“ถึงแม้ว่าตระกูลธีรกุลภักดีจะเป็นตระกูลผู้ดี แต่ว่าสำหรับตระกูลพรรณโรจน์มาพูดแล้วก็ยังต่ำไปอีกระดับหนึ่ง ตอนแรกการเชื่อมสัมพันธ์ของตระกูลพรรณโรจน์ทั้งสองตระกูลนั้นเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ว่าเบิร์ดของตระกูลธีรกุลภักดีก็คงจะไม่ใช่คนธรรมดาง่าย ๆ คนหนึ่งหรอกมั้ง?”
นรมนคาดเดาได้จากความไม่พอใจและโกรธเคืองของเบิร์ด เบิร์ดในอดีตก็น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งแน่ แถมอาจจะเป็นความหวังของตระกูลธีรกุลภักดีด้วยซ้ำ
บุริศร์พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ใช่ ตอนนั้นเบิร์ดยังถือได้ว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรง อยู่ในด้านธุรกิจก็มีผลงานได้รวดเร็วมากด้วย”
“นี่ก็ถูกแล้ว ถ้าเกิดตระกูลพรรณโรจน์ไม่กดดันตระกูลธีรกุลภักดี ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่เบิร์ดอาจจะนำพาตระกูลธีรกุลภักดีไปให้สูงขึ้นได้อีกขั้น พอถึงตอนนั้นถ้าตระกูลพรรณโรจน์อยากจะควบคุมตระกูลธีรกุลภักดีขึ้นมา หรือต่อไปถ้าอยากจะร้องขอผลประโยชน์ต่อหน้าธเนศพลขึ้นมาก็จะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ส่วนตระกูลธีรกุลภักดีเพราะว่าช่วยเลี้ยงดูลูกสาวของธเนศพลมาก็จะได้รับความซาบซึ้งจากตระกูลธนเกียรติโกศลแน่ แล้วความเจริญรุ่งเรืองก็จะต้องทะยานขึ้นมา แน่นอนว่านายใหญ่ตระกูลพรรณโรจน์จะต้องคิดถึงจุดนี้แน่ เพราะฉะนั้นถึงได้ฉวยโอกาสในตอนที่ตระกูลธีรกุลภักดียังไม่เจริญรุ่งเรืองมากดดันตระกูลธีรกุลภักดีไปซะ แล้วทำให้พวกเขาตกต่ำ ทำให้เบิร์ดไม่มีทางที่จะแตะต้องตัวน้ำได้ ตระกูลพรรณโรจน์ถึงจะมีโอกาสกลายเป็นตระกูลรุ่งเรืองในอนาคตได้”
คำอธิบายของนรมนทำให้บุริศร์วิเคราะห์เรื่องราวกระจ่างขึ้นมาก ในดวงตาก็มีแววเป็นกังวลพาดผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่คะ?”
“คิดถึงป้อง”
บุริศร์เองก็ไม่ได้ปิดบังนรมน และพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ถ้าหากการคาดเดาของคุณเป็นเรื่องจริง ๆ งั้นการเอาคืนของธเนศพลก็จะต้องไม่น้อยแน่ ในเมื่อมาวางกับดักและทำร้ายแก้วตาดวงใจของเขาแบบนี้ ตระกูลพรรณโรจน์ก็จะต้องชดใช้แน่ แต่ว่าป้องเป็นคนตระกูลพรรณโรจน์ ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่อย่างอิสรเสรี แต่ก็คงจะหนีชะตากรรมของคนตระกูลพรรณโรจน์ไม่พ้นอยู่ดี”
แล้วนรมนถึงเพิ่งนึกถึงเรื่องที่ป้องก็เป็นคนตระกูลพรรณโรจน์ขึ้นมา
“ธเนศพลคงจะไม่จัดการป้องไปด้วยหรอกมั้งคะ? และอีกอย่างตอนนี้ป้องก็เป็นแค่หมอคนหนึ่งด้วย”
“แต่ว่าพ่อตาของป้องเป็นพลโทนะ”
