“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน? ถึงแม้ตระกูลปวนะฤทธิ์จะไม่อยู่ แต่ในบ้านก็ยังมีคนใช้และคนดูแลอยู่นี่ แล้วนี่มันยังไงถึงปล่อยให้ลานบ้านกลายเป็นอย่างนี้ไปได้!”
นรมนพูดอย่างกังวลใจ
ถึงบุริศร์จะไม่พูด แต่คิ้วของเขาก็ผูกกันเป็นปมด้วยความระมัดระวังแล้ว
“คุณรออยู่ในรถ เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูข้างในเอง”
“ไม่เอา”
นรมนปฏิเสธ
เมื่อเห็นสายตาที่แน่วแน่ของนรมน ในที่สุดบุริศร์ก็ถอนหายใจออกมา และพูดว่า “ประเดี๋ยวถ้ามีอันตราย คุณอย่าพุ่งไปข้างหน้า ไม่ว่ายังไงก็ไว้หน้าผู้ชายคนนี้หน่อยนะ ได้ไหม?”
“พูดมั่วๆ”
นรมนหัวเราะเบาๆ มีผู้ชายที่ไหนจะยอมรับว่าตัวเองใช้ไม่ได้? บุริศร์ตอนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งทำให้เธอมีความสุขเสียจริง
บุริศร์สูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไป เขาพบว่าประตูใหญ่ไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ เพียงแค่แขวนไว้ข้างบนตามอำเภอใจ
บุริศร์เปิดประตูใหญ่ก่อนจะก้าวเข้าไป
ข้างในดูไม่ต่างอะไรกับข้างนอก วังเวงเสียจนทำให้คิดว่าถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลาหลายปี น่าจะไม่มีใครอยู่เป็นเวลานานแล้ว
แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวการโยกย้ายของตระกูลปวนะฤทธิ์ และกิจการการเดินรถบนทะเลของตระกูลปวนะฤทธิ์ก็ยังคงดำเนินการอยู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
สายตาของนรมนมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไร
ทั้งสองผ่านเข้าไปยังห้องนั่งเล่นของตระกูลปวนะฤทธิ์อย่างไร้ซึ่งอุปสรรคกีดขวาง
ยังจำได้เมื่องานแต่งงานของเจตต์และขวัญตา ที่นี่รื่นเริงและสวยงาม แต่ตอนนี้มันช่างเงียบเหงาเสียจนทำให้คนปั่นป่วน
ในห้องเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเป็นชั้น ของที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เว้นเสียจากเจ้าของและกลิ่นอายของคน
บุริศร์รีบเดินไปยังห้องทำงาน
ห้องทำงานยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย คอมพิวเตอร์ยังอยู่ แต่ยังมีเอกสารสำคัญอยู่ไหมนี่บุริศร์ก็ไม่รู้
นรมนคอยตรวจสอบอยู่ด้านล่าง
ตระกูลปวนะฤทธิ์ถือได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ในเมืองชลธี การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี่ทำไมถึงไม่มีข่าวออกมา? แล้วคนรับใช้เหล่านั้นละก็ถูกไล่ออกในชั่วข้ามคืนเหรอ?
ถ้าเป็นเช่นนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของชนชั้นสูง ยิ่งกว่านั้นตระกูลปวนะฤทธิ์ยังผูกขาดธุรกิจและเส้นทางเดินเรือทั้งหมดบนทะเล ขอเพียงแต่ทำธุรกิจ ก็ต้องพึ่งเส้นทางเดินเรือบนทะเลของตระกูลปวนะฤทธิ์ถึงจะทำได้ ดังนั้นปกติคนที่สนใจพวกเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ ทำไมเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นแล้วยังเงียบไร้ข่าวคราวได้ละ?
นรมนยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ
เธอค้นหาทุกห้องแล้ว แต่ก็ไม่มีใครสักคน แต่มีสถานการณ์หนึ่งที่ทำให้นรมนสงสัยเล็กน้อย
มีห้องของคนใช้สองคนที่ยุ่งเหยิง ราวกับกำลังจัดเก็บอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่ทันการเสียอย่างนั้น
ไม่ทันเวลา… …
เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้กลายเป็นอย่างนี้?
ใจของนรมนจมลงลงเรื่อยๆ
เดิมทีขวัญตาป่วย และเจตต์ก็พาเธอไปรักษาที่ต่างประเทศ เรื่องนี้ทำให้นรมนเศร้าเล็กน้อย และตอนนี้ตระกูลปวนะฤทธิ์ไม่ได้รับการปกป้อง หัวใจของนรมนหนักอึ้งราวกับถูกหินก้อนใหญ่ขวางทางกดทับเอาไว้
คุณท่านขันธ์ชัยไปไหน?
