แต่บุริศร์ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่มองชินทร พบว่าเขากำลังนั่งกระซิบกระซาบกับคิมอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเหมือนปกติ จึงจับมือของนรมนแล้วพูดขึ้น: “เดิมทีสุขภาพคุณก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ ตอนนี้ยังจะทรมานตนเองอย่างนี้อีก ในเมื่อกินข้าวเสร็จแล้วก็กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”
“ฉัน……”
จริงๆนรมนยังอยากจะคุยกับพ่อแม่อีกหน่อย แต่เห็นทั้งสองคนตัวติดกันอย่างนี้ จึงรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกินแล้วจริงๆ
เอาเถอะ พวกเขาไม่ได้เจอกันตั้งนาน ส่วนเธอคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ก็ให้ทั้งสองคนรักกันจนเบื่อไปเลยดีกว่า
“พ่อแม่คะ หนูกับบุริศร์กลับห้องก่อนนะคะ กานต์ ไป หม่ามี้จะดูการเรียนของลูกในช่วงนี้หน่อย”
ก่อนเดินไปนรมนก็ไม่ลืมที่พากานต์ไปด้วย
สีหน้าของคิมแดงระเรื่อ เขินอายอย่างเห็นได้ชัด
นรมนรู้สึกว่าท่าทางอย่างนี้ของคิมดีกว่าท่าทีเย็นชาเมื่อก่อนเยอะเลย
พ่อเป็นยาชั้นดีของแม่อย่างที่คิดเอาไว้เลย เพียงแต่พิษร้ายในร่างกายของแม่วันหน้าเธอต้องถามจณัตว์หน่อยแล้ว
หลังจากสามคนพ่อแม่ลูกกลับมาที่ห้อง กานต์ค่อนข้างกลัดกลุ้ม อยู่ข้างล่างเห็นคุณตาคุณยายรักกัน ขึ้นมาข้างบนแล้วยังต้องเห็นแด๊ดดี้หม่ามี้รักกันอีก ช่างน่าเบื่อจริงๆเลย
“หม่ามี้ จะตรวจการบ้านอะไรของผม?”
กานต์มาที่ข้างกายของนรมน แต่กลับโดนบุริศร์ดึงคอเสื้อลากไปนั่งบนตักของตนเอง
“หม่ามี้ลูกสุขภาพไม่แข็งแรง อุ้มลูกไม่ได้ มาอยู่บนตักแด๊ดดี้ดีกว่า”
ได้ยินบุริศร์พูดอย่างนี้ กานต์จึงเหยียดหยามสุดๆ อยากจะบอกว่าแต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่เคยชอบตักของแด๊ดดี้เลย
ไม่สิ เขาไม่เคยคิดจะให้หม่ามี้อุ้มต่างหาก
กานต์รู้สึกว่าตนเองต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้ กำลังอยากจะพูดอะไร ก็ได้ยินบุริศร์พูดขึ้น: “คืนนี้นอนที่นี่นะ”
คำพูดนี้ทำให้กานต์ตกใจ
ตั้งแต่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นแด๊ดดี้ของตนเอง เขาก็ใช้อำนาจยึดครองหม่ามี้เอาไว้คนเดียว แม้แต่น้องสาวก็ไม่มีโชคที่ทำให้เธอได้นอนในห้องนอนของสองสามีภรรยานี้เลย วันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเหรอ?
นรมนก็ตะลึงงัน
นี่เหมือนไม่ใช่สไตล์ของบุริศร์เลยนะ
เห็นภรรยาและลูกชายมองตนเองอย่างนี้ บุริศร์จึงพูดขึ้นอย่างอึดอัด: “เอ่อก็พ่อบอกว่าด้านนอกหนาวไม่ใช่เหรอ? ผมแค่รู้สึกว่าถ้ากานต์กลับห้องนอนของตนเองมันจะกว้างจนเกินไป อยู่ใกล้ๆพวกเราจะได้สบายใจหน่อยไง”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บุริศร์เป็นห่วงลูกชายของตนเองอย่างนี้?
นรมนกับกานต์พูดเป็นเสียงเดียวกัน: “พูดให้รู้เรื่อง!”
บุริศร์กลุ้มใจขึ้นมาทันที
นี่เขาดูไม่เหมือนพ่อที่แสนดีเลยงั้นเหรอ?
