ชมพูเป็นกังวลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เป็นห่วงว่าตอนที่ตัวเองไม่อยู่ ธเนศพลจะทำอะไรหม่ามี้เหมือนอย่างที่เบิร์ดทำหรือเปล่า เพราะฉะนั้นรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเข้ามาจะต้องรบกวนทั้งสองคนแน่ แต่เธอก็ยังเข้าแล้วมาอยู่ดี
เมื่อกี้ตอนที่คุณอาวิสุทธิ์คนนั้นขวางเธอไว้ เธอก็ยังเกิดความกลัวขึ้นมาบ้าง แต่โชคยังดีที่มีกานต์อยู่ด้วย
ชมพูรู้สึกว่ากานต์ดูมีพลังในตัวเป็นอย่างมาก ทำให้คนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าขอแค่มีเขาอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เขาจะสามารถช่วยจัดการให้ได้หมดทุกอย่าง
ความรู้สึกแบบนี้เพิ่งมีครั้งแรกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชมพูรู้ว่าตลอดว่าพึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่งตัวเอง เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว แต่ว่าพอมาเจอกานต์ เธอรู้สึกอ ยากจะพึ่งพิงเป็นอย่างมาก และอยากจะผ่อนคลายความรู้สึกลงสักหน่อย
พอธเนศพลได้ยินเสียง แล้วเห็นมือของลูกสาวถือพุทราเชื่อมเอาไว้ จึงอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มโผล่ออกมา ความรู้สึกแบบนี้มันเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคำนึงถึงว่าจะต้องใช้ท่าทีแบบไหนมาเผชิญหน้ากับคนแบบไหน และก็ไม่ต้องคำนึงด้วยว่าคนที่เผชิญหน้าด้วยจะต้องหวังอะไรจากตัวเองหรือเปล่า นี่คือความอ่อนโยนที่เริ่มมาจากก้นบึ้งหัวใจอย่างไม่มีอะไร เป็นความมุ่งมาดปรารถนาที่อยากจะเอาสิ่งที่ดีที่สุดทั้งหมดในโลกมองให้แก่เธอ
ที่แท้นี่ก็คือความผูกพันทางสายเลือด
“ชมพู มีอะไรเหรอ?”
ธเนศพลยิ้มทีหนึ่งก็ทำให้ทุกอย่างสดใส ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นทำให้ชมพูรู้สึกชอบมากขึ้นมาทันที
“พี่กานต์ซื้อพุทราเชื่อมให้หนูค่ะ หนูอยากจะเอามาให้หม่ามี้กินสักหน่อย”
ชมพูมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย
ธเนศพลมองกานต์ทีหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าในมือของเขาก็มีอยู่ไม้หนึ่ง กลับรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในภาพความทรงจำของธเนศพลนั้น กานต์ไม่ได้ชอบกินของหวานอย่างนี้นี่ แต่ยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่ เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในใจของน้ำรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แล้วก็กวักมือให้ชมพูเล็กน้อย
“หม่ามี้ รีบกินดูเร็ว หวานมากเลยนะคะ”
แววตาที่คาดหวังของลูกสาวทำให้จมูกของน้ำรู้สึกจี๊ด ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
เธอพยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วกัดคำหนึ่ง “ขอบใจจ้ะลูกรัก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ชมพูหมุนตัวไปยื่นให้กับธเนศพล “แด๊ดดี้ จะกินสักอันไหมคะ?”
“ได้”
สีหน้าของน้ำเปลี่ยนไปทันทีเลย
ของที่ตัวเองเคยกินแล้วให้ลูกสาวไปก็ไม่เป็นไร แต่ว่าให้ธเนศพลกินนั้นมันจะดูสนิทสนมเกินไปหน่อยไหม
“คือว่า……”
น้ำยังไม่ทันได้ห้ามปราม ธเนศพลก็กัดไปแล้วอันหนึ่ง จากนั้นก็ลูบหัวของชมพูเล็กน้อยแล้วก็พูดขึ้นว่า “แด๊ดดี้มีเรื่องจะคุยกับหม่ามี้นิดหน่อย หนูไปเล่นกับพี่ชายที่ข้างนอกก่อนดีไหม?”
