ชมพูเห็นกานต์มองตัวเองทีหนึ่ง แววตานั่นดูเหมือนกำลังครุ่นคิด มีความอบอุ่นมากกว่าความเย็นชาเมื่อกี้เสี้ยวหนึ่ง แต่กลับเหมือนกับสุนัขจิ้งจอกที่จ้องเธอไว้เขม็ง จนทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าก็ถามขึ้นอย่างพยายามฝืนความเป็นกังวลที่อยู่ในใจว่า “นายมองฉันทำไมเหรอ?”
“เล่นคอมพิวเตอร์ไหม?”
กานต์เองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงได้รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้น่าจะเป็นเหมือนกับตัวเอง
บางทีแฮ็กเกอร์อาจจะค่อนข้างความรู้สึกละเอียดอ่อนต่อเพื่อนร่วมสายงานก็ได้ คนที่มีมือที่ว่องไวแบบนี้มันมีไม่เยอะหรอก แต่ว่าถ้าเล่นคอมพิวเตอร์ละก็ไม่แน่ และอีกอย่างเมื่อกี้เขาสังเกตเห็นถึงความเคยชินเล็ก ๆ ของชมพู และรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ชมพูรีหลับตาลงอย่างรวดเร็ว แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เล่น”
แต่ว่าใจของเธอกลับเต้นได้อย่างรวดเร็วมากเลย
สายตาของกานต์คนนี้ทำไมถึงได้โหดร้ายมากขนาดนี้?
เธอจะให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นแฮ็กเกอร์ไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นจะต้องนำเรื่องที่ไม่ดีมาให้หม่ามี้แน่ ๆ
กานต์เองก็ไม่ได้บีบบังคับให้เธอยอมรับ เพียงแต่ท่าทีดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก
“เล่นกับเป็นทีมสักตาไหม?”
“ได้”
ตอนนี้ชมพูหวังแค่ว่ากานต์จะรีบโดดออกไปจากหัวข้อนี้โดยเร็ว สำหรับจะเป็นเรื่องอะไรนั้นยังไงก็ได้
แล้วกานต์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจริง ๆ แต่กลับเปิดเกมแล้วเริ่มเล่นกับชมพูขึ้นมา
วิสุทธิ์รู้จักฝีมือของกานต์ดี แต่ว่าตอนที่เขาเห็นชมพูสามารถตามทันความเร็วของกานต์และยังก้าวไปด้วยกันได้ แถมในตอนที่เห็นผลงานที่ชมพูทำได้นั้น วิสุทธิ์ก็อยู่นิ่งไม่ได้อีกแล้ว
โอ้โห เด็ก ๆ ในตอนนี้เก่งกันขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?
นี่คือจะฆ่าคนแก่อย่างเขาให้ตายไปเลยเหรอเนี่ย!
แน่นอนว่ากานต์เองก็รู้สึกถึงผลงานของชมพูแล้ว แต่ว่าในเมื่อเดาอะไรออกแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามอีกแล้ว
ทั้งสองคนเล่นกันตาหนึ่งเสร็จแล้ว ผลงานก็เป็นที่โดดเด่นมาก กลับกลายเป็นวิสุทธิ์ที่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
เล่นกันไปตาหนึ่งก็ได้ทำให้กานต์เข้าใจฝีมือและนิสัยของชมพูแล้ว เขาถอยออกจากเกม กลับทำให้ชมพูรู้สึกมึนงงไปเล็กน้อย
“นายไม่เล่นแล้วเหรอ? เป็นเพราะว่าฉันเล่นได้ไม่ดีเหรอ?”
“มันไม่ใช่แบบนั้น ก็แค่เล่นเกมเท่านั้น เพื่อผ่อนคลายอารมณ์หน่อย ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติด”
กานต์พูดอย่างเรียบเฉยไป กลับทำให้ชมพูอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นในใจก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นมาเล็กน้อย
มีอายุที่น้อยขนาดนี้ก็สามารถมีแรงควบคุมอารมณ์ที่สูงขนาดนี้ได้แล้ว นี่มันช่างไม่เลวเลยจริง ๆ
กานต์จ้องมองชมพู แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”
“เจ็ดขวบ”
“เตี้ยเกินไปแล้ว”
กานต์มีความรังเกียจเล็กน้อย
กมลก็เจ็ดขวบเหมือนกัน แต่ก็สูงมากว่าเธอตั้งหัวหนึ่งแล้ว ตกลงเด็กผู้หญิงนี้นี่โตมายังไงนะ?