ตระกูลปวนะฤทธิ์มีคนน้อย มีเพียงคุณท่านขันธ์ชัยและขวัญตาสองคน หลังจากที่ขวัญตาแต่งงานกับเจตต์ คุณท่านขันธ์ชัยก็สบายใจมาก ยุ่งตลอดทั้งวัน แต่ว่าเหตุการณ์ตอนนี้หรือว่าคุณท่านขันธ์ชัยจะ… …
ทันใดนรมนก็ตัวสั่นระริก
ไม่นะ!
ไม่ใช่แน่!
คุณท่านขันธ์ชัยเป็นคนที่พบเจออุปสรรคขวากหนามมามากมาย จะเกิดอะไรกับเขาได้?
นรมนตรวจสอบทุกที่ไม่ว่างเว้น แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไร
บุริศร์ก็ลงมาจากชั้นบนแล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา นรมนก็รู้ว่าบุริศร์อาจจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับเธอ
“ไปที่ห้องของคุณท่านแล้วหรือยังคะ?”
บุริศร์พยักหน้า
“ไปมาแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเลย มันแปลกมาก ที่นี่ราวกับจู่ๆโลกทั้งใบก็ระเหยเป็นไอหายไปเสียอย่างนั้น ไม่เหลือเบาะแสไว้เลยสักนิด”
นรมนกัดริมฝีปากล่าง “ทำไมเราไม่ลองตรวจสอบญาติของคนรับใช้เหล่านี้ละคะ และถามพวกเขาว่าคนใช้อยู่ที่ไหนกัน”
“คุณรู้จักคนรับใช้ตระกูลปวนะฤทธิ์เหรอ?”
จุดนี้ทำให้บุริศร์แปลกใจ
นรมนพูดเสียงต่ำ “ตอนที่พี่ชายแต่งงานฉันเคยเจอคนรับใช้คนหนึ่งค่ะ ชื่อสุนี เธอเป็นคนในพื้นที่ เธอบอกว่ามีแม่อาศัยอยู่ในแถบชานเมือง ฉันว่าฉันจำที่อยู่ได้นะ”
“ถ้างั้นพวกเราไปกัน”
“ค่ะ”
นรมนและบุริศร์รีบออกไปจากบ้านตระกูลปวนะฤทธิ์อย่างรวดเร็วแล้วขับรถตรงไปยังชานเมือง
เมื่อมาถึงบ้านของสุนีแล้ว จมูกของนรมนคละคลุ้งเต็มไปด้วยกลิ่นของยา เธอรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย
บุริศร์ดึงเธอไปอยู่ข้างหลัง ส่วนตัวเองเดินนำหน้าเข้าไปก่อน
“สอบถามหน่อยครับ สุนีอยู่ไหมครับ?”
มีเสียงไอดังมาจากข้างใน พลันหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมา
ใบหน้าของเธอสีเหลืองเหมือนเทียนไข ผมขาวโพลนบ้าง ดูเหมือนว่าเธอจะถูกความเจ็บป่วยจากโรคทรมานชีวิตเอาไม่น้อย
เมื่อเห็นบุริศร์และนรมน หญิงสาวก็ชะงัก ก่อนจะพูดว่า “พวกคุณเป็นใครคะ? มีอะไรถึงได้มาหาสุนี?”
นรมนก้าวออกมาข้างหน้าและพูดว่า “เรามานี่เพื่อหารับจ้างคนทำงานค่ะ ได้ยินมาว่าสุนีขยันขันแข็ง ก็เลยอยากมาถามว่าเธอยังอยู่บ้านหรือเปล่า พอมีเวลามาทำงานที่บ้านของเราไหมบ้างไหม”
เมื่อหญิงคนนั้นได้ยินนรมนพูดแบบนี้ เธอไอสองสามครั้งก่อนพูดว่า “สุนีทำงานอยู่ที่ตระกูลปวนะฤทธิ์ค่ะ เงินเดือนของตระกูลปวนะฤทธิ์สูงมาก และก็ไม่ไกลจากบ้านของเรา คาดว่าคงจะไม่เปลี่ยนงาน พวกคุณถ้าจะมาหาเธอก็ไปที่บ้านตระกูลปวนะฤทธิ์เถอะค่ะ เด็กคนนี้ไม่กลับบ้านมาครึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าช่วงนี้จะยุ่งเกินไปหรือเปล่า แค่กแค่ก”
ผู้หญิงคนนั้นไออย่างรุนแรงหลังจากพูดจบ
บุริศร์กลัวว่าเธอจะแพร่เชื้อโรคอะไรมาให้ เขาดึงนรมนให้ถอยมา ก่อนจะถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณไอตลอดเวลาเลย เป็นหวัดเหรอครับ? ไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลละ?”
