นรมนไม่เห็นแววตาอาฆาตของบุริศร์ ยังคงจมดิ่งในความทรงจำ พูดพลางร้องไห้ “คุณไม่รู้ตอนที่กานต์เกิดน้ำหนักห้าขีดกว่าเท่านั้น ตอนนั้นหมอบบอกกับฉันเด็กขาดสารอาหาร และยังขาดแคลเซียม ตอนนั้นฉันแทบล้มทั้งยืน รอบตัวฉันไม่มีใคร มีแต่พยาบาลคนเดียว และยังคอยคิดจะเอาชีวิตลูกฉันตลอดเวลา ฉันไม่กล้านอน ไม่กล้าวางใจ กระทั่งไม่กล้าเข้าห้องน้ำ ฉันกลัวแค่กะพริบตาลูกก็จะไม่อยู่แล้ว ลูกสาวยังเป็นตายเท่ากัน ลูกชายถ้าหากเป็นอะไรไป ฉันไม่รู้ตัวเองจะกล้ามีชีวิตอยู่ต่อไปมั้ย”
“อย่าพูดอีกเลย ครั้งนี้ไม่มีทาง ผมจะเป็นเพื่อนคุณเอง อยู่เคียงข้างคุณกับลูกๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ยอมให้ใครทำอันตรายคุณกับลูกๆ”
บุริศร์กอดนรมน หางตารื้นน้ำตา
เขารู้ว่านรมนลำบากแค่ไหน และรู้ว่าตอนนั้นนรมนคลอดลูกลำบากแค่ไหน เขาเคยสืบข่าวแล้ว แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่สืบไม่ได้ ถ้าหากวันนี้นรมนไม่พูด เขาไม่มีทางรู้ว่าตระกูลวัชโรทัยทำกับภรรยาของเขาเกินไปมากขนาดนี้
เมื่อก่อนเห็นแก่ที่รเมศดูแลนรมนสามคนแม่ลูกห้าปี เขาถึงได้ยั้งมือไว้ ตอนนี้เห็นทีจะพลาดไปแล้ว
ถ้าหากเขารู้เช่นนี้แต่แรก บุริศร์จะทำให้ตระกูลวัชโรทัยหายไปจากโลกนี้ทันที
นรมนร้องไห้เจ็บปวดในอ้อมกอดของบุริศร์
“ฉันคิดถึงกานต์ คิดถึงกมล คิดถึงกิจจา เมื่อไหร่คุณจะพาพวกเขากลับมาคะ”
“หม่ามี้”
ในห้องจู่ๆ ก็มีเสียงกานต์ดังขึ้น ทำเอานรมนสะดุ้งตกใจ คิดว่าตัวเองฝันไป
“คุณดูสิ ฉันคิดถึงลูกๆ จนเพ้อไปแล้ว ฉันได้ยินเสียงของกานต์”
กานต์ที่อยู่ข้างหลังเห็นนรมนร้องไห้เหมือนเด็กๆ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหม่ามี้ร้องไห้อย่างนี้
ที่แท้ตอนที่ตัวเองเกิดทำให้หม่ามี้เป็นห่วงขนาดนี้หรือ
กานต์พูดขึ้นอีกครั้ง
“หม่ามี้ ไม่ใช่เพ้อไป ผมกลับมาแล้วจริงๆ”
นรมนชะงัก จากนั้นก็ผลักบุริศร์ออก ตอนที่เธอเห็นกานต์ ก็รีบกางสองแขน
“ลู หม่ามี้คิดถึงลูกจะแย่แล้ว”
กานต์ฉีกยิ้ม จากนั้นก็รีบโผเข้าไปกอดนรมน
“หม่ามี้ ผมก็คิดถึง”
บุริศร์รู้สึกอิจฉา
เขาถูกทิ้งอย่างนี้เลยหรือ
แต่เมื่อเห็นภรรยากับลูกชายใกล้ชิดกัน ในใจก็รู้สึกอบอุ่น
นี่คือครอบครัวที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา ต่อไปเขาจะต้องปกป้องดูแลพวกเขาให้ดี
นรมนลูบตัวกานต์ที่อบอุ่น ถึงได้รู้ว่าเป็นความจริง
“ลูกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกหม่ามี้ก่อนสักคำ กมลกับกิจจาล่ะ พวกเขากลับมาด้วยมั้ยจ๊ะ”
นรมนรีบมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเงาของเด็กทั้งสองคน
กานต์รีบพูด “กมลสมัครเรียนคลาสที่สนใจ ช่วงนี้ยังไม่กลับมาครับ ส่วนกิจจารับงานคลินิกฟรี ตามคณะแพทย์ไปตรวจคนไข้ฟรีครับ”
เขาไม่ได้บอกหม่ามี้ กิจจาติดตามคณะอาสาสมัครไปแอฟริกา ช่วงนี้ถ้าให้นรมนรู้ละก็ จะต้องเป็นห่วงแทบขาดใจแน่
แด๊ดดี้บอกแล้ว หม่ามี้ท้องครั้งนี้ยังไม่มั่นคง อารมณ์แปรปรวนเกินไปไม่ได้
นรมนถามอย่างเป็นห่วง “กิจจามีคนติดตามไปด้วยหรือเปล่า”
“มีครับ คุณอาวินเซนต์ให้บอดี้การ์ดติดตามกิจจาไปด้วย ไม่เป็นครับ”
“ดีแล้วจ้ะ”
นรมนค่อยโล่งใจ
แม้จะไม่ได้เจอหน้ากิจจากับกมล แต่ได้เจอหน้าลูกชายกานต์ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
“น้องสาวลูกเป็นยังไงบ้าง คลาสที่ชอบคืออะไร เธอชอบกินไม่ใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ กานต์ก็รู้สึกจนใจ
“ช่วงนี้เธอชอบเล่นไวโอลินครับ”
คิดถึงเด็กผู้ชายคนนั้นที่ทำให้กมลคอยตามแจ กานต์ก็ไม่ชอบใจ
เจ้านั่นชื่อธนธี ดูก็รู้มีเจตนาไม่ดีกับน้องสาว แต่จนใจที่เจ้าเด็กตะกละนั่นดูไม่ออก พูดอยู่ได้ธนธีดีอย่างงั้นอย่างงี้ ไวโอลินก็เล่นเก่ง อะไรๆ ก็ดีกว่าเขาพี่ชายคนนี้
ทำเอาเขาโมโหชะมัด
ผู้หญิงโตแล้วต้องออกเรือน!
กานต์คิดแล้วก็โกรธ แต่ก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับนรมน ถ้าหากให้หม่ามี้รู้ว่าผักกาดขาวของตัวเองเล็กขนาดนี้ก็ถูกคนจ้องจะเก็บแล้ว ไม่รู้ว่าจะกังวลขนาดไหน
เรื่องนี้เขาจะแก้ไขเอง ไม่ให้หม่ามี้โกรธจนมีผลต่อครรภ์
กานต์คิดอย่างนี้ ยิ้มยิ่งอ่อนโยน
“หม่ามี้อยากดื่มน้ำมั้ยครับ ผมจะไปรินน้ำให้”
นึกถึงที่นรมนพูดเมื่อกี้ตัวเองเพิ่งเกิดไม่นานก็ถูกน้ำร้อนลวก เขาก็เข้าใจได้หม่ามี้เสียใจมากแค่ไหน
ต่อไปเขาต้องเชื่อฟังหม่ามี้ จะให้หม่ามี้บาดเจ็บและเสียใจไม่ได้
นรมนส่ายหน้า โอบกานต์เข้ามาในอ้อมกอด กานต์ดิ้นรนนิดหนึ่ง
“หม่ามี้ ผมหนักแล้ว ปล่อยผมลงเถอะ”
นรมนรู้สึกจริงๆ ว่าลูกชายสูงขึ้น น้ำหนักก็เพิ่มขึ้น แต่ก็พูดอย่างดีใจ “ไม่เป็นไรจ้ะ ลูกตัวเท่าไหร่เอง ไม่หนักมากหรอก ไม่ทับหม่ามี้แบน หม่ามี้คิดถึงลูก อยากกอดให้ชื่นใจ”
พูดจบนรมนก็สังเกตเห็นใบหน้ากานต์แดงขึ้น
โอ๊ย เด็กบ้าเขินซะแล้ว
นรมนคิดอยากจะแหย่ซะหน่อย เธอก้มหน้า หอมแก้มกานต์ฟอดหนึ่ง บุริศร์กับกานต์ต่างอึ้งไป
บุริศร์หึงซะแล้ว
นั่นมันจูบของเขา! ของเขา!