แต่ว่าพอนึกขึ้นได้ว่าเธอเป็นลูกสาวที่ตกอับอยู่ข้างนอกของธเนศพล กานต์จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปมาวิ่งพร้อมกับฉัน ต้องออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง”
ชมพูอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ว่าก็ยังพยักหน้าให้เล็กน้อย
วิ่งพร้อมกับพี่ชายตัวน้อยคนหล่อเหรอ?
ก็เหมือนกับว่าจะไม่เลวเลยนะ
แต่ว่าจากนั้นชมพูก็นึกถึงปัญหาอย่างหนึ่งขึ้นมา
“นายพักอยู่กับแด๊ดดี้เหรอ?”
“อืม”
กานต์ตอบกลับไปเรียบ ๆ
ชมพูแสดงความอิจฉาอย่างหนึ่งออกมาทันที เธอจ้องมองวิสุทธิ์ที่อยู่ข้าง ๆ เล็กน้อย แล้วก็ขยับตัวมาทางกานต์นิดหน่อย
กานต์ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็จะจากไปอย่างอัตโนมัติ เขาไม่ค่อยชอบอยู่ใกล้กับเด็กผู้หญิงมากนัก นอกจากกมลแล้ว ก็เหมือนกับว่ายังไม่มีใครเลย
ไม่ซิ
มีอยู่คนหนึ่ง!
แค่นึกถึงผู้หญิงโอหังคนนั้นที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินคน แถมยังเห็นน้องชายของเขาอีก สีหน้าของกานต์ก็เคร่งขรึมขึ้นมาหลายส่วนทันที
นั่งก็คือความอัปยศอดสูที่ใหญ่หลวงที่สุดตั้งแต่ที่เขาโตมาขนาดนี้
หลายปีมานี้ชมพูเติบโตมาด้วยการสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้อื่นมาตลอด ตอนแรกเธออยากจะชิดเข้าไปใกล้กานต์แล้วถามสักหน่อยว่าธเนศพลเป็นคนน่าคบหรือเปล่า แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ สีหน้าของกานต์จะเคร่งขรึมลงมา บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปทั้งหมด จนทำให้ชมพูตกใจจนนิ่งอึ้งไปเลย
“ทำไมเหรอ?”
พอได้ยินเสียงที่อ่อนนุ่ม กานต์ถึงตั้งสติกลับมาได้ แล้วจ้องมองเด็กผู้หญิงตรงหน้าที่โดนตัวเองทำให้ตกใจ แล้วเขาก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร แค่นึกถึงคนน่ารังเกียจคนหนึ่งน่ะ”
“คนที่รังเกียจ? คือฉันเหรอ?”
ตั้งแต่ชมพูจำความได้ ก็เหมือนกับว่านอกจากหม่ามี้แล้วก็ไม่มีคนชอบตัวเองอีกเลย เบิร์ดนั้นยิ่งเกลียดเธอจนไม่รู้จะเกลียดยังไงแล้ว พอมาตอนนี้ได้ยินกานต์พูดแบบนี้เข้า จึงอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไป แล้วก็ขยับตัวออกห่างไปด้านนอกเล็กน้อยอย่างเงียบ ๆ
ถึงแม้จะเป็นแค่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ว่ากานต์ก็รู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว
“ไม่ใช่เธอจริง ๆ เธออยากกินพุทราเชื่อมไหม? เดี๋ยวฉันไปซื้อให้เธอ”
กานต์นึกวิธีกล่อมไม่ให้เด็กผู้หญิงโกรธแบบอื่นไม่ออก เขานึกออกแต่เพียงทุกครั้งที่กมลโกรธนั้นก็มีแต่กิน กิน กิน แล้วเป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกัน ก็คงจะไม่มีผิดแผกไปหรอกมั้ง?