“ได้ค่ะ”
ตอนแรกชมพูรู้สึกเป็นห่วงหม่ามี้เล็กน้อย แต่ตอนนี้ว่าหม่ามี้ไม่เป็นอะไร แล้วธเนศพลก็อ่อนโยนขนาดนี้ ก็เลยวางใจขึ้นมาทันที และที่สำคัญตอนนี้เธออยากจะกินพุทราเชื่อมมากจริง ๆ
กานต์เองก็ไม่พูดอะไร แล้วก็พอชมพูออกมาเลย
ธเนศพลรู้สึกว่าพุทราเชื่อมที่อยู่ในปากนั้นหวานมาก หวานจนหัวใจของเขาพองโตขึ้นมาเลย
แววตาที่เขามองน้ำเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ผมแค่กินพุทราเชื่อมอันเดียวเท่านั้น คุณจะห้ามทำไม?”
มุมปากของธเนศพลคลี่ยิ้มออกเล็กน้อย
น้ำหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็รีบก้มหน้าลงไป
“ชมพูดูชอบคุณมากเลยนะคะ”
“ลูกสาวของผมไม่ให้ชอบผมจะให้ไปชอบใครล่ะ?”
ธเนศพลพูดถึงเรื่องที่ชมพูเป็นลูกสาวของตัวเองนั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งคล่องปากแล้ว
“เมื่อแปดปีก่อนคุณไม่เคยคิดเลยเหรอว่าแกอาจจะเป็นลูกสาวของผม?”
ธเนศพลแค่นึกถึงว่าลูกสาวของตัวเองต้องมาโดนเจ้าชั่วเบิร์ดนั่นรังแกมานานหลายปีขนาดนี้ เขาก็แทบจะอยากจะสับมันให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้นเลย
น้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง บนใบหน้านิ่งค้างไปเล็กน้อย
ว่าแล้ว ยังไงก็ต้องพูดถึงหัวข้อนี้
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อน”
จ้องมองหัวของน้ำยิ่งก้มก็ยิ่งต่ำ คำพูดทั้งหมดของธเนศพลก็ติดอยู่ที่ลำคอเลย
เมื่อก่อนน้ำไม่ได้เป็นแบบนี้ เธอมีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก และสดใสร่างเริง ขอแค่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนก็จะกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งหมดเลย แต่ว่าน้ำคนปัจจุบันนี้เป็นคนน้อยเนื้อต่ำใจ และยังพยายามลดความมีตัวตนอยู่ของตัวเองลงด้วย
ใจของธเนศพลนั้นเจ็บจี๊ด ๆ ขึ้นมา เขาพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “หลายปีมานี้ผมพยายามทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้นมา ผมใช้เรื่องราวมากมายมาทำให้ตัวเองยุ่งวุ่นวาย เพราะกลัวว่าตัวเองว่างแล้วก็จะคิดถึงคุณ แต่ว่าพอถึงกลางคืนที่ไร้ผู้คนนั้น คุณก็มักจะวิ่งเข้ามาในหัวสมองผมเสมอ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเตียงใหญ่เกินไปแล้วจะทำให้คนรู้สึกเหงาได้ น้ำ ผมไม่เคยลืมคุณเลย หลายปีมานี้ที่ไม่ได้ตามหาคุณนั้น เป็นเพราะว่าผมกลัวจะควบคุมความคิดถึงของตัวเองไว้ไม่อยู่แล้วไปแย่งคุณกลับคืนมา กว่าคุณจะมีความสุขแบบคนทั่วไปได้ ถ้าหากผมทำแบบนั้นคงจะทำให้คุณเกลียดผมไปตลอดชีวิตเลยละมั้ง แต่ว่าผมไม่รู้ว่าความสุขที่ผมคิดไว้นั้นจะเป็นแบบสภาพอย่างตอนนี้ของคุณ หนำซ้ำผมยังรู้สึกเสียใจแล้วที่หลายปีมานี้ไม่ได้ไปสืบหาข่าวคราวของคุณ”
“อย่าพูดอีกเลยค่ะ”
หัวใจของน้ำเองก็เจ็บปวดขึ้นมาแล้ว
เรื่องระหว่างพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องอะไร?