กานต์รู้สึกเขิน
ริมฝีปากหม่ามี้นุ่มไปมั้ย
นรมนมองพวกเขาสองคน จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา
“ลูกชายฉันน่ารักจัง”
เธอขยี้หัวกานต์ อารมณ์ดีมาก แต่กลับเห็นบุริศร์ขวางหูขวางตา
“คุณจะไปติดตามความเคลื่อนไหวของนภดลไม่ใช่หรือคะ รีบไปเถอะ อย่างรบกวนเราสองคนแม่ลูกจะเปิดใจคุยกัน”
ท่าทางนรมนรังเกียจอย่างนี้ยิ่งทำร้ายบุริศร์
“ที่รัก คุณไม่รักผมแล้วเหรอ”
“ลูกชายเป็นเลือดเนื้อของฉัน เขาอยู่ตรงนี้ ฉันจะรักคุณไปทำไม รีบไปเลย เดี๋ยวปาณีเตรียมพร้อมแล้วยังต้องมาถามคุณเรื่องภารกิจอีกนะ”
คำพูดไม่แยแสของนรมนทำให้บุริศร์รู้สึกเจ็บอีกครั้ง
กานต์ดีใจมากกับท่าทีของหม่ามี้ มือเล็กยื่นออกไป โอบคอของนรมน ยิ้มแย้ม “หม่ามี้ ผมก็คิดถึง คิดถึงมากๆ”
“โอ๊ะ ลูกชายเป็นเด็กดี หม่ามี้รักหนูที่สุด”
นรมนพูดจบก็หอมแก้มกานต์อีกที
บุริศร์รู้สึกว่าขืนตัวเองอยู่ต่อจะยิ่งต้องเจ็บกว่านี้ เขาจำใจลุกออกไป
กานต์อยู่เป็นเพื่อนกับนรมนพักหนึ่ง นรมนก็เหนื่อยล้าแล้ว
เห็นหม่ามี้หาวหลายที กานต์พูดอย่างใส่ใจ “หม่ามี้ พักผ่อนก่อนเถอะ ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว รับรองจะได้เห็นผมตลอด หม่ามี้พักผ่อนเยอะๆ ผมถึงจะไม่เป็นห่วง”
“จ้ะ”
นรมนรู้ว่าลูกชายรู้ความ และไม่อยากให้ลูกชายเป็นห่วง ก็อุ้มกานต์ลงจากเตียง เห็นกานต์ปรับอุณหภูมิแอร์เหมือนบุริศร์ แล้วขยับชายผ้าห่มให้นรมน ท่าทางอบอุ่นนั้นทำให้นรมนสงสารเหลือเกิน
“หม่ามี้ เดี๋ยวเจอกันครับ”
กานต์ยิ้มสดใส เข้าไปในหัวใจ
“เดี๋ยวเจอกันจ้ะ”
นรมนยิ้มที่มุมปาก หลับตาลงช้าๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ
กานต์เห็นหม่ามี้หลับจริงๆ แล้ว ถึงค่อยย่องออกจากห้อง ก็มาที่ห้องหนังสือของบุริศร์
“หม่ามี้หลับแล้วหรือ”
บุริศร์เห็นลูกชายเข้ามา ก็ถามขึ้น
“ครับ หลับไปแล้ว”
กานต์พยักหน้า ดวงตาค่อนข้างเคร่งขรึม
“แด๊ดดี้ ต่อไปดีกับหม่ามี้ของผมหน่อย เธอเกือบตายเพราะคลอดลูกให้แด๊ดดี้”
บุริศร์อดไม่ได้ที่จะตะลึง
“ลูกต้องบอกด้วยหรือ นั่นภรรยาฉันนะ”
“เมื่อก่อนไม่เคยเห็นแด๊ดดี้จะดูแลใส่ใจภรรยาเลย”
กานต์ตำหนิบุริศร์ บุริศร์ถึงกับพูดไม่ออก
“เด็กบ้า แก…”
“อีกอย่าง ดูแลลูกสาวสุดที่รักด้วย”
กานต์นั่งลงตรงหน้าบุริศร์ท่าทางเดือดปุดๆ
“แด๊ดดี้วางใจได้ยังไง โยนพวกเราไว้ทางนั้น ให้คุณอาวินเซนต์ดูแล ไม่รู้หรือลูกสาวตัวเองทำตัวยังไง”
คำพูดของกานต์ทำให้บุริศร์อึ้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นกานต์ทำท่ารังเกียจกมลแบบนี้
