จำใจต้องทำ?
ไม่มีทางเลือก?
แล้วตระกูลธีรกุลภักดีก็ยังปฏิบัติตัวต่อน้ำกับชมพูอย่างนั้นเหรอ?
น่าขยะแขยงมาก!
ราวกับสังเกตเห็นสายตาของนรมน เบิร์ดก้มหน้าลงน้อยๆ เขาไม่สามารถโต้แย้งกับทุกสิ่งที่เขาทำลงไปได้ ตอนนี้ได้สติกลับมาถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่แย่แค่ไหน
บุริศร์ไม่ใช่คนที่มีนิสัยรื้อฟื้นความหลัง บางทีอาจจะพูดว่าหลังจากได้รักกับนรมนแล้ว อารมณ์ของเขาก็สำรวมขึ้นมาก
“เอาละ บอกเหตุผลของแกมาสิ ตอนนั้นมันเกิดอะไรกันแน่?”
เบิร์ดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “ตอนนั้นธุรกิจของตระกูลธีรกุลภักดีได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่แค่ไม่ได้ประกาศบอกข้างนอกแค่นั้น
สินค้าล็อตหนึ่งของเราจมลงในทะเล แต่ใช้เส้นทางเดินเรือของตระกูลปวนะฤทธิ์ไป สินค้าล็อตนั้นเป็นจิตใจและกำลังของเราทั้งหมด เดิมทีคิดว่าจะไม่เกิดปัญหากับเส้นทางเดินเรือของตระกูลปวนะฤทธิ์
แต่กลับมีปัญหาเสียอย่างนั้น เกิดปัญหาไม่ว่า ตอนที่เราไปหาคนในตระกูลปวนะฤทธิ์ พวกเขาบอกว่าไม่มีสินค้าล็อตนี้ของเรา ตอนนั้นพวกฉันต่างก็หมดหวังจริงๆ”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เคยผ่านมา ตอนนี้เบิร์ดก็หวนนึกถึงความกดดันของพ่อเขาในขณะนั้น
“ตระกูลปวนะฤทธิ์”
นรมนหรี่ตา
“คุณท่านขันธ์ชัย? ตระกูลปวนะฤทธิ์ของเมืองชลธี?”
เบิร์ดพยักหน้า
“ใช่ นอกจากตระกูลปวนะฤทธิ์แล้ว ใครบ้างที่สามารถเดินเรือได้”
“หลังจากนั้นละ?”
บุริศร์ถามต่อ
เบิร์ดขมวดคิ้วและพูดว่า “ตอนนั้นพวกเราคิดว่าตระกูลปวนะฤทธิ์ไม่อยากจ่ายค่าชดเชย ก็เลยไปเอะอะโวยวายต่อหน้าคุณท่านขันธ์ชัย เป็นผลให้ไม่มีการลงทะเบียนสำหรับสินค้าล็อตนั้นจากตระกูลธีรกุลภักดีของเราในบันทึกการจัดส่งบนเส้นทางเดินเรือ
แต่ฉันจำได้แม่นว่าตอนแรกได้ลงทะเบียนไปแล้ว ทำไมถึงได้ไม่มีละ? บางทีตระกูลปวนะฤทธิ์คงอยากจะฮุบสินค้าล็อตนี้ ส่วนสินค้าจมหรือเปล่านั้นก็เป็นแค่คำพูดฝ่ายเดียวของทางตระกูลปวนะฤทธิ์ ใครละจะรู้ความจริง?”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เบิร์ดก็โกรธมากเป็นพิเศษ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาก็คงไม่ไปขอน้ำแต่งงานเพราะว่าเงินขาดแคลน บางทีอาจจะไม่มีเรื่องอะไรภายหลังอีก
“เป็นไปไม่ได้”
เมื่อนรมนได้ยินถึงตอนนี้ เธอก็รีบส่ายศีรษะ
“ฉันรู้ดีว่าตระกูลปวนะฤทธิ์เป็นอย่างไร และเส้นทางเดินเรือของตระกูลปวนะฤทธิ์ก็ทำมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และยังไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้าหากสิ่งที่นายพูดเป็นความจริง ชื่อเสียงของตระกูลปวนะฤทธิ์ย่อยยับไปนานแล้ว จะดำเนินต่อมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไงกัน?”