ชมพูเงยหน้าขึ้นมาทันที ในดวงตามีสีสันพาดผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
พุทราเชื่อมเหรอ?
เหมือนว่าจะอร่อยมากเลยนี่ น่าเสียดายตั้งแต่เล็กจนโตมาเธอเคยได้กินน้อยมาก
“นายจะเลี้ยงฉันเหรอ?”
“อืม”
กานต์พยักหน้าเล็กน้อย
ชมพูรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่รับของคนอื่นไปเรื่อย แต่ว่าอยากกินมากจริง ๆ นะ
กานต์ไม่รู้ว่าในใจของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วก็จับมือเธอขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไป ฝั่งตรงข้ามนี้มีขาย พวกเราไปซื้อพร้อมกันเลย”
ชมพูอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่วิสุทธิ์ทีหนึ่ง
ตอนแรกวิสุทธิ์แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ดูซิเด็กสองคนนี้ตัวเล็ก ๆ เล่นด้วยกันอย่างไร้เดียงสา ดีจังเลย ทำไมจะต้องอยู่เป็นก้างขวางคอด้วยล่ะ? แต่ว่างานของเขาก็คือการปกป้องคุ้มครองพวกเขา แล้วเวลานี้สายตาของกานต์ก็กวาดมาพอดี สายตาที่เย็นชานั่นช่างเหมือนกับของบุริศร์ราวกับก๊อบปี้กันมาเลย
“ไปเลย ไปเลย เขามีเงิน ก็แค่พุทราเชื่อมไม้เดียวไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอรู้สึกเกรงใจ ต่อไปเธอค่อยเลี้ยงเขากินของอร่อยดี ๆ อย่างอื่นคืนก็ได้”
วิสุทธิ์นั้นสามารถเข้าใจความคิดของชมพูได้ เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโตมามีสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ถึงจะอยากกินแต่ก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณคนอื่น
พอชมพูได้ยินวิสุทธิ์พูดแบบนี้ ก็ดีใจขึ้นมาทันทีเลย
“ได้”
แต่กานต์กลับขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่มีนิสัยให้ผู้หญิงมาเลี้ยง”
ชมพูนิ่งอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
พี่ชายตัวเล็กคนนี้เหมือนกับว่าจะค่อนข้างคบด้วยยากนะ
วิสุทธิ์รู้สึกอยากกุมขมับเล็กร้อน ด้วยนิสัยอย่างกานต์ ในอนาคตจะสามารถหาเมียได้เหรอ?
“นิสัยมันเปลี่ยนกันได้”
วิสุทธิ์ค่อย ๆ ให้คำแนะนำที่ดีไป
กานต์จ้องมองเขาทีหนึ่ง แล้วก็พูดเสียงเรียบขึ้นว่า “นั่นเรียกว่าเกาะผู้หญิงกิน แต่ถ้าคุณอาวิสุทธิ์อยากกิน ผมก็จะไม่ขวางอยู่แล้ว”
พูดจบกานต์ก็จูงมือชมพูลงจากรถไปเลย
ทั้งตัววิสุทธิ์ดูไม่ดีไปหมดเลย
เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่หมายความว่ายังไงกัน?
เขาบอกว่าเขาอยากเกาะผู้หญิงกินเหรอ?
เขาเกาะใครกินกัน?
เจ้าเด็กตัวเหม็น ไม่น่ารักเลยสักนิด เหมือนกับบุริศร์คนนั้นที่ทำให้คนไม่รู้สึกชอบเลย
กานต์พาชมพูลงมาจากรถ แล้วมาถึงร้านที่อยู่ตรงข้ามแล้วพุทราเชื่อม
ชมพูนั้นรู้สึกเขินอายมาอยู่ตลอด เมื่อก่อนที่แบบนี้ตัวเองก็มักจะแค่แอบมองทีหนึ่งที่ข้างนอกแล้วก็วิ่งหนีไปเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับได้เดินเข้ามาแล้ว
กลิ่นหวาน ๆ นี่น่าดมมากจริง ๆ
พอกานต์เห็นท่าทางที่มีความสุขของชมพู ก็คลี่ยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“เถ้าแก่ เอาพุทราเชื่อมสองไม้”
“ได้ครับ”
กานต์จ่ายเงินเรียบร้อย แล้วมองเห็นชมพูเสียดายไม่ยอมกิน จึงถามขึ้นว่า “ไม่ชอบกินเหรอ?”