“กมลเป็นอะไรไป”
“แด๊ดดี้เป็นพ่อคนอื่นหรือไง ถึงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมเป็นแค่เด็กนะอย่าลืมสิ”
กานต์รู้สึกน้อยใจขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่บุริศร์เห็นลูกชายงอนตัวเองอย่างนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้
“มาๆๆ เล่าให้แด๊ดดี้ฟังหน่อย กมลรังแกอะไรลูก”
บุริศร์พูดพลางก็อุ้มกานต์มานั่งที่ต้นขา
กานต์อิดออดนิดหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ลูกสาวแด๊ดดี้ถูกคนหลอกไปแล้ว”
“ใครกัน ใครกล้าหลอกลูกสาวฉัน”
บุริศร์รู้สึกร้อนใจ
กานต์พูดขึ้นโมโห “ธนธี! คนที่เล่นไวโอลินนั่น วันๆ เอาแต่เล่นไวโอลินที่ตรงข้ามบ้านเราล่อลวงกมล เด็กโง่นั้นถูกเขาหลอกไม่กี่ทีก็ตามเขาไปแล้ว แล้วยังไปสมัครเรียนไวโอลินอะไรนั่นอีก ให้ตายก็ไม่ยอมกลับมา แด๊ดดี้รีบๆ จัดการเถอะ ผมหมดวิธีแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ กานต์ก็ทำปากจู๋ ท่าทางโมโหมาก
บุริศร์รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
“ธนธี หรือ ธนธีไหนกัน”
“ก็คนที่ให้หยกกมลไงครับ แด๊ดดี้ให้คนส่งคืนไปแล้วไม่ใช่หรือ ไอ้บ้านี้ทำไมยังยุ่งไม่เลิกอีก
คำพูดของกานต์ทำให้บุริศร์ถาม “ทำไมนายไม่ชกมันล่ะ”
“คิดว่าผมไม่ทำหรือไง อย่าพูดเลย ผมอัดมันแล้ว กมลร้องห่มร้องไห้ แล้วยังให้ผมขอโทษธนธีอีก ลูกสาวแด๊ดดี้โง่มั้ยล่ะ”
กานต์ยิ่งพูดยิ่งน้อยใจ
ไอ้หน้าขาวถูกเขาต่อยไม่เกินสามหมัดก็ไม่รอดแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาจีบน้องสาวเขา
น่าแค้นที่สุดคือ กมลเห็นไอ้หน้าขาวนั่นเหมือนของล้ำค่าอย่างนั้นเดินตามมันต้อยๆ เขาลากก็ไม่ยอมกลับ เขาพูดเบาก็ไม่สนใจ พอพูดหนักกมลก็ร้องไห้อีก
เขาลำบากใจมาก
บุริศร์ได้ยินกานต์พูดอย่างนี้ ถึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญ
“ลูกไม่ได้เล่าให้หม่ามี้ฟังใช่มั้ย”
“แด๊ดดี้เห็นว่าผมเป็นกมลหรือไง”
กานต์พูดจาหงุดหงิด
น่าโกรธชะมัด!
กมลเกิดพร้อมกับเขา ทำไมไอคิวอีคิวถึงต่างกับเขามากขนาดนี้
บุริศร์รีบโทรไปหาวินเซนต์
ล้อเล่น
เขาส่งลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจให้วินเซนต์ดูแล แต่เขากลับปล่อยให้ลูกสาวเขาไปไหนกัน
ยังไม่ต้องพูดไอ้บ้านั่นคือใคร ตอนนี้กมลผักกาดขาวต้นนี้ถูกขุดไปแล้วยัง
ทำได้หรือเปล่า
บุริศร์อยากจะอัดวินเซนต์เสียตอนนี้ จริงๆ เลย ผักกาดขาวของเขายังไม่โตนะเข้าใจมั้ย!