สายตาที่สงสัยกับคำถามที่ยังไม่ได้ถามออกไป ก็ได้ยินกานต์พูดขึ้น: “คุณบุริศร์ มีเรื่องอะไรใช่ไหม? อย่าใช้ผมเป็นข้ออ้าง ตอนที่แด๊ดดี้กับหม่ามี้อยู่กันตามลำพังก็อยากให้ผมออกไปไกลๆจะแย่ ทำตัวผิดปกติอย่างนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ”
นรมนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยมากๆ
บุริศร์กระแอมออกมาด้วยความอึดอัด: “บอกไม่ถูก ก็แค่รู้สึกแปลกๆ คืนนี้วางแผนว่าจะออกไปสืบดู”
“คุณกำลังสงสัยพ่อแม่ฉัน?”
นรมนจับจุดสำคัญได้ในทันที
นี่เป็นคำถามฆ่าตัวตายสินะ บุริศร์ไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบยังไงดี
“คุณบุริศร์ เป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าควรตอบยังไงถึงจะดีที่สุดนะครับ”
กานต์พูดขึ้นอย่างพอใจที่เห็นบุริศร์อึดอัด ทำให้บุริศร์ยิ่งกลุ้มใจขึ้นมาทันที
นรมนเห็นท่าทีของเขาไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงตะลึงงันไปเลย
“กานต์ ไปเล่นที่ห้องข้างๆก่อนนะ หม่ามี้จะคุยกับแด๊ดดี้”
“ครับ”
กานต์รู้สึกถึงโชคชะตาอย่างนี้แต่แรกแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่กระโดดลงมาจากบนตักของบุริศร์แล้วไปที่ห้องข้างๆ
นรมนมองบุริศร์ ถามขึ้นเบาๆ: “ทำไมถึงสงสัยพ่อแม่ฉัน?”
“ก็ไม่ถึงขั้นสงสัยหรอก แค่มีลางสังหรณ์ อยากตรวจสอบดูหน่อย คุณอย่าคิดมากเลย”
ถึงบุริศร์จะพูดอย่างนี้ แต่นรมนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเกิดความสงสัยไปเรื่อยเปื่อย พ่อแม่ต้องมีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาไม่เข้าใจแน่ๆ
สำหรับนรมนการตามหาพ่อแม่กลับมาได้ถือว่าเป็นบุญคุณของสวรรค์จริงๆ ถึงขั้นมีความรู้สึกที่ไม่แท้จริงด้วยซ้ำ ตอนนี้ความรู้สึกนี้ยังไม่ทันหายไป สามีของตนเองก็เริ่มสงสัยพวกเขาซะแล้ว จุดนี้ทำให้นรมนยอมรับไม่ได้
แต่เรื่องราวบนโลกก็เป็นอย่างนี้ ต่อให้ยอมรับไม่ได้ แต่บางครั้งก็ต้องเผชิญหน้า
บุริศร์ไม่สงสัยใครอย่างไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าคิมกับชินทรมีความสำคัญต่อนรมน คงไม่พูดออกไปโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วนแน่ๆ
ตอนนี้บุริศร์ไม่อยากพูด นรมนก็ไม่บังคับเขา ถึงยังไงช้าเร็วก็ต้องได้รู้อยู่ดี
“คุณระวังตัวหน่อยนะ”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์ตะลึงเล็กน้อย แล้วความอบอุ่นก็ทะลักเข้ามาในหัวใจทันที
เขารู้ว่าคิมกับชินทรสำคัญกับนรมน แต่นรมนกลับไม่ซักไซ้ แล้วยังให้เขาระวังตัวอีก นั่นแสดงว่ายอมรับในการกระทำของเขาแล้ว นี่เป็นความเชื่อใจในตัวเขา บุริศร์จะไม่ซาบซึ้งได้ยังไง?
“วางใจเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
บุริศร์จับมือของนรมนเอาไว้ พูดอย่างอ่อนโยน
นรมนพยักหน้า
ยามค่ำคืนเงียบสงัด นรมนได้ยินเสียงแมลงที่ด้านนอก รู้สึกเหมือนอยู่กลางทุ่งกลางสวน ไม่ทันไรก็รู้สึกหนังตาหนักๆ แล้วหลับไปทันที ก่อนจะหลับเธอยังคิดอยู่เลยว่า เมื่อตอนบ่ายตนเองก็นอนไปตั้งนาน ทำไมถึงยังง่วงอยู่อีก?