แคล้วคลาดกันตลอด มีบุญแต่ไร้วาสนา แต่กลับมีชมพูที่เป็นตัวเชื่อมโยงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
น้ำจิตใจว้าวุ่น มือทั้งคู่บิดขอบชายเสื้อไว้ จนรู้สึกว่าเสื้อนั้นแทบจะกลายเป็นผ้าขี้ริ้วไปแล้ว
ธเนศพลมองเห็นเธอแค่ตื่นเต้นขึ้นมาก็จะมีการกระทำเล็ก ๆ แบบนี้มา ถึงจะเป็นหาความรู้สึกคุ้นเคยได้ขึ้นมาหน่อย
อยู่ ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา
“ได้ ไม่พูดแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคุณเอาเรื่องทั้งหมดมามอบให้เป็นหน้าที่ผม ผมจะมาจัดการเอง คุณแค่อยู่เป็นเพื่อนชมพูไปดี ๆ ก็พอแล้ว”
“คุณจะไปแล้วเหรอคะ?”
น้ำรู้ว่าธเนศพลยุ่งมาก ตอนนี้ธเนศพลจะต้องยุ่งมาแน่ ๆ แต่ว่าจู่ ๆ เธอกลับรู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย
พอรู้สึกถึงความรู้สึกของตัวเอง น้ำก็รีบก่นด่าตัวเองขึ้นมาว่าไม่เอาไหน
ตอนนี้เธอมีสถานะอะไรอยู่?
เป็นผู้หญิงที่มีสามีคนหนึ่ง ถึงจะไม่มีความรัก แต่ว่าในทางกฎหมายนั้นก็ยังยอมรับกันอยู่ แต่เธอกำลังทำอะไรอยู่?
เธอกำลังเสียดายแฟนเก่าของตัวเองอยู่!
ช่างไร้ยางอายมากจริง ๆ
สีหน้าของน้ำขาวซีดขึ้นมาหลายส่วน
“งั้นระหว่างทางคุณระวังตัวด้วยนะคะ”
ตอนแรกธเนศพลนึกว่าน้ำจะรั้งตัวเองไว้ แต่ก็ไม่มี แต่เธอกลับบอกว่าระหว่างทางให้ระมัดระวังตัว
เปลี่ยนไปมากจริง ๆ
ธเนศพลไม่ใช่วัยรุ่นหัวร้อนอีกแล้ว แน่นอนว่าต้องรู้อยู่แล้วว่าปัญหามันติดอยู่ที่ตรงไหน และที่สำคัญเขาก็ยุ่งมากจริง ๆ ยุ่งจนแยกร่างไม่ได้เลย แต่ว่าตอนนี้เขากลับไม่อยากจะจากไปแล้ว
“ผมจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน อยู่เป็นเพื่อนคุณกับลูกสักหน่อย”
“ห๋า?”
น้ำรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ธเนศพลจ้องมองแววตาที่มึนงงของเธอ แล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณนี่มันปฏิกิริยาอะไรกัน? น้ำ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปคุณจะต้องคุ้นชินกับการมีตัวอยู่ของผม เพราว่าตั้งแต่วินาทีที่ผมรู้เรื่องของคุณกับชมพูเป็นต้นมา ผมก็ไม่คิดว่าจะให้พวกคุณถอยออกไปจากชีวิตของผมอีกแล้ว ผมรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังกังวลอะไรอยู่ คุณเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้วใช่ไหม? แต่ว่าแล้วยังไง? คนที่ผมธเนศพลอยากจะได้ ใครจะกล้าพูดอะไร?”
คำพูดนี้จะให้วางอำนาจแค่ไหนก็ดูวางอำนาจเท่านั้น แต่ว่าน้ำก็ไม่ใช่น้ำในอดีตอีกต่อไปแล้ว เธอผ่านเรื่องราวมามากขนาดนี้ มีเรื่องมากมายล้วนไม่มีความกล้าเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว
เธอจ้องมองธเนศพล แล้วพูดอย่างจริงจังขึ้นว่า “ธเนศพล ตอนนี้คุณเป็นองค์รัชทายาท สถานะของคุณกับของฉันมันไม่เหมาะสมกัน ที่สำคัญยังมีคนแอบจ้องคุณอยู่มากมายขนาดนั้น ถ้าเกิดคุณแตะต้องเบิร์ดขึ้นมา ไม่ต้องให้คนอื่นว่าอะไร แต่ความพยายามในหลายปีมานี้ของคุณก็อาจจะสูญเปล่าไปเลยนะ”
“แบบนั้นแล้วจะยังไง? ผู้หญิงของผมโดนมันรังแกขนานนี้ ลูกสาวของผมโดนมันเอาไปขาย ถ้าเกิดผมไม่ทำอะไรสักหน่อย ผมยังจะเป็นผู้ชายอยู่อีกเหรอ?”