บุริศร์รู้จักฝีมือของธเนศพลในตอนนี้ดี และก็เป็นความผิดของตระกูลพรรณโรจน์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความเคลื่อนไหวของเขาจะต้องเฉียบขาดและรวดเร็วอยู่แล้ว และที่สำคัญชื่อเสียงของสี่คุณชายแห่งเมืองชลธีก็โด่งดังเกินไปแล้ว ถึงธเนศพลจะไม่ลงมือ แต่เพื่อหลังธเนศพลขึ้นครองราชย์แล้วจะได้มีความสงบสุขหน่อย พระราชาก็จะต้องชิงลงมือกับพวกตระกูลใหญ่พวกนั้นก่อนอยู่ดี
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีมักการพูดกันว่าผู้ที่ขึ้นครองราชย์ต่างก็เกรงกลัวผู้ที่มีผลงานดี โดยเฉพาะในช่วงที่ส่งต่ออำนาจกันนั้น
นรมนอดไม่ได้ที่จะขมวดหัวคิ้วขึ้นมา
เธอคิดถึงช่วงเวลาที่ธเนศพลมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านใหญ่ตระกูลโตเล็ก ไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่ง เทียบกับคนที่โหดเหี้ยมแบบนี้น่าจะไม่ใกล้เคียงกันเลยสักนิด แต่ว่าบุริศร์ก็คงจะไม่มีทางพูดแบบนี้โดยไม่มีสาเหตุหรอก
เฮ้ย!
ทำไมน้ำถึงได้เป็นคนตระกูลพรรณโรจน์ไปได้นะ?
นรมนรู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย ในเมื่อเธอกับโพนี่นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก
บุริศร์พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “นรมน คุณโทรศัพท์หาโพนี่สักสายซิ แล้วบอกเรื่องของน้ำกับเธอสักหน่อย การคาดเดาอย่างที่คุณสามารถนึกถึงได้ ก็ไม่ใช่ว่าโพนี่จะเดาไม่ออก”
“ทำไมฉันต้องเป็นคนพูดละคะ?”
นรมนนึกว่าบุริศร์กับป้องเป็นพี่น้องกัน แล้วเรื่องนี้บุริศร์บอกกับป้องสักคำหนึ่งก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?
บุริศร์จ้องมองความสงสัยของนรมน แล้วก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะติดต่อกับป้อง”
“หึ?”
พอเห็นภรรยายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ บุริศร์ก็ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ป้องอยู่ที่เมืองหลวง”
“แล้วยังไงคะ?”
“ผมเป็นคนที่เพิ่งปลดประจำการออกมา แล้วก็โดนกักตัวตรวจสอบเพราะเรื่องจณัตว์ด้วย และถึงแม้ว่าตอนนี้ดูภายนอกจะจบลงแล้ว แต่ว่าคนที่เฝ้ามองผมอยู่ก็มีไม่น้อย ขอแค่ผมติดต่อกับป้อง ถึงป้องจะไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของจณัตว์แต่ก็จะถูกสงสัยเอาได้ แล้วในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ ถ้าป้องโดนสงสัยก็จะไม่มีผลดีอะไรแน่”
นรมนเข้าใจขึ้นมาทันที แต่ว่าก็ยังไม่เข้าใจเล็กน้อย
“แต่ว่าถ้าฉันติดต่อกับโพนี่ละก็ ผลก็จะเป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ?”