“ไปโรงพยาบาลก็ต้องใช้เงินนี่ ฉันป่วยมาได้เดือนกว่าแล้ว แค่กแค่ก เงินที่สุนีเอาไว้ให้ใช้ ฉันต้องเตรียมไว้เป็นสินเดิมของฝ่ายหญิงไว้ให้เธอ เอามาใช้ไม่ได้หรอก ก็แค่ไอนิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอก ฉันต้มสมุนไพรไว้ดื่มเองก็โอเคแล้ว แค่กแค่ก”
หญิงคนนั้นไอขึ้นมาอีกครั้ง
นรมนเห็นเธอไอจนปอดจะหลุดออกมาแล้ว จึงอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ยืดเวลาออกไปไม่ใช่วิธีจัดการนะคะ ไปตรวจที่โรงพยาบาลเถอะ”
“ใช่ครับ เวลาเธอเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าสุนีจะมีคนในใจ ก็อาจจะไม่ได้แต่งงาน”
คำพูดของบุริศร์ทำให้สีหน้าของหญิงคนนั้นเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบพยักหน้าทันที
นรมนถือโอกาสเป็นคนดีช่วยให้ถึงที่สุด เธอโทรหารถพยาบาล ก่อนจะทิ้งเงินเอาไว้ให้ ก่อนจากไปเธอบอกว่าถ้าสุนีกลับมาให้บอกเธอด้วย บอกว่าตระกูลธนาศักดิ์ธนขาดคน
นรมนยังไม่เผยข้อมูลทุกอย่าง อย่างไรบ้านตระกูลธนาศักดิ์ธนในเมืองชลธีก็มีไม่น้อย แต่เธอไม่ได้ระบุว่าเป็นบ้านไหน
ผู้หญิงคนนั้นขอบคุณร้อยครั้งพันครั้ง บุริศร์กลับรีบดึงแขนนรมนขึ้นรถไป
“นี่คุณทำอะไรอยู่?”
นรมนรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของบุริศร์ เธอถามอย่างรวดเร็ว
บุริศร์พูดเสียงต่ำ “ผู้หญิงคนนั้นไอรุนแรงมาก ไม่เหมือนไข้หวัดธรรมดา คุณรีบกลับไปกับผม ผมจะให้มิลินกับวิสุทธิ์ตรวจคุณดู”
“คิดมากเกินไปแล้วค่ะ”
นรมนรู้ว่าบุริศร์ห่วงใยเธอ ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่กลับไม่ห้าม
ทั้งสองรีบกลับมายังบ้านตระกูลโตเล็ก แต่เมื่อคิดถึงพวกลูกๆ ทั้งสองยังไม่ได้เข้าไป กลับกันพวกเขาเข้าไปที่ห้องเก็บไวน์ ก่อนจะให้วิสุทธิ์และมิลินเข้ามาหา
ธเนศพลได้ยินมาว่าบุริศร์กำลังจะไปพบวิสุทธิ์ ข้างนอก ดังนั้นเขาจึงวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินตามเขาไป
“เกิดอะไรขึ้นกัน? บ้านตัวเองยังจะลับๆล่อๆ พวกนายออกไปทำอะไร?”
“นายออกไป!”
เสียงของธเนศพลลอยมาก่อนตัว เมื่อบุริศร์ได้ยินจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า
“วิสุทธิ์ อย่าให้เขาเข้ามา”
น้อยครั้งที่บุริศร์จะพูดจริงจังขนนาดนี้ วิสุทธิ์กับบุริศร์ไม่ได้เพิ่งมาเป็นพี่น้องกันแค่วันสองวัน เขาฟังออกถึงความรอบคอบ กระทั่งขวางธเนศพลเอาไว้
“ธเนศพล คุณอย่าเพิ่งเข้าไปชั่วคราวเลยครับ”
“ไม่ นี่นายสองคนหมายความว่าอะไรกัน?”
ธเนศพลไม่ร่าเริงเล็กน้อย
บุริศร์ไม่มีเวลาอธิบายให้เขาฟัง เพียงแค่พูดว่า “ที่ห้ามไม่ให้นายเข้ามามันเพื่อนายนายอย่าลืมฐานะของตัวเองสิ ถ้านายเป็นแค่ธเนศพล ถึงแม้นายจะอยากตายไปเป็นเพื่อนกับพวกฉันมันก็แล้วแต่ แต่นายยังเป็นธเนศพล!”