“ชอบ แต่ว่าฉันอยากจะเก็บไว้ให้หม่ามี้กิน”
คำพูดของชมพูจู่ ๆ ก็ทำให้กานต์อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ฉันสามารถซื้อให้หม่ามี้เธออีกไม้หนึ่งได้นะ”
“ไม่ต้องหรอก นายเลี้ยงฉันกินพุทราเชื่อมแล้ว ฉันคงจะไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้นายซื้อให้แม้แต่ส่วนของหม่ามี้ฉันด้วยหรอกนะ หม่ามี้ฉันบอกว่าเป็นคนต้องรู้จักพอประมาณ แต่ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องขอบใจนายนะ ไว้วันหลังฉันค่อยเลี้ยงนายกินอย่างอื่น”
ชมพูยิ้มได้อย่างสดใสเป็นอย่างมาก
อยู่ ๆ กานต์ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย และก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงกมลในอดีต ช่วงเวลานั้นเธอยังอยู่บนเตียงผู้ป่วย แต่ว่าของอร่อยทุกอย่างก็จะต้องถามตัวเองก่อนว่าจะกินไหมเสมอ ถึงแม้ว่าสุดท้ายก็ยังเข้าท้องของยัยนั่นไปอยู่ดี แต่ว่าความรู้สึกนั้นมีเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอยู่
เด็กผู้หญิงที่รู้จักดูแลคนอื่นเป็นห่วงคนอื่นนั้นล้วนเป็นคนดีใช่ไหม?
แววตาของกานต์ดูอ่อนโยนลงเป็นอย่างมาก
“งั้นก็รีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวจะละลายหมด ละลายไปก็ไม่อร่อยแล้วนะ”
“ได้”
ทั้งสองคนกลับเข้าไปที่คฤหาสน์อย่างมีความสุข พอกำลังจะเข้าไปข้างในก็โดนวิสุทธิ์ขวางเอาไว้ซะก่อน
“ทูนหัวทั้งสอง เดี๋ยวเราค่อยเข้าไปได้ไหม? คนสองคนนี้ไม่ได้เจอกันมาแปดปีแล้ว มีเรื่องเยอะแยะต้องคุยกัน พวกเธอ……”
“หนูจะให้หม่ามี้กินพุทราเชื่อมค่ะ”
ชมพูยังคงยืนกรานอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะกานต์บอกว่าเดี๋ยวจะละลายไป เธอก็รู้สึกว่าน่าเสียดายมาก
วิสุทธิ์โดนชมพูพูดจนรู้สึกลำบากเล็กน้อย
กานต์เหล่ตามองเขาทีหนึ่งตรง ๆ แล้วก็พาชมพูเดินอ้อมข้าง ๆ ไปเลย
รอจนตอนที่วิสุทธิ์อยากจะขัดขวางนั้น กานต์กับชมพูก็ได้ไปจากที่นี่และเดินเข้าไปแล้ว
วิสุทธิ์รู้สึกในหัวสมองดังอื้ออึงขึ้น
เจ้ากานต์คนนี้นี่มีความกล้ามากเกินไปหน่อยแล้วมั้ง?
