสิบห้าเคยเจอกับเหตุการณ์ลักพาตัว แล้วจากเหตุการณ์นั้นก็โดนไฟคลอกครั้งใหญ่ จนใบหน้าและร่างกายโดนไฟไหมเยอะมาก แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ใส่หน้ากากพบปะผู้คนมาตลอด ญาติผู้ใหญ่ของตระกูลแหลมวิไลได้ติดต่อโรงพยายามศัลยกรรมไปมากมาย แต่กลับโดนเขาปฏิเสธไปหมด เขาเหมือนกับว่าเป็นโรคออทิสติกยังไงอย่างงั้น ไม่ยอมสื่อสารกับใคร วัน ๆ เอาแต่หลบอยู่ในห้องทดลอง แต่ก็ได้ช่วยเหลือการพัฒนาทางการแพทย์ของประเทศเราไว้เป็นอย่างมากเลย พอทุกคนเห็นว่าเขายืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ก็เลยไม่บีบบังคับเขาอีกเลย”
คำพูดของเรณุกาทำให้นรมนตกใจเล็กน้อย
นี่จณัตว์คนนี้ยังมีจุดที่เหมือนกับเธอด้วยนะเนี่ย
พอเธอหันหน้ากลับไปก็เห็นดวงตาที่มีแววครุ่นคิดอยู่ของบุริศร์ จึงอดไม่ได้แล้วถามขึ้นว่า “กำลังคิดอะไรอยู่คะ?”
“กำลังคิดว่าจะเข้าไปหาจณัตว์ในงานเลี้ยงได้ยังไง”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ภายในงานนี้มีแต่คนที่รู้จักพวกเขาสองคนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกล้าณรงค์หรือพรินทร์ หรือว่าสมชัย ขอแค่พวกเขาโผล่หน้าออกไป ถึงจะปลอมตัวได้ดีแค่ไหนก็จะโดนคนมองออกอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นที่รังสีอินฟราเรดสแกนมาเมื่อกี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเปิดเผยตัวตนของพวกเขาสองคนออกไปแล้ว กลัวว่าแค่ออกไปก็คงจะโดนคนมาจับตัวไปเลย
เรณุกากลับพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ฉันรู้จักทางออกจากห้องลับอีกทางหนึ่ง สามารถทะลุไปถึงสวนดอกไม้หลังตำหนักของพระราชาได้ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่กลุ่มทหารองครักษ์ของพ่อฉันมาเปลี่ยนเวรกัน แต่ว่าพอออกไปแล้วจะติดต่อกับจณัตว์ยังไงนั้นฉันก็หมดหนทางแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นคนบาปคนหนึ่งในสายตาของพวกพ่อฉัน เป็นเศษสวะตัวหนึ่งที่ยังเทียบกับสาวใช้คนหนึ่งก็ยังไม่ได้ และแน่นอนก็คงจะไม่มีสิทธิ์พูดและไม่มีสิทธิ์อะไรอยู่แล้ว”
และนี่ก็คือความเจ็บปวดในชีวิตนี้ของเรณุกา
บุริศร์และนรมนอึ้งไปเล็กน้อย ในใจล้วนมีความลังเลอยู่เล็กน้อย
คำพูดที่เรณุกาพูดมาในตอนนี้ตกลงจะเชื่อถือได้หรือไม่?
ถ้าเกิดเธอเป็นอย่างเมื่อก่อน ที่ได้ติดต่อกับพวกสมชัยไว้ก่อนแล้ว มาตอนนี้พอพาเธอกับบุริศร์ออกไปแล้วไม่แน่ก็อาจจะมีคนมาจับตัวไปเลยก็ได้
แต่ว่าถ้าที่เธอพูดมาเป็นความจริงล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นนรมนหรือว่าบุริศร์ต่างก็รู้ดีทั้งนั้น ว่าตัวเองไม่สามารถอยู่แต่ในห้องลับนี้ได้
ภารกิจของธรรศนั้นชัดเจนมาก ว่าเป็นพวกเด็กผู้หญิงพวกนี้ ขอแค่เด็กสาวพวกนี้อยู่ในมือสมชัยวันหนึ่ง พ่อของพวกเธอก็จะโดนข่มขู่เพิ่มอีกวันหนึ่ง หนำซ้ำอาจจะมีข้าราชการระดับสูงต่าง ๆ ของนานาประเทศที่อาจจะทำเรื่องอะไรออกมาก็ได้เพื่อลูกสาวของตัวเอง
ถ้าหากสมชัยอยากจะใช้ประเทศอื่น ๆ มาต่อกรกับประเทศเราละก็ เรื่องนี้ก็คงจะไม่ใช่ง่าย ๆ แล้ว
ตอนนี้คิดว่าพระราชาของประเทศเราก็คงจะรู้เรื่องอะไรเข้าแล้ว ถึงได้ส่งธรรศมาแอบตามหาคนอย่างลับ ๆ ทางนี่ และยังให้พาคนออกไปด้วย มาตอนนี้เด็กสาวพวกนี้ก็ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว บุริศร์เป็นทหาร แน่นอนว่าจะต้องช่วยให้สำเร็จอยู่แล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็จดจ้องไปที่เรณุกานิ่ง แล้วพูดทีละประโยคทีละประโยคขึ้นว่า “ผมจะสามารถเชื่อถือคุณได้ไหม? ตอนนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณบอกผมมา ผมบุริศร์สามารถเชื่อถือคุณเรณุกาได้หรือเปล่า?”
