เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หงส์ก็เหยียบคันเร่งพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง
จณัตว์แทบจะกระอักเลือดแล้ว
เมื่อครู่เขาเห็นรถของหงส์ชะลอลง ก็นึกว่าหงส์ให้อภัยตัวเองแล้ว ใจอ่อนไม่ลงโทษเขาแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเองคิดอะไรไร้เดียงสาเกินไป
ช่างมันเถอะ โพรงที่ตัวเองขุด ต่อให้คลานก็ต้องไปให้สุด ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้อีก?
จณัตว์วิ่งต่อไปอย่างยอมรับชะตากรรม ขณะที่หงส์ตรงกลับมาถึงวัง
หัวหน้าองครักษ์เห็นรถลิงคอล์นกลับมาก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“คุณชายจณัตว์ คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
สุดท้ายคนที่ลงจากมากลับเป็นหงส์ เขาตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้
“องค์หญิงห้า?”
“เกิดอะไรขึ้น? ตอนนี้เขาชื่อคุณชายจณัตว์แล้วเหรอ? ชื่อนามสกุลก็เปลี่ยนแล้วเหรอ?”
ประโยคนี้หงส์ถามอย่างเย็นชา
หัวหน้าองครักษ์กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “เปล่าครับ เขาชื่อจณัตว์ นอกจากนามสกุลที่เปลี่ยนกลับไปแล้ว อย่างอื่นก็เหมือนเดิม”
“เหมือนเดิม? คุณแน่ใจนะ?”
คำถามนี้เฉียบคมมากจนหัวหน้าองครักษ์ไม่กล้าตอบ
เขามองออกว่า ตอนนี้องค์หญิงห้ากำลังอารมณ์คุกรุ่น หาใครมาระบายไม่ได้ เขาจึงไม่อยากชนปากกระบอกปืนนี้
หัวหน้าองครักษ์รีบพูดว่า “องค์หญิงห้า พระราชาสั่งให้ผมรอท่านอยู่ที่นี่ วังของท่านยังเหมือนเดิม ให้ผมพาท่านไปที่นั่นไหม?”
“ไม่ต้องหรอก นรมนกับเฮียบุริศร์มาแล้วหรือยัง?”
ตอนนี้หงส์อยากรู้ว่าเหลือเกินว่าทำไมจณัตว์ถึงทำเช่นนั้น? ทำไมเขาไม่บอกแม้แต่เธอที่เป็นภรรยา? แล้วนรมนกับเฮียบุริศร์ก็เพิ่งรู้ด้วยเหรอ?
หัวหน้าองครักษ์พูดอย่างลำบากใจ “คุณชายบุริศร์กับคุณนายบุริศร์กลับห้องไปแล้ว ตอนนี้เกรงว่าไม่ค่อยเหมาะที่จะไปรบกวน”
“ไม่ค่อยเหมาะ?”
หงส์ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที
เธอตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพา เหตุใดเฮียบุริศร์ถึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้?
เมื่อครู่เธอยังนึกว่าพวกเขาสองคนอาจจะเพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนเธอ แต่ตอนนี้เธอมาคิดๆ ดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้!
ในระหว่างที่เฮียบุริศร์กับนรมนถูกกักตัวเพื่อตรวจสอบ เป็นเวลานานแต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดออกมา นั่นก็แสดงว่าพวกเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
รู้ตั้งแต่แรกแล้ว ก็แค่ปิดบังเธอไว้ใช่ไหม?
คิดว่าคนอย่างหงส์ใจดีงั้นเหรอ?
หรือว่าแค่อยากจะดูว่าเธอร้องไห้อย่างไร
เมื่อหงส์คิดถึงเรื่องนี้ ก็เดินตรงไปที่ห้องของบุริศร์กับนรมนอย่างไม่ลังเล
บุริศร์และนรมนกำลังทำศึกหนัก คิดว่าลูกชายไม่อยู่ ไม่มีใครมารบกวนพวกเขาแล้ว บุริศร์ทุ่มเททั้งร่างกายเพื่อทำให้ภรรยาพอใจ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก
นรมนตกตะลึงไปในทันที
บุริศร์อารมณ์เสีย
“ใครน่ะ? ไม่รู้เวล่ำเวลา?”