“แต่ตอนนั้นพ่อบ้านของตระกูลปวนะฤทธิ์เป็นคนลงทะเบียนให้ฉัน สินค้าล็อตนั้นสำคัญมาก ฉันไปด้วยตัวเอง ฉันดูสินค้าล็อตนั้นขึ้นเรือไปด้วยตาของตัวเอง ลงทะเบียนด้วย เนื่องจากเส้นทางเดินเรือของตระกูลปวนะฤทธิ์นั้นเป็นความลับและเป็นส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกขึ้นเรือเลย ฉันทำได้เพียงนั่งเครื่องบินไปก่อนแล้วกลับมา
หลังจากที่ฉันกลับมา ฉันได้รับแจ้งว่าสินค้าของฉันจมลงทะเล และสุดท้ายฉันก็ไม่พบข้อมูลการลงทะเบียนของสินค้า ถ้าตระกูลปวนะฤทธิ์ไม่ได้ทำแล้วจะเป็นใคร?”
เบิร์ดอาจจะไร้ยางอายและเลวทราม แต่เขาไม่พูดโกหก ถ้าเขาทำคือทำ ไม่ทำก็คือไม่ทำ เขาไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายตระกูลปวนะฤทธิ์
นรมนเห็นความไม่สงบทางอารมณ์ของเบิร์ด เธอสามารถจินตนาการถึงความสำคัญของสินค้าล็อตนั้นที่มีต่อตระกูลธีรกุลภักดีได้ แต่ถ้าหากจะพูดว่าตระกูลปวนะฤทธิ์ต้องการที่จะฮุบสินค้าล็อตนี้ละก็ นรมนไม่ค่อยจะเชื่อนัก
บุริศร์ก็ไม่เชื่อ เขากลับได้ยินอะไรบางอย่าง
“แกบอกว่าพ่อบ้านตระกูลปวนะฤทธิ์ลงทะเบียนให้?”
“ใช่”
“ชื่ออะไร?”
“ทวีอายุประมาณห้าสิบปี”
เบิร์ดพยายามคิดเรื่องที่ผ่านมา ก่อนจะกระซิบ “ตอนแรกฉันทุ่มเทแรงไปเยอะมากเพื่อติดต่อกับพ่อบ้านตระกูลปวนะฤทธิ์สำหรับเส้นทางนี้”
บุริศร์พูดขึ้นมา “พ่อบ้านของตระกูลปวนะฤทธิ์ไม่ใช่นามสกุลสุขสภา ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าแกจะถูกหลอก”
“เป็นไปได้ไง?”
เบิร์ดตะลึงงัน
“ฉันเห็นสินค้าของฉันไปยังเรือตระกูลปวนะฤทธิ์ด้วยตาของฉันเอง”
“เรืออยู่ แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นคนจากตระกูลปวนะฤทธิ์”
คำพูดของบุริศร์ ทำให้เบิร์ดนิ่งงันไปอีกครั้ง
“ใครกันที่สามารถใช้กลอุบายบนเรือตระกูลปวนะฤทธิ์?”
“เป็นคำถามที่ดี ฉันก็อยากรู้”
บุริศร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “แกบอกว่าตอนแรกแกทุ่มเทแรงไปเยอะมากเพื่อติดต่อกับพ่อบ้านตระกูลปวนะฤทธิ์ที่ชื่อทวีนี่?”
“ใช่”
“ติดต่อได้ยังไง?”