นี่คือโอกาสครั้งหนึ่งที่บุริศร์ให้กับเรณุกา
ถ้าหากว่าเธอสามารถช่วยเขาให้ปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จ แล้วส่งตัวเด็กสาวพวกนี้ออกไปได้อย่างปลอดภัยละก็ งั้นเขาก็จะช่วยเธอขอร้องต่อหน้าธเนศพล ให้เธอได้ทำคุณไถ่โทษ
ถึงแม้ว่าวันเวลาข้างหน้าจะต้องอยู่แต่ในกรงเหล็ก แต่สุดท้ายแล้วก็ยังสามารถรักษาหนึ่งชีวิตของเธอไว้ได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าโอกาสนี้ตัวเรณุกาเองจะต้องการหรือเปล่า
เห็นได้ชัดว่าเรณุกาเข้าใจความหมายของบุริศร์ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยและดีใจขึ้นมาเล็กน้อย
คนเราถ้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แล้วใครจะยังอยากตายอีกล่ะ?
ถึงแม้ว่าต่อไปจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีอิสระ แต่ว่าเมื่อเคยทำผิดมาก่อนก็จะต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนไม่ใช่เหรอ? ถ้าหากไม่ต้องใช้ความตายมาจ่ายแทนละก็ แน่นอนว่าเธอก็ยังอยากเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
“ฉันขอสาบานด้วยชีวิต ฉันไม่มีทางทรยศพวกเธอแน่ ไม่มีทางหักหลังพวกเธอหรอก”
“สาบานจะไปมีประโยชน์อะไร? บนโลกใบนี้สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดก็คือคำสาบาน ฉันคิดว่าเมื่อก่อนคุณก็คงเคยอยู่เคียงข้างและพูดกับคุณพ่อสามีว่าจะปกป้องดูแลตระกูลโตเล็กตลอดไปอยู่นะ”
นรมนพูดขัดคำพูดของเรณุกาไปอย่างเย็นชา
บุริศร์จะให้โอกาสหล่อน เธอก็พูดอะไรไม่ได้เพราะสามีทำอะไรภรรยาก็ต้องทำตามอย่างนั้น แต่ว่าจะเอาคนที่สำคัญเช่นนี้หรือกระทั่งยังมีชีวิตตัวเองและของบุริศร์ไปมอบไว้ในมือของเรณุกาอย่างไม่หวาดระแวงอะไรเลยแบบนี้ นรมนไม่กล้าที่จะเสี่ยงอันตรายแบบนี้
เรณุกาจ้องมองนรมน และรู้ถึงสิ่งที่นรมนคิดวิเคราะห์อยู่ ถ้าเป็นเธอละก็ คำพูดที่เธอพูดอาจจะยิ่งไม่น่าฟังมากกว่านี้อีก
“งั้นเธอว่ามาเลยจะต้องทำยังไงถึงจะเชื่อใจฉัน?”