บุริศร์คิดว่าจะไม่ใส่ใจกับคนที่สลักสำคัญอะไร แต่อีกฝ่ายก็เคาะประตูเหมือนจะมางัดกับพวกเขา ไม่เปิดประตูก็เคาะไม่หยุด เสียงนั้นทำให้ทั้งสองไม่สามารถทำต่อไปได้แม้จะเร่าร้อนเพียงใด
ก่อนที่ไฟทั่วร่างจะสลายไป บุริศร์ก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันตัวเองอย่างหงุดหงิด ขณะที่นรมนรีบคว้าเสื้อผ้าไปห้องน้ำเพื่อล้างตัว
“ไม่มีมารยาทขนาดนี้เลยเหรอ?”
บุริศร์เปิดประตูพรวดด้วยความโกรธ เห็นหงส์ยืนอยู่ที่ประตู มีท่าทางแปลกๆ
“เฮียบุริศร์ กลางวันแสกๆ ทำอะไรกันอยู่?”
ว่าแล้วหงส์ก็กำลังจะมองเข้าไปข้างใน แต่ถูกบุริศร์ขวางไว้
“ทำไมเธอกลับมาเร็วจัง?”
“ทำไมล่ะ? ฉันควรจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ? จะว่าไปแล้วฉันก็เคยชอบเฮียบุริศร์มาก ตอนนี้ได้รู้ว่าคนที่ฉันชอบมากที่สุดก็ยังเป็นเฮียบุริศร์ จะทำยังไงดี? ห้องส่วนตัวของฉันนั้นเงียบเหงา พี่ช่วยปลอบประโลมฉันหน่อยได้ไหม?”
หงส์พูดพลางเอื้อมมือไปสัมผัสกล้ามเนื้อหน้าอกของบุริศร์ จนทำให้บุริศร์ผงะถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อหลบหลีกกรงเล็บปีศาจของเธอ
“เธอโดนผีเข้าหรือเปล่า?”
“เปล่า ฉันแค่รู้หัวใจตัวเองชัดเจนแล้วเท่านั้น เฮียบุริศร์ตามใจฉันเถอะ”
หงส์พูดพลางก้าวไปข้างหน้าต่อไป
ผิดปกติ!
ผิดปกติมากๆ!
ในที่สุดบุริศร์ก็สัมผัสได้ถึงความโกรธของหงส์ ในใจอดกลัดกลุ้มไม่ได้
เจ้าโง่จณัตว์ แม้แต่ภรรยาก็ยังง้อไม่สำเร็จ บัดนี้ไฟสงครามได้ลามมาถึงเขาแล้ว แล้วจะทำอย่างไรดี?
“หงส์ เธอฟังฉันนะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกเธอเรื่องจณัตว์ เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนั้นมันทำไม่ได้ และจณัตว์ก็ไม่ให้พวกเราพูด ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่นับว่าเราเป็นญาติกัน”
คนอื่นตายได้แต่ตัวเองต้องรอด!
ตอนนี้บุริศร์โยนได้ก็ต้องรีบโยนให้พ้นตัวก่อน
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหงส์โกรธ แม้ว่าเธอจะไม่ร้องหรือตะโกนใดๆ แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
พลังสู้รบเหมือนกับฟ้าร้องที่ไร้เสียง
มันอาจจะระเบิดได้ทุกเวลา แล้วยังจะทำให้ผู้คนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ภรรยาของจณัตว์ก็ให้จณัตว์แบกรับไว้เองดีกว่า แม้ว่าพวกเขาสองคนจะต้องระเบิดเป็นเถ้าถ่าน เขาก็ไม่สนใจ
ดวงตาของหงส์หรี่ลง อารมณ์ที่ซับซ้อนแวบผ่านเข้ามา
“พวกคุณรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ จงใจเยาะเย้ยฉันเหรอ? หรือคิดว่าฉันเคยกวนใจคุณเลยตั้งใจทำโทษฉัน?”