ในตอนแรกนรมนยังรู้สึกว่าบุริศร์กับเบิร์ดมาพูดเรื่องราวสมัยก่อนมันเสียเวลาเล็กน้อย แต่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าในจุดแรกเริ่มจะมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ตระกูลปวนะฤทธิ์ ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับเจตต์และขวัญตา เป็นไปได้ไหมว่าจะเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของตระกูลธีรกุลภักดีเมื่อแปดปีก่อน?
เบิร์ดไม่รู้ว่านรมนคิดอะไรอยู่ในใจ เขาหวนระลึกถึงเรื่องเมื่อก่อน จากนั้นจึงพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะใช้เงินผ่านคนในวงการเพื่อติดต่อไปนะ”
“คิดให้ดีๆ ถ้าสามารถนึกถึงคนที่เป็นรูปธรรมได้ ไม่แน่ว่าฉันสามารถให้โอกาสจริงๆกับแกได้ จนถึงตอนนี้ ฉันก็ไม่กลัวที่จะบอกแกอย่างชัดเจนว่า ฉันกับน้ำไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่แกทำผิดกับคนอื่นจริงแท้แน่นอน”
คำพูดของบุริศร์ ทำให้เบิร์ดนิ่งงัน
นรมนกังวลเล็กน้อย “บุริศร์ เรื่องนี้จำเป็นต้องให้เขารู้ด้วยเหรอ?”
บุริศร์มองไปยังเบิร์ด ก่อนจะพูดอย่างชัดเจนว่า “ผมคิดว่าเขาค่อนข้างมีความสามารถ แล้วก็สามารถประเมินและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ รู้ว่าควรพูดอะไรและไม่ควรพูดอะไร ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะตาย ก็ให้ตายโดยรู้ความจริงเสียก่อน”
เมื่อเบิร์ดได้ยินดังนี้ เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
“ผู้ชายของน้ำคือแกไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่”
“ใคร?”
“คนตระกูลธนเกียรติโกศล แกคิดให้ดีว่าแปดปีที่แล้วเกิดเรื่องกับใครในตระกูลธนเกียรติโกศล แค่นี้ก็รู้แล้ว”
คำพูดของบุริศร์ ทำให้ดวงตาของเบิร์ดเบิกกว้างขึ้นทันที
“เป็นไปได้ไง?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ตระกูลธีรกุลภักดีของแกเป็นแค่ตระกูลธรรมดา ทำไมถึงถูกปลุกปั่นให้ไปขอผู้หญิงตระกูลพรรณโรจน์แต่งงานได้ละ? น้ำตอนนั้นเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลพรรณโรจน์ แล้วแกไม่รู้เหรอว่าตระกูลพรรณโรจน์เป็นตระกูลขุนนางอะไร?
ยิ่งไปกว่านั้นแกพูดเองนี่ ว่าสินค้าของตระกูลธีรกุลภักดีเดิมทีก็ดีมาก ทำไมถึงติดต่อเส้นทางเดินเรือของตระกูลปวนะฤทธิ์ได้ละ? เรื่องนี้ใครพูดกับพวกแก? อย่าบอกฉันว่าแกใช้เส้นทางของตระกูลปวนะฤทธิ์เดินเรือมาโดยตลอด ถ้าหากใช้มาโดยตลอดจริงคงไม่เกิดเหตุการณ์ถูกคนหลอกอย่างนั้นหรอกนะ
นี่ไง คำถามก็มาแล้ว ตระกูลธีรกุลภักดีของแกไม่ได้ใช้เส้นทางเดิม แต่กลับใช้เส้นทางของตระกูลปวนะฤทธิ์ ทำไมละ? สรุปแล้วตอนนั้นการต่อสู้ของตระกูลธนเกียรติโกศล แกคิดเองให้ดีๆแล้วกัน”
บุริศร์พูดมาเยอะแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้พูดอะไร
บางเรื่องก็ยังต้องการให้เบิร์ดไปคิดดูด้วยตัวเอง
แน่นอน สีหน้าของเบิร์ดเปลี่ยนไป เขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในภายหลัง
ถ้าเขารู้ว่าน้ำเป็นผู้หญิงของธเนศพลมาตั้งนานแล้ว เขาจะไม่ขอเธอแต่งงาน แม้ว่าเขาจะมีความกล้าถึงสิบเท่าก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากแต่งงานเขาก็ยังทรมานน้ำอย่างนั้นอีก นี่เขาบ้าไปแล้วหรือไง?