“กินยาพิษนี้เข้าไปซะแล้วฉันจะเชื่อคุณ ฉันจะบอกคุณไว้ก่อนนะ ว่ายาพิษนี้ฉันไม่มียาถอนพิษหรอกนะ แต่ว่าถ้าคุณไม่ได้หลอกฉันกับบุริศร์ละก็ ฉันก็จะตามหาคนคนนั้นแล้วขอยาถอนพิษมาถอนพิษให้กับคุณแน่ แต่ว่าถ้าคุณหลอกฉันกับบุริศร์ละก็ คุณก็รอให้ยาพิษออกฤทธิ์จนตายไปเถอะ”
ยาพิษนี้คือยาที่หมอหนุ่มคนนั้นที่มาช่วยรักษาโสธรให้เธอไว้ก่อนไป ตอนนั้นเขาบอกว่าอยู่ในวังนี้จะต้องระมัดระวังให้ถึงที่สุด ถ้าหากพบคนที่สามารถใช้งานได้แต่ไม่มั่นใจว่าจะควบคุมได้หรือเปล่า ก็ให้เอายานี้ให้เธอกินหนึ่งเม็ด หลังเสร็จเรื่องแล้วเขาจะให้ยาถอนพิษเธอเอง
ตอนนั้นนรมนยังรู้สึกว่าหมอคนนี้ดูมีความหมายมาก แต่ว่าพอคิดว่าเก็บของอย่างนี้ไว้อันหนึ่งก็ยังสามารถเอาไว้ใช้ป้องกันตัวได้ ก็เลยรับไว้ และคิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้เอาออกมาใช้จริง ๆ
สำหรับยาพิษที่นรมนเอาออกมานั้นบุริศร์อึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
สำหรับเขาแล้ว นรมนพูดอะไรก็คืออย่างนั้น เรณุกาสำหรับเขานั้นยังไงก็สำคัญสู้ภรรยาตัวเองไม่ได้ และอีกอย่างเมื่อก่อนเรณุกาได้ทำเรื่องที่เกินเลยกับนรมนมากขนาดนั้น ถ้านรมนจะเก็บดอกเบี้ยคืนสักหน่อยมันก็สมควรอยู่
พอเห็นว่าบุริศร์ไม่ได้พูดอะไร เรณุกาก็รู้ความหมายของบุริศร์แล้ว
เธอรับยาพิษในมือนรมนมาอย่างไม่ลังเลอะไรเลยสักนิด แล้วก็โยนเข้าปากและกลืนลงไปต่อหน้าพวกเขาเลย
พอนรมนเห็นเป็นแบบนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก
เรณุกาพูดอะไรกับเด็กสาวพวกนี้ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็พานรมนและบุริศร์เดินไปทางข้างหน้า
ตลอดทางทั้งสามคนต่างก็เงียบขรึมกันตลอด
ความในใจของนรมนนั้นซับซ้อนมาก แต่ก็ไม่ได้อยากจะคิดมากซะเท่าไหร่ เพียงแต่แค่จับมือบุริศร์ไว้แน่น ปล่อยให้มือกว้างใหญ่ของเขากุมมือเล็ก ๆ ของตัวเองไป ถึงแม้ว่าห้องลับจะมืดและหนาวแต่ก็ไม่ได้รู้สึกน่ากลัว
ทั้งสามคนเดินไปประมาณสิบกว่านาที แสงสว่างแสงหนึ่งก็ส่องเข้ามา แล้วก็มาถึงตรงทางออกแล้ว
“ที่นี่สิบห้านาทีจะเปลี่ยนเวรครั้งหนึ่งแล้ว วันนี้เป็นงานเลี้ยงของประเทศ ทหารยามก็จะต้องเข้มงวดหน่อยเป็นธรรมดา พอพวกเธอตามฉันออกไปแล้วก็ไปรออยู่ที่บ้านเล็ก ๆ ทางโน้นสักสิบห้านาที ฉันจะไปพยายามหาชุดทหารยามมาให้พวกเธอสักสองชุด แต่ว่าพวกเธอจะเดินตามกลุ่มทหารลาดตระเวนไม่ได้ เพราะว่ากลุ่มทหารลาดตระเวนทุกคนได้ลงทะเบียนไว้หมดแล้ว และที่สำคัญตอนที่ออกไปเปลี่ยนเวรนั้นจะต้องผ่านการสแกนนิ้วยืนยันตัวตนให้สำเร็จถึงจะเข้าไปในห้องโถงใหญ่ได้ ที่ให้พวกเธอใส่ชุดทหารยามไว้ก็เพื่อไม่ให้พวกเธอโดนคนอื่นพบตัวเร็วเกินไปเท่านั้น สำหรับเรื่องที่จะเข้าไปหาจณัตว์ให้เจอได้ยังไงนั้นฉันก็ไม่มีวิธีแล้วจริง ๆ”
เรณุกาพูดไปอย่างรวดเร็ว
บุริศร์และนรมนพยักหน้าเล็กน้อย
“อีกเดี๋ยวคุณก็กลับไปเถอะ พวกเด็กสาวในห้องลับยังต้องการการปกป้องดูแลอยู่ ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าข้างในนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่าเพื่อป้องกันเผื่อไว้ ก็หวังว่าคุณจะสามารถเฝ้าอยู่เคียงข้างพวกเขาได้”
