“มันทำให้เป็นกลางไม่ได้ เรื่องนี้ฉันมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นมากกว่าใคร ฉันเคยศึกษาส่วนประกอบเลือดของตัวเองด้วย ตอนนี้ยังหาจุดพลิกผันไม่ได้ นี่คือการเปลี่ยนแปลงของเลือดอย่างฉับพลันประเภทหนึ่ง ในปัจจุบันทางการแพทย์ยังทดสอบไม่ได้ และยังศึกษาวิธีทำให้เป็นกลางไม่สำเร็จเช่นกัน แต่ถ้าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เอาแบบนี้แล้วกัน”
จณัตว์มองโลกในแง่ดีพอสมควร
“อ้อ ฉันยังได้ศึกษาตัวยาชนิดหนึ่งที่ช่วยเรื่องภาวะมีบุตรยากของผู้หญิงด้วย นรมน ฉันได้ยินมาว่าเพื่อนของเธอคนหนึ่งมีสุขภาพไม่ดีและมีลูกไม่ได้ใช่ไหม? เธอลองติดต่อดูหน่อย พาหล่อนมาที่นี่ ฉันจะตรวจดูว่ายาที่ฉันศึกษามาจะมีประโยชน์กับหล่อนหรือเปล่า ถ้ามีประโยชน์ก็ให้หล่อนกินจะดีกว่า”
คำพูดของจณัตว์ทำให้นรมนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“คมทิพย์จะมีลูกได้แล้วเหรอ?”
ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้ คมทิพย์กลายเป็นนักร้องที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง และก้าวหน้าในวงการบันเทิงเมื่อปีก่อน ว่ากันว่าเธอได้เล่นละครยุคโบราณจนโด่งดังอย่างคาดไม่ถึง ในช่วงเวลานี้เธอยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้น ว่ากันว่าพฤกษ์ต้องรอหลายชั่วโมงกว่าจะได้พบเธอ ดังนั้นพฤกษ์จึงบ่นกับบุริศร์อยู่บ่อยครั้ง
บุริศร์คิดมาตลอดว่านรมนไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งตอนนี้ที่นรมนพูดออกมา เขาถึงได้รู้ว่าเธอให้ความสนใจคมทิพย์มาโดยตลอด
คมทิพย์และพฤกษ์มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีลูก ทั้งสองแต่งงานกันมาสองปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน บางครั้งคมทิพย์ก็มาปรับทุกข์กับนรมน ถ้าเธอมีลูกกับพฤกษ์ได้ ต่อให้เธอต้องปลีกตัวออกจากสังคมไปใช้ชีวิตส่วนตัวก็ไม่เป็นไร
เมื่อเธอคลอดลูกคนที่สอง เธอสามารถสัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่จะมีลูกของคมทิพย์ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการสะเทือนจิตใจของคมทิพย์ นรมนจึงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อลดเวลาที่เธอจะมาเยี่ยมตน
ตอนนี้คมทิพย์มีความหวังว่าจะรักษาหายเป็นปกติแล้ว นรมนก็ต้องมีความสุขมากเป็นธรรมดา
จณัตว์ยิ้มแล้วพูดว่า “ภรรยาของฉันก็ไม่มีลูก ฉันต้องทำให้ตระกูลทวีทรัพย์ธาดาของฉันมีทายาทสืบทอดสิ ถ้าเพื่อนของเธออยากจะขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณภรรยาของฉัน ไม่งั้นฉันจะลำบากทำไม”
ช่างดีอะไรอย่างนี้จณัตว์ มีน้ำใจกับหงส์มากเหลือเกิน
“คุณกลัวว่าหลังจากนี้หงส์จะไม่ยอมยกโทษให้คุณ คุณต้องการหาใครสักคนมาพูดถึงคุณในแง่ดีใช่ไหม?”