ยังมีกานต์อีกคนที่หลับไปแล้วเช่นกัน มีแค่บุริศร์คนเดียวที่ยังตื่นอยู่
เขามองนรมนที่หลับสนิท จึงห่มผ้าให้เธออย่างมิดชิด แล้วถึงลุกขึ้น
ก่อนมาที่นี่ เขาขอยาจำนวนหนึ่งกับมิลินส่วนตัว เป็นยาที่ช่วยให้มีพละกำลังสมองปลอดโปร่ง เผื่อเตรียมไว้ใช้ในทุกสถานการณ์ คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้จริงๆ
ถึงจะมีกลิ่นที่ไม่เด่นชัด แต่เขายังพอได้กลิ่นอยู่บ้าง กลิ่นหอมหวานแพร่กระจายอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นของพืชสมุนไพรที่ทำให้จิตใจสงบ
บุริศร์เอายาทาไปที่ขมับของตนเองก่อนแล้วจึงไม่ตกหลุมพรางไปด้วย
ด้านนอกเงียบจนน่าหวาดกลัว เหมือนทุกคนต่างก็จมลงไปในห้วงนิทรา
จู่ๆเสียงฝีเท้าที่ค่อนข้างเบาก็ลอยเข้ามา บุริศร์รีบขึ้นไปบนเตียง โอบนรมนเอาไว้แล้วแกล้งหลับ
เดิมทีประตูที่โดนล็อกจากด้านนอกก็เปิดออกเบาๆ คนสองคนเดินเข้ามาเงียบๆ
“ยาสมุนไพรนี้ไม่มีผลกระทบกับนรมนใช่ไหม? ในท้องของเธอยังมีเด็กอยู่นะ”
เป็นเสียงของคิม
“ไม่เป็นไร ยานี้ค่อนข้างอ่อนโยน แค่ทำให้เธอหลับสนิทมากขึ้นเท่านั้น พรุ่งนี้หาเวลาส่งพวกเขาออกไปเถอะ อยู่ที่นี่ยังไงก็ไม่ปลอดภัย”
เสียงที่กำลังควบคุมอารมณ์ของชินทรพูดขึ้น
คิมมองนรมนอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเดินออกไปกับชินทร
บุริศร์ลืมตาขึ้นมาทันที
ว่าแล้วเชียวพวกเขาจงใจ!
แต่เพราะอะไรล่ะ?
ทั้งคิมและชินทรต่างก็เป็นคนในครอบครัวของนรมน จุดประสงค์ที่ทำอย่างนี้คืออะไร? ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่ให้พวกเขารู้อีก? จึงต้องใช้วิธีอย่างนี้งั้นเหรอ?
บุริศร์เคยสัมผัสกับความเจ็บปวดที่โดนคนใกล้ชิดทำร้ายมาแล้ว เขาจึงไม่หวังให้นรมนต้องทนต่อความเจ็บปวดอย่างนี้เพียงสักครั้ง ดังนั้นคืนวันนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าพวกคิมกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่
ด้านนอกกลับมาสงบอีกครั้ง
บุริศร์ยกผ้าห่มขึ้นเบาๆ แต่กลับโดนมือเล็กๆที่นุ่มนวลคู่หนึ่งดึงเอาไว้
“นรมน?”
บุริศร์มองดวงตาที่ใสแป๋วของนรมน จู่ๆก็ปวดใจ
ไม่นึกว่าเธอจะไม่หลับ!
งั้นคำพูดของชินทรกับคิมเมื่อกี้เธอได้ยินหมดแล้วสินะ?