บุริศร์จ้องมองเรณุกาแล้วพูดเสียงต่ำขึ้น
“ได้”
เรณุกาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เอาป้ายหยกออกมาจากเอวอันหนึ่ง
“ช่วงหลายปีมานี้ฉันไม่ได้อยู่บ้าน มาตอนนี้พอได้กลับมาแล้วแต่ก็เป็นเหมือนกันคนนอกคนหนึ่ง นี่เป็นของที่แม่ฉันทิ้งไว้ให้ฉัน และฉันก็เก็บไว้ติดตัวมาตลอด ตอนนี้เอาให้นายแล้ว นายเก็บเอาไว้นะ ที่ห้องครัวของที่นี่มีหัวหน้าแม่ครัวคนหนึ่งชื่อเพชรี เมื่อก่อนฉันเคยช่วยชีวิตหล่อนไว้ แล้วหล่อนก็รู้จักป้ายหยกอันนี้ของฉัน พวกเธอเอาป้ายหยกอันนี้ไปหาหล่อน บางทีหล่อนอาจจะช่วยพวกเธอได้”
คำพูดของเรณุกาทำให้นรมนอึ้งไปครู่หนึ่ง บุริศร์ไม่ได้ยื่นมือไปรับเธอก็เลยรับมาเองเลย
“ของคุณค่ะ”
ก็จริงอยู่ที่เธอเกลียดเรณุกา แต่ว่ามารยาทที่ควรมีก็ต้องมีเหมือนกัน
เรณุกาพยักหน้าเล็กน้อย และสุดท้ายก็มองบุริศร์ทีหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปหาเสื้อผ้าของทหารยามเลย
นรมนจ้องมองแผ่นหลังของเธอ แล้วก็ถามเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณว่าเธอเชื่อถือได้จริง ๆ หรือเปล่าคะ?”
“จะเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้ พวกเราก็ไม่มีทางเลือกแล้ว”
บุริศร์ก้มหน้าลงแล้วเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาโน้ตบุคย่อส่วนออกมา แล้วก็เปิดเคาะพิมพ์รหัสลงไปอย่างรวดเร็ว
นรมนดูการกระทำของเขาไม่ออก แต่ก็รู้ว่าบุริศร์จะไม่ทำงานไร้ประโยชน์แน่ แต่ก็ยังถามเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณมาใช้คอมพิวเตอร์ในเวลาแบบนี้ ไม่กลัวโดนคนตรวจจับเจอร่องรอยเหรอคะ?”
“ไม่มีวิธีแล้ว? ถ้าเทียบกับการเสี่ยงชีวิตไปตามหาจณัตว์เลย ไม่สู้ค้นหาเขาบนโลกอินเทอร์เน็ตได้ง่ายกว่า และที่สำคัญงานเลี้ยงของประเทศนี้ก็ยิ่งใหญ่ซะขนาดนี้ ข้างในต้องมีคนตั้งมากมาย พวกเราจะไปตามหาคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันเลยได้จากที่ไหน? แค่เอาตามที่เรณุกาบอกมาตามหาผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่หน้ากากอยู่เหรอ? นี่มันก็จะเท่ากับงมเข็มในมหาสมุทรเลย ผมเป็นแฮกเกอร์ ขอแค่จณัตว์เคยใช้ชื่อจริงลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์มาก่อน ผมก็จะมีวิธีที่สามารถติดต่อเขาได้แน่”
บุริศร์พูดไปด้วยก็เข้าสู่ระบบไปด้วยเลย ตัวเลขแต่ละชุดเลื่อนไปมาบนหน้าจออย่างรวดเร็ว
นรมนรู้สึกว่าบุริศร์หล่อมากมาตลอด แต่ตอนนี้เขายิ่งทำให้คนละสายตาจากไปไม่ได้เลย
แล้วในขณะที่เธอกำลังลุ่มหลงอยู่กับความหล่อของใบหน้าด้านข้างของบุริศร์นั้น เสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบชุดหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง และเสียงเหมือนกับว่าจะเดินมาทางพวกเขาเดี๋ยวนี้แล้ว
ใจของนรมนกระตุกขึ้นมาทันที
หรือว่าเรณุกาจะทรยศพวกเขา แล้วพาคนมาเหรอ?