“ไม่เหมือนกัน”
บุริศร์ยิ้มขึ้นจาง ๆ ที่มุมปากมีรอยยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอกขึ้นมาอันหนึ่ง
“คุณเป็นผู้หญิง แล้วระหว่างผู้หญิงก็มีเรื่องเม้าท์มอยอะไรกันอยู่แล้ว ที่สำคัญคุณก็ไม่ต้องบอกว่าชื่อน้ำ บอกแค่ว่าเจอเด็กผู้หญิงที่เล่นกลคนหนึ่ง คุณเข้าใจอยู่แล้วน่ะ”
แล้วนรมนก็เข้าใจขึ้นมาทันที
เธอออกมาเที่ยวเล่นกับบุริศร์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และที่สำคัญก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับโพนี่ด้วย พอเจอเรื่องราวใหม่ ๆ ก็มาพูดคุยกับโพนี่บ้าง แน่นอนว่าไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอยู่แล้ว แต่ว่าโพนี่จะฟังอะไรออกจากในนี้หรือเปล่า จะเดาอะไรออกหรือเปล่านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องของเธอนรมนแล้ว
นรมนอดไม่ได้ที่จะมองไปทางบุริศร์ แล้วก็มองเห็นความเจ้าเล่ห์กะพริบผ่านไปในดวงตาของเขาพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ความคิดและกลยุทธ์ของคุณนี่ถ้าหากว่าไปอยู่ข้างกายธเนศพลละก็ ธเนศพลอยากจะทำอะไรก็จะทำได้ตามใจชอบแน่”
“ตอนนี้ผมแค่อยากจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับลูกเมียเท่านั้น และที่สำคัญสี่คุณชายแห่งเมืองชลธีก็ช่างดึงดูดความสนใจมากจริง ๆ”
ตั้งแต่เมื่อก่อนบุริศร์ก็รู้จักหลักการที่ว่าคนโดดเด่นมากมักเป็นที่อิจฉาของคนอื่นแล้ว พอมาวันนี้เป็นช่วงที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตระกูลใหญ่โตต่างก็ควรจะรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย ไม่โดนจับจุดอ่อนได้ถึงจะถูก ถ้าหากว่าเวลาแบบนี้ตระกูลใหญ่ร่วมมือกันเป็นกลุ่มก้อนละก็ ก็จะต้องกลายเป็นที่ขัดหูขัดตาของผู้ขึ้นครองตำแหน่งแน่ แล้วตระกูลพังพินาศก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แค่ชั่วข้ามคืน แล้วพวกผู้คนที่สามารถไปอยู่ในตำแหน่งนายใหญ่ประจำตระกูลได้ จะมีใครบ้างที่ไม่ใช่คนชาญฉลาด?
ตอนนี้คนที่พอมีความรู้สึกละเอียดอ่อนต่อการเมืองหน่อยต่างสามารถรู้สึกได้ว่ากำลังจะเปลี่ยนการปกครองแล้ว และแน่นอนว่านายใหญ่ตระกูลต่าง ๆ ล้วนระมัดระวังที่จะไปจัดการเรื่องราวต่าง ๆ แต่ว่าพวกเรื่องราวยุ่ง ๆ ในตระกูลของบุริศร์นี้กลับไปเชื่อมโยงเรื่องอื่นออกมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า และต่างเชื่อมโลงไปถึงคนของตระกูลอื่นอีกด้วย แล้วถ้าหากตระกูลโตเล็กยังรักษาความสัมพันธ์กับนายใหญ่ประจำตระกูลพวกนี้อย่างเหนียวแน่นอีกละก็ งั้นตระกูลโตเล็กก็จะได้กลายเป็นเหมือนกับตระกูลธีรกุลภักดีตระกูลต่อไปแน่
ถ้าผู้ขึ้นครองตำแหน่งลงมือก็คงจะไม่ใช่ระดับเดียวกับนายใหญ่ตระกูลพรรณโรจน์แล้วล่ะ
สำหรับในจุดนี้บุริศร์ได้คิดออกตั้งแต่ตอนที่นรมนคาดเดาว่านายใหญ่ของตระกูลพรรณโรจน์เป็นคนวางยาพิษให้น้ำแล้ว
ตระกูลทวีทรัพย์ธาดาและตระกูลพรโสภณเป็นญาติมิตรที่เกี่ยวดองกับตระกูลโตเล็ก แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะตัดขาดกันได้ง่าย ๆ แน่ แต่ว่าถ้าเกิดอยากจะทำจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ดวงตาของบุริศร์หรี่ลงครู่หนึ่ง ข้างในนั้นมีปฏิกิริยาหลากหลาย แต่กลับเป็นนรมนที่มองจนลุ่มหลงไปชั่วขณะ
ผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนล้วนสามารถดึงดูดความสนใจของนรมนไปได้เสมอ ถึงแม้ว่าความอ่อนเยาว์ในตอนวัยรุ่นจะหายไป แต่ความหนักแน่นในตอนนี้กลับยิ่งทำให้คนลุ่มหลงมากขึ้น
เหมือนกับจะรู้สึกถึงความสนใจของนรมน อยู่ ๆ บุริศร์ก็หันกลับมา สบเข้ากับสายตาที่ลุ่มหลงของภรรยา ในใจก็สั่นไหวเล็กน้อย
“ที่รัก เรามาทำเรื่องที่มันมีความหมายกันหน่อยเถอะ”
พอเห็นความชั่วร้ายที่อยู่ในดวงตาของบุริศร์ นรมนก็ไม่ใช่เด็กสาวแล้ว แน่นอนว่าต้องรู้ดีอยู่แล้ว
ใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็ร้องด่าขึ้นว่า “เจ้าคนชั่ว! ฉันยังต้องพูดคุยกับโพนี่อีกนะ”
“ทำเสร็จค่อยไปคุยก็ได้”
“ไม่ได้ มันจะรู้สึกเหนื่อย”
นรมนตะเกียกตะกายกระโดดออกจากอ้อมกอดของบุริศร์ แล้วก็วิ่งออกไปที่ห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
บุริศร์จ้องมองภรรยามีท่าทางแบบนี้ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
นี่มันจริง ๆ เลย เขาน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ?
หลังจากที่เข้ามาในห้องหนังสือแล้วนรมนก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวเลย ผู้ชายอย่างบุริศร์นี่จริง ๆ เลย……
เธอยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าเล็กน้อย พอนึกขึ้นมาได้ว่าเรื่องของน้ำได้เชื่อมโยงไปใหญ่โตแล้ว ก็ไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไป แล้วก็รีบโทรศัพท์หาโพนี่เลย
ทางด้านโพนี่เพิ่งจะเป็นเวลารุ่งสางหกโมงกว่า และยังนอนสะลึมสะลือไม่ตื่นเลย ก็ได้รับสายโทรเข้าจากนรมนแล้ว
“เป็นไง? ไม่ได้ทำเรื่องที่มีความหมายกับสามีของคุณหรอกเหรอ? ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าจะโทรศัพท์หาฉันเนี่ย”
พอเจอเข้ากับการประชดประชันของโพนี่ นรมนก็รู้สึกหมดคำพูดขึ้นมาเลย
ทำไมแต่ละคนถึงได้เอาแต่คิดเรื่องที่มันมีความหมายกันนะ?
ป้องกอดโพนี่มาจากข้างหลัง แล้วน้ำเสียงที่แหบแห้งก็ได้ลอยมาตามสายโทรศัพท์ด้วย
“พี่สะใภ้รอง คุณลืมเรื่องเวลาที่แตกต่างกันของพวกเราไปหรือเปล่า?”
แล้วนรมนถึงจะเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ในเมื่อป้องอยู่ด้วยแล้ว งั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
“ลืมไปเลยจริง ๆ แต่ว่าเจอเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งเข้า แล้วอยากจะเล่าให้โพนี่ฟังสักหน่อย คุณก็รู้นี่ ระหว่างผู้หญิงเราเวลาคุยกันไม่อยากให้ผู้ชายอยู่ด้วยหรอก”
พอคำพูดนี้ของนรมนพูดออกมา ป้องก็รู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อย
เขาจูบโพนี่ทีหนึ่งแล้วถึงลุกออกไป และในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงนรมนพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่าได้เจอกับเด็กผู้หญิงเล่นกลคนหนึ่งเข้า
พอได้ยินเสียงตื่นเต้นของนรมน ป้องก็ลุกขึ้นแล้วไปเข้าห้องน้ำอย่างหดหู่ ส่วนโพนี่เองก็ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ และก็รู้สึกขึ้นมานิดหน่อยว่านรมนไม่น่าจะเป็นคนน่าเบื่อขนาดนี้ได้
โทรมาหาตัวเองตั้งแต่เช้าขนาดนี้ก็เพื่อที่จะมาพูดเรื่องเม้าท์มอยเหรอ?