ดวงตาของธเนศพลเย็นชาลงเล็กน้อย
“เอาล่ะ เรื่องนี้ผมมาจัดการเอง คุณเพิ่งกลับมา พักผ่อนให้ดี ๆ เถอะ”
ธเนศพลพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างนอกเลย
ในวินาทีนี้น้ำถึงเพิ่งจะรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่า ธเนศพลนั้นไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วจริง ๆ เขาในตอนนี้แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจของผู้ขึ้นครองตำแหน่ง ไม่มีทางอนุญาตให้คนอื่นมาต่อต้าน ความวางอำนาจมีมากกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก ส่วนเธอก็ไม่มีความกล้าที่จะมาขัดขืนกับเขาอีกแล้ว
ที่ข้างนอกกานต์เห็นชมพูกินอย่างมีความสุข มุมปากก็คลี่ขึ้นมาหลายส่วนเลย และเขาก็รู้สึกคิดถึงหม่ามี้ขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
ในตอนที่ชมพูเอาพุทราเชื่อมให้หม่ามี้กินนั้น ที่จริงกานต์รู้สึกผิดนิดหน่อยนะ เหมือนกับว่าเขาจะไม่เคยคิดซื้อของกินให้หม่ามี้มาก่อนเลย เพราะมักจะรู้สึกว่ามีคุณบุริศร์อยู่ หม่ามี้จึงไม่ขาดอะไรทั้งนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เขามาซื้อด้วยซ้ำ แต่ว่าเมื่อกี้นี้เองที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่า คุณบุริศร์ซื้อก็เป็นของคุณบุริศร์นี่ ส่วนเขาที่เป็นลูกชายคนนี้ไม่ควรที่จะรู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่มีความจำเป็นเลย
พอคิดมาถึงตรงนี้ กานต์ก็เอาโทรศัพท์ออกมา แล้วก็ส่งคำเชิญโทรวิดีโอคอลไปหานรมนสายหนึ่งเลย
พอได้ยินเสียงคำเชิญโทรวิดีโอคอล ชมพูก็อึ้งไปเล็กน้อย
พี่ชายตัวน้อยที่เย็นชาขนาดนี้กลับมีคนที่อยากจะโทรวิดีโอคอลหาด้วยเหรอ?
เธอจึงอดไม่ได้ที่จะชิดเข้าไปใกล้ตัวกานต์เล็กน้อย
กานต์มองเห็นแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ว่าทางด้วยนรมนก็ช้าไปครู่หนึ่งถึงจะรับโทรสาย
“ไงลูกชาย! คิดถึงหม่ามี้หรือเปล่า?”
ตอนนี้ในมือของนรมนกำลังถือมะม่วงกินอยู่อย่างสบายอกสบายใจ ส่วนในมือของบุริศร์ก็ถือกระดาษทิชชูตามอยู่ข้างหลัง และถือกระเป๋าไว้ กลับดูตลกไปอีกแบบ
ปฏิกิริยาบนใบหน้าของกานต์ผ่อนคลายลงมาทั้งหมดแล้ว
“หม่ามี้ ผมคิดถึงหม่ามี้แล้วครับ หม่ามี้นะหม่ามี้ทำไมถึงได้หนีตามคุณบุริศร์ไปล่ะ? กว่าผมจะตามคุณอาธเนศพลมาทางนี้ได้ แต่กลับไม่ได้เจอหม่ามี้เลย น่าผิดหวังจริง ๆ”
กานต์นั้นพูดเยอะแบบนี้น้อยมาก กลับทำให้นรมนรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อยเลย แต่ว่าพอได้ยินเสียงที่ผิดหวังของลูกชาย นรมนเองก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
“ทำไมหนูไม่โทรหาหม่ามี้ก่อนสักสายหนึ่งล่ะ? ถ้ารู้ว่าหนูจะมา หม่ามี้ก็ไม่ออกมาแล้ว”
“หมายความว่ายังไง? เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่จะมาหรือไม่มาคุณก็จะต้องออกมากับผม นรมน พวกเราสองคนออกมาท่องเที่ยวนะ จะเอาก้างขวางคอมาอันหนึ่งทำไม?”