คำพูดนี้ค่อนข้างหนักแน่น แต่กลับหยุดฝีเท้าของธเนศพลได้สำเร็จ
ใบหน้าของเขายุ่งเหยิง สุดท้ายก็ถอยกลับไป
วิสุทธิ์กับมิลินรีบมายังห้องเก็บไวน์ เมื่อเห็นท่าทางตระหนกของบุริศร์ จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“นายรีบตรวจให้เมียฉัน เธอเพิ่งไปเจอผู้หญิงมาคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นไอตลอดเวลา ไอจนหอบเล็กน้อย และฉันก็ได้กลิ่นเหม็นคาวมาจากตัวของเธอด้วย สีหน้าของเธอเหลืองเหมือนเทียนไข ดวงตาทั้งสองข้าวเว้าลึกลงไป และแววตาก็ไม่มีจุดโฟกัสเลย ฉันสงสัยว่าเธอจะไม่ได้เป็นไข้หวัดธรรมดา เมื่อกี้นรมนไม่ทันระวังไปแตะชายเสื้อของเธอเข้า ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้างไหม”
เมื่อนรมนได้ยินบุริศร์พูดอย่างละเอียด เธอก็อดที่จะนิ่งอึ้งไปไม่ได้
อีกทั้งกลิ่นเหม็นคาวบนกายของผู้หญิงคนนั้นด้วย? ทำไมเธอถึงไม่ได้กลิ่น
เมื่อเทียบกับความไม่รู้อะไรเลยของนรมน สีหน้าของมิลินกลับเริ่มเคร่งขรึมมากขึ้น วิสุทธิ์รีบนำเลือดของนรมนไปตรวจทันที
เมื่อเห็นทุกคนต่างก็พากันจริงจัง นรมนก็รู้สึกกดดัน
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แค่ผู้หญิงวัยกลางคนธรรมดาเหรอ? พวกเธอกังวลเกินไปไหม?”
เมื่อมิลินได้ยินนรมนพูดอย่างนี้ ก็เหลือบมองไปยังบุริศร์ ก่อนพูดเสียงต่ำว่า “คุณนายคะ ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียขนาดนี้ ก็อธิบายได้อย่างชัดเจนแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นมีปัญหา”
“หมายความว่ายังไง? ผู้ชายของฉันกลายเป็นหมอตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมฉันไม่รู้?”
นรมนหยอกล้อ แต่มิลินไม่ได้ผ่อนคลายตามเลย
เธอพูดเสียงต่ำ “คุณนายคะ คุณยังจำพิษกู่ทองคำในร่างกายของผู้ใหญ่บ้านได้ไหม?”
นรมนตกตะลึงไปในทันที
ถ้ามิลินไม่พูดถึงเรื่องนี้ เธอเองเกรงว่าจะนึกไม่ถึงขึ้นมา บุริศร์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป ร่างกายอะไรก็ยังดีมาก จนทำให้ลืมไปเลยว่ายังมีพิษกู่ทองคำอยู่
เมื่อได้ยินมิลินถามขึ้นมา เธอก็อดที่จะกังวลไม่ได้
“มันยังไง? ร่างกายของบุริศร์มีปัญหาเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ”
มิลินรีบปลอบขวัญ เมื่อได้รับสายตาที่เย็นเยียบของบุริศร์ มิลินก็พลันรู้ว่าตัวเองพูดมากไป แต่ก็ยังพูดออกมาว่า “พิษกู่ทองคำคือการมีอยู่ที่สูงส่งที่สุดในหนอนกู่ ดังนั้นเมื่อพิษหนอนกู่อยู่ข้างหน้าตัวมันเลยไม่สามารถซ่อนร่องรอยได้ ถ้าหากคุณนายไม่ได้กลิ่นอะไร แต่ผู้ใหญ่บ้านกลับได้กลิ่น อย่างนั้นแล้วอาจเป็นไปได้ว่าในร่างกายของผู้หญิงคนนั้นมีพิษของหนอนกู่ค่ะ”
“อะไรนะ”
นรมนแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าพิษกู่ทองคำจะมีผลกระทบเช่นนี้
เมื่อบุริศร์เห็นนรมนกังวลใจ เขาปลอบพลางพูดว่า “ไม่เป็นไรนา คุณไม่มีการติดต่ออย่างอื่นกับเธอ ไม่น่าจะเป็นอะไร”
ในตอนนี้ สีหน้าของวิสุทธิ์ดูไม่ค่อยดีอยู่บางส่วน ข้อมูลของเลือดในมือเขา ทำให้สีหน้าของบุริศร์เครียดหนักขึ้นไปอีก
“เป็นอะไรไป? เลือดของเมียฉันมีปัญหาเหรอ?”