เบิร์ดรู้มาตลอดว่าคุณชายทั้งสี่แห่งเมืองชลธีติดต่อกับเบื้องบนมาโดยตลอด แต่ไม่มีคนรู้ว่าคือใคร ตอนนี้บุริศร์พูดออกมาด้วยตัวเอง มันทำให้เบิร์ดกลัวจริงๆ
เมื่อคิดเช่นนี้ มันสมเหตุสมผลสำหรับบุริศร์แล้วที่จะออกหน้าแก้ไขปัญหานี้
เบิร์ดเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ว่าตัวเองไปล่วงเกินใครถึงทำให้ตระกูลธีรกุลภักดีมีชะตากรรมเช่นนี้
ทุกเรื่องราวกระพริบระยิบระยับในใจของเขาอีกรอบ เขารู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร
“แกอยากถามอะไร ถ้าฉันรู้ ฉันก็จะบอก”
“ใครคือเจ้าของบ้านหลังนี้? แกรู้จักไหม?”
บุริศร์ชอบคุยกับคนฉลาด ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเบิร์ดรู้สถานการณ์ของตัวเองแล้ว นอกเสียจากพึ่งพาเขาตามหาคนมาถือหาง ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว และถ้าเขาคิดจะช่วยเบิร์ดมาจากมือของธเนศพลอย่างเงียบเชียบ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เบิร์ดลังเล สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดว่า “เป็นเพื่อนของฉัน”
“เพื่อนแบบไหน?ชื่ออะไร? เบิร์ด มันมาถึงช่วงจังหวะที่สำคัญแล้ว แกคิดว่าแกยังมีทางเลือกอยู่อีกเหรอ? หรือแกคิดจะเป็นศัตรูกับฉันเพื่อเพื่อนคนนี้?
ฉันไม่กลัวที่จะบอกความชัดเจนกับแก ฉันที่มาวันนี้ที่นี่ก็เพื่อคนที่เรียกว่าเพื่อนอย่างแก เขาจับพี่ชายฉันไป ถ้าพี่ชายฉันเป็นอะไรไป ฉันจะไม่ปล่อยไปแน่ ฉันบุริศร์คนนี้เป็นคนที่เข้าข้างคนของฉัน โดยเฉพาะคนในครอบครัว!”
เสียงของบุริศร์ยิ่งพูดยิ่งเย็นลง ส่วนร่างกายของเบิร์ดกลับยิ่งฟังยิ่งสั่นเทา
“ลักพาตัว? เป็นไปไม่ได้! เขาไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่!”