บุริศร์ยังไม่ได้พูดอะไร นรมนจึงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ต้องระวังตัวนะ ไม่ว่าพ่อแม่ฉันมีเรื่องอะไรปิดบังเราอยู่ คุณก็ห้ามบุ่มบ่าม ฉันไม่ไปกับคุณ จะอยู่ที่นี่กับลูกชายรอคุณกลับมา”
ความเชื่อใจทำให้ในใจของบุริศร์อบอุ่น
“คุณเองก็ต้องระวังตัวนะ”
แม้พวกชินทรจะไม่ทำอะไรนรมน แต่ทุกอย่างมีความเป็นไปได้เสมอไม่ใช่เหรอ? ก่อนที่จะมั่นใจ บุริศร์ไม่กล้าเสี่ยงจริงๆ
เขาหยิบปืนพกบนร่างกายออกมา ส่งไปให้นรมน ถึงจะไม่ได้พูดอะไร แต่นรมนก็เข้าใจความหมายของเขาดี
และยินยอมที่จะไม่มีโอกาสใช้ของสิ่งนี้
“ไปเถอะ ระวังตัวนะ มีเรื่องอะไรให้ติดต่อฉันทันที”
“อื้ม”
บุริศร์จูบลงไปบนหน้าผากของนรมน แล้วเดินออกไปจากห้อง
ด้านนอกไม่มีคนคอยระวังภัย แต่ทั่วทั้งที่นี่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด สิ่งของไฮเทคพวกนี้เฉียบแหลมกว่าคนเยอะเลย
บุริศร์หามุมที่กล้องวงจรปิดจับไม่ถึง แล้วเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็ว
ป่าด้านนอกมืดมิดไปหมด ราวกับสัตว์ร้ายกำลังอ้าปากกว้างๆที่เต็มไปด้วยเลือด รอหาโอกาสเข้าเล่นงาน
บุริศร์เป็นทหารมาก่อน อวัยวะรับความรู้สึกจึงรู้สึกได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆอยู่แล้ว เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังเหยียบเข้าไปในอาณาเขตของสัตว์ร้ายอย่างแน่ชัด ความรู้สึกอึดอัดอย่างชัดเจนทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวขึ้นมาทันที
ตอนนี้แค่ตนเองเคลื่อนไหว คงต้องกลายเป็นมื้ออาหารในจานของอีกฝ่ายแน่ๆ
สัตว์ร้ายที่นี่ติดเชื้อทั้งหมด พละกำลังในการโจมตีจึงรุนแรงกว่าสัตว์ร้ายทั่วไปร้อยเท่า
เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นบนหน้าผากของบุริศร์ เขาคิดไม่ถึงว่าแค่ตนเองออกมาก็จะพบกับความอันตรายเข้าแล้ว ถ้าตอนนี้ทำให้พวกชินทรตื่นจะพูดยังไงดีล่ะ?
ก็ตอนที่บุริศร์ไม่รู้ว่าจะทำยังไง จู่ๆเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นในระยะใกล้ๆ
“คนอยู่นี่!”
มีคนตะโกนออกมา แล้วบุริศร์ก็เห็นร่างๆหนึ่งวิ่งไปทางคนที่ส่งเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนทำให้บุริศร์สงสัยว่าตนเองตาลาย ตามมาติดๆด้วยเสียงร้องที่น่าเวทนา พร้อมเลือดที่ราวกับห่าฝนได้สาดกระจายไปทั่ว กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นคละคลุ้งฟุ้งไปในอากาศ น่าสะอิดสะเอียน
ในใจของบุริศร์ชะงักงันไปทันที
สถานการณ์อย่างนี้ ฉากอย่างนี้จู่ๆก็มีความรู้สึกคุ้นเคย คุ้นเคยจนทำให้เสียวสันหลัง
บุริศร์รู้ดี ตอนนี้ตนเองออกไปจากที่นี่ถึงจะปลอดภัยที่สุด แต่……
เขาเห็นกลุ่มคนเล็กๆกำลังเดินเข้ามาหาซึ่งภายในนั้นมีชินทรกับคิมปรากฏออกมาอย่างฉับพลัน
ไม่ว่าจะยังไง พวกเขาก็เป็นพ่อแม่ของนรมน ถ้าโดนสัตว์ร้ายฉีกเป็นชิ้นๆ เขาจะอธิบายกับนรมนยังไง? จะปลอบใจที่แตกสลายของภรรยายังไง
ถ้าไม่เคยมีมาก่อน เป็นไปได้ว่าก็จะไม่คาดหวังจนเกินไป แต่ถ้ามีแล้วสูญเสียไป บุริศร์ไม่รู้ว่า นรมนจะแบกรับไหวหรือเปล่า
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด เงาที่โหดร้ายกระโดดขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งไปทางชินทรกับคิมทันที
บุริศร์รู้ว่าตนเองลังเลไม่ได้แล้ว ต่อให้วันนี้ต้องเอาชีวิตทิ้งไว้ที่นี่เขาก็ไม่สามารถนิ่งดูดาย ทำเหมือนตนเองไม่เคยมาที่นี่มาก่อนได้
คิดอย่างนี้ บุริศร์จึงรีบพุ่งเข้าไป ขัดขวางการโจมตีของอีกฝ่ายทันที
จู่ๆดวงจันทร์ก็โผล่พ้นออกมาจากหมู่เมฆดำ แสงจันทร์ที่สว่างเจิดจ้าสาดลงมาบนร่างของบุริศร์ จึงทำให้เขาเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
บุริศร์ตกตะลึงไปในทันที
เป็นเขาได้ยังไง?
การเคลื่อนไหวที่ชะงักงัน มือที่เต็มไปด้วยเลือดคู่นั้นราวกับกรงเล็บของเหยี่ยวกำลังคว้าเข้าไปที่คอของบุริศร์……