ทางด้านธเนศพลมีคำพูดมากมายอยากจะพูดกับน้ำ หนำซ้ำยังอยากจะรวบตัวเธอมากกอดไว้ในอก แต่ความห่างเหินที่บอกไม่ถูกกับความไม่คุ้นเคยทำให้ทั้งสองคนสบตากันแล้วพูดไม่ออก ชั่วขณะหนึ่งกลับไม่มีการกระทำใด ๆ เลย
ในตอนที่น้ำเห็นธเนศพลนั้น ในใจก็ไม่สงบนิ่งเลย
ไม่ได้เจอกันมาแปดปี ผู้ชายคนนี้ก็ยิ่งหนักแน่นมากขึ้นแล้ว เสน่ห์ของเพศชายมากพอที่จะทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากมายแล้ว แล้วพอหันมาดูตัวเอง ผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก ไม่มีความสดใสอย่างเมื่อก่อนตั้งนานแล้ว ที่สำคัญตอนนี้เธอยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมีสามีแล้ว ระยะห่างที่มีกับธเนศพลก็ไม่เป็นเหมือนเก่าอีกแล้ว
ระยะเวลาแปดปียังไงก็ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง อย่างเช่นความมั่นใจที่มีอยู่ในตอนแรกก็โดนขัดเกลาจนกลายเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว
น้ำรีบก้มหน้าลง แล้วพูดอย่างข่มอารมณ์ไว้ว่า “เดี๋ยวฉันไปเทน้ำให้คุณแก้วหนึ่งนะคะ”
“ได้”
ธเนศพลไม่กล้าให้แรงกดดันกับเธอมากเกินไป เพียงขอเธออยู่ตรงหน้าตัวเองก็พอแล้ว
ได้ฟังเรื่องของน้ำแล้ว ใจของเขาก็รู้สึกเหมือนกับโดนมีดทิ่มแทง แล้วก็รีบร้อนมาหา แต่ก็กลัวว่าความตื่นเต้นของตัวเองจะทำให้เธอตกใจไป
ตอนนี้ขอแค่เธอสามารถยอมรับตัวเองได้ สามารถอยู่ข้างกายตัวเองได้ เรื่องอย่างอื่นยังไงก็ได้เวลายังอีกยาวไกล
เขาธเนศพลไม่ใช่เด็กหนุ่มหัวเหลืองที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดมาตั้งนานแล้ว สิ่งของหรือคนที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็จะต้องเอามาให้ได้ แต่ว่าตอนนี้อย่าเพิ่งทำให้น้ำตกใจไปก่อนดีกว่า
น้ำเทน้ำให้ธเนศพลแก้วหนึ่ง แล้วทั้งสองคนก็นั่งอยู่อย่างนั้น น้ำไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร สิ่งที่สามารถรู้ หรือสิ่งที่ไม่สามารถรู้ ส่วนใหญ่ธเนศพลก็รู้อยู่แล้ว ถ้าตัวเองพูดอีกก็เป็นการเสียเวลาเปล่า แต่ถ้าไม่พูดเรื่องพวกนี้ น้ำเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ควรพูดอะไรบ้าง
ไม่เจอกันแปดปี สังคมความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ไม่เหมือนกัน ก็เลยไม่มีหัวข้อเรื่องให้พูดคุยกันนานแล้ว ถึงแม้จะยังมีความรู้สึก แต่ว่าความรู้สึกนั้นก็โดนเรื่องราวต่าง ๆ พุ่งชนสลายไปจนไม่มีทางที่จะประสานกันได้แล้วมั้ง
พอน้ำแก้วหนึ่งของธเนศพลเห็นก้นแก้วแล้ว น้ำก็ยังคิดไม่ตกว่าจะคุยอะไรกับธเนศพลดี ท่าทางที่กระสับกระส่ายแบบนั้นกลับเหมือนกับตอนวัยรุ่นเป็นอย่างมาก
“คุณเหี่ยวเฉาไปเยอะมากเลยนะ”
ที่จริงธเนศพลไม่ได้อยากจะพูดคำพูดนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เปิดปากมาก็พูดเรื่องนี้เลย เขาโมโหจนแทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด
น้ำนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ในดวงตามีความเศร้าซึมพาดผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
ว่าแล้วว่าต้องรังเกียจจริง ๆ ด้วย
มันก็ใช่อยู่ แปดปีแล้ว ข้างกายเขาจะไม่มีผู้หญิงรูปแบบไหนบ้าง? ส่วนเธอก็ได้กลายเป็นไม่มีความสำคัญไปตั้งนานแล้วมั้ง?
“ไม่ใช่ซิ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผม……”
“คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันเข้าใจดีค่ะ”
น้ำรีบพูดขัดคำพูดของธเนศพล เพราะกลัวว่าจะได้ยินคำพูดอะไรที่ทำให้คนเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจ แล้วก็ในเวลานี้พอดี กานต์ก็พาชมพูเดินเข้ามาแล้ว