“ฉันไม่จำเป็นต้องโกหกแก”
บุริศร์พูดเสียงเย็น
เบิร์ดไม่ได้โง่ แต่สายตาที่ใช้ในการดูคนของเขาไม่ค่อยปราดเปรื่องนัก
นรมนเครียดเล็กน้อย
“เบิร์ด รีบพูดมาเถอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายฉันจริง โอกาสสักนิดแกก็จะไม่มีเลย”
เบิร์ดเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย ราวกับเป็นกังวลไม่กล้าพูดอะไรบางอย่าง แต่หลังจากครุ่นคิดทุกอย่างด้วยความชัดเจน เขาจึงกัดฟันและพูดว่า “เขาเป็นแฟนผู้ชายของฉัน ชื่อพนอ”
คำว่า แฟนผู้ชาย สามคำทำให้นรมนตกตะลึง บุริศร์เองก็แปลกใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อคิดว่าเบิร์ดสูญเสียศักดิ์ศรีในฐานะผู้ชายไปเมื่อแปดปีก่อน ตอนนี้จะกลายมาเป็นเกย์ก็สามารถเข้าใจได้ ก็แค่แปลกใจแค่นั้น
นรมนไอ ก่อนจะลูบจมูกอย่างเก้อเขิน
เมื่อเบิร์ดได้พูดสามคำนี้ออกมา เขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว คำพูดมีแรงกำลังมากยิ่งขึ้น
“ฉันคนนี้ค่อนข้างที่จะไม่ปฏิบัติตัวกับตัวเองไม่ดี ในเมื่อฉันเป็นผู้ชายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรที่จะหาผู้ชายมาเป็นแฟน ทำอย่างไรก็ได้ที่ตัวเองมีความสุข
ฉันรู้จักพนอที่บาร์แห่งหนึ่ง ฉันก็ไม่รู้ว่าบาร์นั่นจะเป็นจุดรวมตัวของคนประเภทนั้น ดังนั้นเมื่อตอนที่ฉันก้าวเข้าไปก็ถูกคนพากันมามุงดู
ตอนนั้นมีผู้ชายหลายคนมาแหย่ฉัน และตอนนั้นฉันเองก็โกรธมาก และฉันก็ได้ต่อสู้กับพวกเขา แต่ฉันก็ตัวคนเดียวด้วย เป็นพนอที่ออกหน้ามาช่วย จากนั้นฉันกับเขาก็รู้จักกัน”
เมื่อพูดถึงขั้นตอนการทำความรู้จักกับพนอ เบิร์ดพูดออกมาอย่างชัดเจน นรมนรู้สึกอยากซุบซิบนินทาเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตากล่าวเตือนของบุริศร์ลอยมา จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเฮเฮออกมาสองครั้ง
“พูดต่อ”
เมื่อบุริศร์เห็นว่านรมนมีใจคิดอยากจะซุบซิบ เขาจึงเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา
เบิร์ดไม่ได้สังเกตเห็นถึงคู่สามีภรรยาตรงหน้าที่กำลังแลกเปลี่ยนสายตากัน เขากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ
“หลังจากที่ได้รู้จักกับพนอ พวกเราก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน ต่อมาฉันก็ได้รู้ว่าเขามีความต้องการแบบนั้น ก็เลยยินยอมไปเกินครึ่งหนึ่งแล้ว จากนั้นเราก็มั่วสุมอยู่ด้วยกัน เดิมทีพนอไม่ได้อยู่นี่หรอก แต่ถ้าให้ฉันทิ้งคนที่บ้านไว้ที่นี่ ฉันก็ทำไม่ได้ เขาจึงมาที่นี่เพื่อฉัน”
บุริศร์จับกุมข้อมูลได้อย่างละเอียดอ่อน
“นายหมายความว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ของพนอ?”
“ไม่ใช่ เขามาเช่า ฝั่งเราแต่เดิมเป็นเมืองเก่า หลายคนออกจากที่นี่ไปหลังจากที่พวกเขาร่ำรวย แต่บ้านที่ปล่อยเช่าที่นี่ มีค่าเช่าถูกมาก คนที่ออกไปแล้วก็ไม่คิดจะกลับมาอีกหรอก ส่วนใหญ่แล้วจะถูกเช่าเป็นเวลาหนึ่งปี แต่เพื่อจะให้ได้อยู่กับฉันไปได้อีกนาน พนอเลยเช่าไว้อีก10ปี”
“10ปี?”
บุริศร์หันไปสบตานรมน รู้สึกว่ามันผิดปกติ
เวลาสิบปีนั้นมันนานเกินไป ไม่มีใครจะจ่ายค่าเช่าสิบปีหรอก เว้นเสียแต่คนคนนี้มีแผนการที่ไม่ดี และมีเงินไม่ขาด