บุริศร์มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าจณัตว์คิดอะไรอยู่
“มองออกแต่ไม่เปิดเผย เรายังเป็นพี่เขยน้องเขยที่ดีต่อกันได้อยู่”
บุริศร์เพียงแค่เม้มปากและยิ้มมุมปากเล็กน้อย
นรมนมีความสุขมาก เช่นเดียวกับคิมและชินทร ท้ายที่สุดคมทิพย์ก็เป็นคนในครอบครัวของสหายร่วมรบของชินทร หากครอบครัวของเขามีความสุขได้ เขาก็จะสามารถสู้หน้าสหายร่วมรบที่เสียชีวิตไปแล้วได้
ราเชนพูดแทรกไม่ทัน จึงนั่งฟังเงียบๆ แต่ฉีกยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในเวลานี้ หัวหน้าองครักษ์ก็กลับมาพร้อมกับสิ่งที่จณัตว์ต้องการ
จณัตว์ยื่นให้นรมน แล้วพูดว่า “โทรหาเธอสิ ถ้ามาได้บ่ายวันนี้เลยจะดีมาก”
นี่คือการพิสูจน์ว่าเหตุผลที่เขารักษาคมทิพย์ ก็เพื่อให้คมทิพย์เกลี้ยกล่อมภรรยาของเขา
นรมนยิ้มอย่างมีความสุข รีบหยิบมือถือออกมาแล้วโทรหาคมทิพย์ แต่ทางนั้นไม่มีใครรับสาย น่าจะกำลังถ่ายละครอยู่
ทุกคนเห็นภาพอันดวงดาวเปล่งแสงแวววาว แต่กลับไม่คิดว่าพวกเขาจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมากมาแล้วจริงๆ
“เดี๋ยวเธอเห็นก็โทรกลับมาเองล่ะ แต่เมื่อไหร่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่คะ พี่ก็อธิษฐานให้ตัวเองแล้วกัน”
คำพูดของนรมนทำให้จณัตว์ร้องคร่ำครวญขึ้นมา
“จริงเหรอ อย่าบอกนะว่าแม้แต่สวรรค์ต้องการกำจัดฉัน?”
“คุณนี่น่ารำคาญจริงๆ”
บุริศร์ได้พูดแทงใจของจณัตว์อีกครั้งอย่างไม่กลัวตาย
“หุบปาก! ราเชน มีคนรังแกพี่ชายของคุณ คุณจะสนใจหรือเปล่า? พระราชาอย่างคุณไม่มีความรู้สึกของการมีตัวตนอยู่เลยเหรอ?”
จณัตว์รีบมองหาพันธมิตร
ราเชนรู้จักเอาตัวรอด เขารีบพูดทันที “แฟนสาวของผมน่าจะใกล้ถึงแล้ว ผมจะออกไปรับหน่อย พวกคุณว่ากันต่อตามสบาย”
พูดจบราเชนก็เผ่นแนบ
แต่นรมนและบุริศร์กลับจับข้อมูลสำคัญได้
“เดี๋ยวนะ แฟนสาว? แฟนสาวอะไร? พี่รองมีแฟนแล้วเหรอ? เขาไม่ได้…”
นรมนหุบปากอย่างกะทันหัน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตอนนี้ราเชนก็เป็นพระราชาแล้ว มีบางเรื่องที่ไม่สามารถคุยโวไปเรื่อยได้
แต่จณัตว์กลับพูดอย่างเฉยเมย “เฮ้ย เขาไม่ใช่กระต่ายอยู่แล้ว ความรู้สึกที่มีต่อซินดี้เหมือนเป็นครอบครัวมากกว่า และเพราะความรักความผูกพันที่สมชัยมีต่อแม่ของฉันและภรรยาคนอื่นๆ ทำให้เขาต่อต้านความรักระหว่างชายและหญิง ปล่อยให้ตัวเองอยู่กับซินดี้โดยไม่สนใจสิ่งใด ตอนนี้เขาได้เป็นพระราชาแล้ว ได้ติดต่อกับผู้คนมากขึ้น เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ มากขึ้น สถานการณ์ก็ย่อมแตกต่างไปเป็นธรรมดา ยิ่งกว่านั้นยังมีคนข้างกายที่คอยเอาใจใส่เขา เขาก็ไม่ได้เกิดมาจากก้อนหิน จะไม่รู้สึกหวั่นไหวได้อย่างไร?”
“พี่คะ พี่รู้เรื่องราวเบื้องหลังของความสัมพันธ์ไหม?”