พอบุริศร์ได้ยินว่านรมนให้ความสำคัญกับกานต์มากกว่าตัวเอง ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันทีเลย
มุมปากของกานต์กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
บนโลกใบนี้มีพ่อแบบนี้ด้วยเหรอ?
มักจะแย่งหม่ามี้กับตัวเองไม่ว่า แถมยังพูดคำพูดที่ไร้ยางอายแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉยอีก คิดว่าก็คงจะมีแต่บุริศร์คนเดียวแล้ว
“คุณบุริศร์ ก้างขวางคออย่างผม ไม่ใช่คุณเป็นคนสร้างขึ้นมาเองหรอกเหรอ?”
คำพูดนี้โต้แย้งกลับไปจนบุริศร์เกือบโดนน้ำลายตัวเองสำลักตาย
นรมนหัวเราะพรืดขึ้นมาคำหนึ่งเลย
สองพ่อลูกนี่แค่เจอหน้ากันก็แขวะกันทุกที แล้วก็ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเป็นศัตรูกันมาหรือเปล่า
“เอาล่ะ คุณจะมาพูดจาแขวะกันกับลูกชายทำไม? ไปซื้อแก้วมังกรทางโน้นมาให้ฉันอีกสองสามลูกไป ดูแล้วน่ากินมากเลย”
นรมนชี้ไปที่แผงขายที่อยู่ข้าง ๆ
บุริศร์รู้ว่านี่คือการที่ภรรยาอยากจะพูดคุยกับลูกแล้ว ถึงแม้ว่าปากจะชอบพูดแขวะกัน แต่ว่าบุริศร์ก็ยังเป็นห่วงลูกชายอยู่ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเชื่อฟังเลย
พอกานต์เห็นบุริศร์เดินไปแล้ว ถึงได้ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “หม่ามี้ เหมือนว่าหม่ามี้จะสวยขึ้นอีกแล้วนะครับ”
“ขอบใจจ้ะลูกชาย หม่ามี้จะต้องรักษาความงดงามไว้ซิ ต่อไปเวลาหนูพาเมียกลับมา ถ้าหม่ามี้แก่เกินไปก็จะทำให้หนูเสียหน้าได้นะซิ?”
นรมนหยอกล้อกานต์ขึ้นมา เธอไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นชมพูที่อยู่ข้างหลังกานต์นะ
สีหน้าของกานต์แดงขึ้นมาทันทีเลย
“หม่ามี้ หม่ามี้พูดอะไรเนี่ย? ผมเพิ่งอายุเจ็ดขวบเองนะ”
“อืม อายุไม่น้อยแล้ว ในสมัยโบราณนั้นชายหญิงหลังอายุเจ็ดขวบเขาก็ไม่นั่งด้วยกันแล้ว นั่นก็หมายความว่ายังไงนะ……”
“หม่ามี้ ช่วงนี้หม่ามี้จะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ? หรือจะอยู่ประเทศYตลอดหรือเปล่าครับ?”
กานต์รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าวินาทีต่อไปหม่ามี้จะพูดคำพูดโอเวอร์อะไรออกมาอีกหรือเปล่า
จริง ๆ เลย ถึงแม้เขาจะถือได้ว่าโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว แต่ตอนนี้มาพูดถึงปัญหานี้มันก็เร็วเกินไปหน่อยแล้วมั้ง
พอนรมนโดนลูกชายพูดขัดขึ้นแบบนี้ ก็ลืมไปเลยทันทีว่าต่อไปตัวเองจะพูดว่าอะไร แต่ว่าก็ยังพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า“น่าจะใช่มั้ง นี่ต้องดูเจตนาของแด๊ดดี้หนู ว่าแต่มีอะไรจ๊ะ?”