ในเวลานี้นรมนได้ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วและเดินออกมา เมื่อได้ยินสิ่งที่หงส์พูดก็รู้ว่า หงส์เป็นทุกข์มาก ไม่สามารถก้าวผ่านอุปสรรคนั้นไปได้เลย
เธอผลักบุริศร์ออกไป แล้วเข้าสวมกอดหงส์
หงส์ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย อยากจะผลักนรมนออก แต่ได้ยินเธอพูดว่า “ตอนนั้นพี่ชายของฉันถูกคนจับตามองอยู่ แม้แต่พ่อแม่ของฉันก็ยังอยู่ในขอบเขตการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด พวกเราบอกคุณไม่ได้ เขาเคยถูกวางยาพิษ แต่รอดพ้นจากภัยอันตรายมาได้อย่างโชคดีและสร้างเลือดพิเศษขึ้นมา เรื่องนี้เบื้องบนได้รับรู้และส่งคนไปแอบจับตาดูเขาอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเช่นเดียวกับนภดล ถ้าพี่ชายของฉันไม่ตาย ทั้งคุณและเขา หรือแม้แต่ลูกๆ ในอนาคตของพวกคุณจะต้องอยู่ภายใต้การจับตามองจากคนอื่น พี่ชายของฉันบอกว่าคุณคือหงส์ผู้เย่อหยิ่ง ไม่อาจเป็นนกคีรีบูนที่ถูกขังอยู่ในกรง ดังนั้นเขาจึงต้องทำแบบนี้ วันข้างหน้าจณัตว์ต้องให้โลกที่กว้างขวางแก่ชีวิตของญาณิน ไม่ใช่ให้อยู่แต่ในมุมหนึ่ง”
นรมนพูดเร็วมาก กลัวว่าหากตัวเองพูดช้าจะถูกหงส์ผลักออกไป
หลังจากนี้ได้ยินสิ่งที่นรมนพูดในเวลานี้ ความโกรธและความคับข้องที่มีอยู่เต็มหัวใจทำให้หงส์ร้องไห้ออกมาอย่างฉับพลัน น้ำตาร้อนผ่าวหยดลงมาบนหัวไหล่ของนรมนทีละหยด ทำให้นรมนตกใจไปในทันที
“หงส์ คุณอย่าร้องไห้เลย พวกเราไม่ได้อยากเยาะเย้ยเธอ จริงๆ แล้วที่พี่ชายฉันแกล้งตาย คุณเสียใจมาก ฉันอยากจะบอกคุณตั้งหลายครั้ง แต่คุณก็รู้สถานการณ์ของฉันกับบุริศร์ เรา…”
“ทำไมเธอถึงปิดบังเรื่องสำคัญจากฉัน? ฉันไม่ได้เป็นภรรยาของเขาหรอกเหรอ? เขารู้ได้อย่างไรว่าฉันจะไม่เต็มใจถูกเฝ้าจับตามองเพราะเขา?”
ในที่สุดหงส์ก็ทนเก็บความทุกข์ใจเอาไว้ไม่ได้ ร้องไห้ออกมาอย่างแผ่วเบา
นรมนมองไปที่บุริศร์เพื่อขอความช่วยเหลือ
เธอรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้จริงๆ
พอเห็นหงส์เศร้า ความจริงบุริศร์ก็รู้สึกไม่ค่อยดี แต่เขาก็ยังพูดเบาๆ “ถ้ารู้สึกอึดอัดก็ตีผู้ชายของเธอให้ตายเลย ถ้ายังไม่ไหวก็มัดเขาไว้บนเตียงทารุณเขาจนตาย อันที่จริงเหลือไว้เพียงลมหายใจก็พอแล้ว เรื่องอื่นเราไม่สน”
คำพูดนี้ทำให้หงส์และนรมนตกตะลึงในเวลาเดียวกัน