นรมนมองตรงมาที่จณัตว์
จณัตว์พยักหน้าพูดว่า “รู้สิ พวกเธอไม่อยู่ มีแค่ฉันที่อยู่ มีอะไรที่ฉันไม่รู้บ้าง?”
“คุณอยู่เหรอ? คุณอยู่ในวังตลอดระหว่างที่พักฟื้นหรือเปล่า?”
บุริศร์เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ก็ยังถามออกไป
จณัตว์พยักหน้า “ตอนแรกบุณพจน์พี่ชายของคุณได้หาสถานที่พักฟื้นให้ผม ต่อมาพอร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว ก็มักจะรู้สึกว่าไม่สะดวกที่จะอยู่ที่นั่น เครื่องมือและอุปกรณ์การวิจัยทั้งหมดของผมอยู่ทางนี้ ที่นั่นสามารถเอาไว้พักผ่อนอย่างสงบได้ แต่ถ้าอยู่ไปนานๆ คงเบื่อตายชัก ผมเลยแอบกลับมา”
“แอบ? คุณไม่ได้บอกพี่ชายของฉันเรื่องความสัมพันธ์เหรอ?”
บุริศร์หรี่ตาลง ดูมีกลิ่นอายอันตราย
เมื่อจณัตว์รู้ว่าเขาเป็นคนปกป้องลูกของตัวเองมากแค่ไหน จึงรีบพูดว่า “ผมส่งข้อความบอกพี่ชายของคุณแล้ว เขาไม่ตอบผมก็ถือว่ายอมรับแล้ว ไม่ใช่เหรอ คุณนี่อารมณ์ไหน? ยังอยากจะกัดผมอยู่เหรอ? อย่าคิดว่ามีภรรยาอยู่เคียงข้างแล้วเจ๋งมากนะ ผมจะบอกคุณให้ คนไม่มีอะไรจะเสียย่อมไม่กลัวสิ่งใด!”
ทันใดนั้นนรมนก็รู้สึกว่าจณัตว์ที่อยู่ตรงหน้าดูสนุกไปหน่อย ไม่รู้ว่าเพราะช่วงนี้เหงาเกินไปหรือเปล่า ทำให้เขาข่มความรู้สึกเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรนิสัยเขาก็น่ารักกว่าเมื่อก่อนมาก
บุริศร์มองเขาอย่างดูถูก ไม่อยากจะไปสนใจเขา
จณัตว์เห็นว่ายั่วอารมณ์บุริศร์ไม่ขึ้น ก็อดรู้สึกเซ็งไม่ได้
“ไม่ใช่สิ ทำไมคุณไม่สนใจผมล่ะ?”
“ตอนนี้คุณอ่อนต่อโลกมากรู้ตัวไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าของคุณ ผมเกือบจะคิดว่าคุณเสียเลือดมากเกินไปจนสูญเสียแม้แต่อุปนิสัยของคุณไปแล้ว”
คำพูดของบุริศร์ทำให้จณัตว์รู้สึกห่อเหี่ยว
“คุณจะไปรู้อะไร? เวลาปีกว่าผมก็แทบบ้าแล้ว รู้สึกแย่กว่าติดคุกอีก
“มันเป็นการตัดสินใจของคุณเองไม่ใช่เหรอ? แล้วผมกับนรมนดีไปกว่ากันงั้นเหรอ? นรมนท้อง ต้องได้รับการเฝ้าดูแลและกักตัว หลังคลอดก็ยังต้อง…”
บุริศร์หยุดพูดอย่างกะทันหัน
ทำไมเขาถึงเกิดอ่อนต่อโลกขึ้นมา?
พูดอะไรกับจณัตว์ก็เหมือนว่าเขากำลังโอดครวญอยู่ ดังนั้นเขาจึงยั้งปากไว้ได้ทันเวลา แต่จณัตว์กลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แตกต่างออกไป
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้คุณบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกนะ?”
ทุกคนคงคาดไว้อยู่แล้วว่านรมนและบุริศร์จะถูกตรวจสอบและกักตัว แต่พอพูดถึงลูก มันทำให้จณัตว์รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา