“เงยหน้าขึ้น!”
เสียงของนรมนไม่ดัง แต่กลับน่าเกรงขามมาก
อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย แล้วทุ่มของในมือไปทางนรมนอย่างรวดเร็ว
นรนมจึงป้องกันตัวด้วยสัญชาตญาณ ทั้งยังตะโกนออกมาในทันที
“องครักษ์! ขวางผู้หญิงคนนั้นไว้!”
ผู้หญิงคนนั้นกระโดดหนีไปทางหน้าต่าง องครักษ์จึงรีบไล่ตามออกไป
บุริศร์ได้ยินเสียงพวกเขาก็รีบตามเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขารีบดึงนรมนเอาไว้ ตรวจสอบร่างกายของเธออย่างละเอียดว่าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า
นรมนส่ายหน้าพูดขึ้น: “ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้มีคนจะเข้าไปหานภดล แล้วโดนฉันเห็นเข้าโดยบังเอิญ”
“นภดล?”
บุริศร์หรี่ตาลงเล็กน้อย คมทิพย์กับปัญญ์รีบตามออกมา ตอนที่ได้ยินคำพูดของนรมนก็ชะงักไปชั่วครู่
“ปาณีหรือเปล่า?”
คมทิพย์รู้เรื่องทั้งหมด ดังนั้นจึงเดาถึงปาณีทันที
นรมนส่ายหน้า
“ไม่ใช่ รูปร่างส่วนสูงของปาณีฉันจำได้ ผู้หญิงคนนั้นเสียงแหบพร่า ส่วนสูงกับรูปร่างไม่เหมือนปาณีด้วย”
“งั้นจะเป็นใคร?”
ทุกคนพากันสงสัยสาวใช้คนนี้
ราเชนได้ยินว่ามีคนที่ตัวตนไม่แน่ชัดเข้ามาในวัง จึงเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เพียงแต่สาวใช้คนนั้นเหมือนกับจู่ๆก็หายตัวไป ใครๆก็ไม่พบร่องรอยใดๆเลย
“ไม่ว่ายังไงเส้นทางที่เดินผ่านไปก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้าง แต่สาวใช้คนนี้กลับทำให้ไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งและการมีตัวตนของเธอได้เลย บอกได้แค่ว่าถ้าไม่ได้อยู่ในวังนี้ ก็ต้องคุ้นเคยกับที่นี่เป็นพิเศษ”
บุริศร์เห็นด้วยกับคำพูดของเจตต์มาก
จณัตว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หลักๆแล้วตอนนี้นภดลไม่มีปัญหาอะไร อีกฝ่ายมาหานภดลเพื่ออะไร? อยากตรวจสอบสถานการณ์ของนภดลงั้นเหรอ? หรือว่าอยากได้อะไรจากบนร่างกายของนภดลอีก?”
“ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ก็ต้องย้ายนภดลออกไปแล้ว”
ชญตว์รีบรับคำ “ไปบ้านผมเถอะ ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนกล้ามาที่ตระกูลธนปารกุลของพวกผม”
ทุกคนตะลึงงัน
แต่จณัตว์กลับยิ้มพูดขึ้น: “แหงสิ ที่ประเทศFก็ไม่มีใครกล้าไปที่ตระกูลธนปารกุลจริงๆ นอกจากจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”
“ทำไมถึงพูดอย่างนี้”
นรมนค่อนข้างสงสัย
ชญตว์จึงพูดขึ้นอย่างภูมิใจ: “เพราะพวกเราเป็นตระกูลที่มีพิษเฉพาะตัว”
“เฉพาะตัวอะไรนะ?”
คมทิพย์ฟังไม่เข้าใจ จึงถามกลับไปทันที ทำให้ชญตว์เบ้ปากนิดหน่อย
“คุณนี่เป็นดาราอย่างสมภาคภูมิจริงๆ เวลาไหนก็อยากได้ความเฉพาะตัวสินะ? ผมพูดถึงพิษที่เป็นการใช้พิษโดยเฉพาะน่ะ ตระกูลของผมอยู่ในคฤหาสน์ ทางเข้าคฤหาสน์ของพวกผมมีพืชสมุนไพรอยู่ ถ้าไม่ใช่คนของตระกูลผม เข้ามาเพียงสามเมตรก็จะหมดสติ และโดนพิษทันที”
ได้ยินชญตว์พูดอย่างนี้ นรมนจึงเบิกตาโพลง
“น่าอัศจรรย์ขนาดนี้เลยเหรอ?”
“แน่นอน ตระกูลธนปารกุลของพวกผมเป็นตระกูลขุนนางมาหลายชั่วอายุคนแล้ว”
เห็นท่าทางโอ้อวดของชญตว์ คมทิพย์ก็รู้สึกขัดตาเหลือเกิน จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น: “ตระกูลมีพิษหลายชั่วอายุคนหรือเปล่า? นายอย่าได้สบประมาทตระกูลขุนนางเชียวนะ”
“คมทิพย์ นี่คุณจะหาเรื่องใช่ไหม?”
“ใช่น่ะสิ นายจะสู้ใช่ไหม? มาเลย! ตอนนี้ฉันมีสองคน จะสู้กับฉันก็ลองสิ!”
คมทิพย์ยื่นท้องไปอย่างเก่งกาจ ทำให้ชญตว์กลุ้มใจขึ้นมาทันที
“ผม ผมไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคนท้องหรอกนะ”
“เชอะ! พูดอย่างกับนายเถียงชนะฉันงั้นแหละ!”
คมทิพย์กับชญตว์ต่อปากต่อคำกันโดยไม่สนใจคนรอบข้าง นรมนเห็นปฏิกิริยาระหว่างพวกเขาแล้ว ก็ค่อนข้างประหลาดใจ
ส่วนบุริศร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจตต์นึกถึงพฤกษ์ที่ตอนนี้เป็นตายยังไงก็ไม่รู้ แล้วยังมาเห็นคมทิพย์ลับฝีปากกับชญตว์อีก จู่ๆก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
“เฮ้ ชญตว์ นายอายุเท่าไหร่? แต่งงานหรือยัง?”
ชญตว์ที่โดนเจตต์ถามอย่างนี้ ชะงักเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความหงุดหงิด: “ทำไมที่ไหนๆก็มีแต่คนเร่งให้แต่งงาน? อีกอย่างนะ เราสนิทกันหรือไง? คำถามนี้นายไม่รู้สึกว่ามันล้ำเส้นไปหน่อยเหรอ?”
“ฉันไม่รู้สึกนะ ฉันแค่รู้สึกว่านายสนิทสนมกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเช่นนี้มันดูไม่ค่อยดีมากกว่า”
เจตต์พูดตรงไปตรงมา ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องหวาดหวั่นอะไร แม้เริ่มแรกจะต่อต้านพฤกษ์มาก ไม่ชอบสหายคนนี้เลย แต่หลังจากได้รู้ว่าชีวิตของพฤกษ์ผ่านอะไรมาบ้าง ยิ่งได้เห็นพฤกษ์ทำทุกอย่างเพื่อบุริศร์แล้ว สหายอย่างพฤกษ์ เจตต์จึงยอมรับได้เลย
ถึงยังไงก็โดนเขาเรียกว่าพี่ชายมาตั้งหลายปี ตอนนี้เขาจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ แต่น้องสะใภ้กลับเข้ากับผู้ชายอื่นได้ดีเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะโมโห
นรมนกับคมทิพย์รวมไปถึงทุกๆคนพากันตกใจคำพูดของเจตต์ที่แทบจะถือว่าเป็นคำปลุกปั่นก็ว่าได้
ขวัญตาดึงๆเจตต์ พูดขึ้นเบาๆ: “คุณพูดเหลวไหลอะไรเนี่ย?”
“ขอโทษที”
เจตต์พูดไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยดีจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่สบเข้ากับสายตาประหลาดใจและลำบากใจของคมทิพย์ เขาก็รู้ว่าตนเองวู่วามไปแล้ว
บางทีคงเป็นเพราะห่วงพฤกษ์เกินไป
ตอนนี้จึงทนเห็นผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจลับฝีปากกับผู้ชายอื่นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่ได้ แต่เขาก็รู้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะบอกข่าวพฤกษ์ให้คมทิพย์รู้
ชญตว์ไม่รู้เรื่องพวกนี้ ตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ของเจตต์สีหน้าจึงอึมครึมขึ้นมา
“ขอโทษอะไร? นายเป็นผู้ชายหรือเปล่า? ตอนที่พูดไม่คิดก่อนหรือไง? คิดว่าตอนนี้ยังเป็นสังคมสมัยโบราณ ที่ระหว่างชายหญิงแค่ต่อปากต่อคำกันก็ไม่ได้งั้นเหรอ? ฉันกับคมทิพย์เป็นยังไงเหรอ? ฉันกับเธอบริสุทธิ์! พวกเราสนิทกัน เป็นเพื่อนกัน แล้วมันทำไม? พูดง่ายๆก็คือยังต้องเป็นภรรยาที่มีศีลธรรมใช่ไหมล่ะ? ฉันขัดตานาย? หรือคมทิพย์ขัดตานายกันแน่? ถ้าอยากปะทะก็พูดให้มันชัดเจน”
แม้ปกติชญตว์จะเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจอะไร แต่ตอนที่จริงจังขึ้นมาก็ต้องมีความโมโหปะปนอยู่ด้วย
เดิมทีเจตต์ก็รู้สึกว่าตนเองพูดอย่างนั้นมันค่อนข้างวู่วาม แต่เพราะเขาเป็นห่วงพฤกษ์ ในใจจึงค่อนข้างโมโห ตอนนี้ตนเองขอโทษแล้ว แต่ชญตว์ยังไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามอีก ความโมโหในใจจึงพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“ปะทะงั้นเหรอ? นายสู้ฉันได้ไหมล่ะ?”
“ลองสิ!”
สงครามของทั้งสองคนกำลังจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
แม้คมทิพย์จะไม่รู้ว่าวันนี้เจตต์เป็นอะไร แต่ก็ไม่อยากสร้างความวุ่นวายในงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นของราเชน เธอจึงรีบก้าวขึ้นไปดึงชญตว์กลับมา
“ลองอะไรล่ะ? สภาพคุณอย่างนี้ยังคิดจะต่อสู้อีก? คุณสามคนบวกกับอีกหนึ่งส่วนก็อาจจะสู้กับเขาไม่ได้นะ”
คำพูดนี้จริงๆก็ธรรมดามากๆ แต่วันนี้เจตต์ฟังไม่เข้าหูซะแล้ว จึงโพล่งออกไปทันที: “ไม่ทันไรก็ปกป้องกันซะแล้ว?”
“เจตต์!”
ขวัญตาเห็นเขาไม่เข้าท่าขึ้นเรื่อยๆแล้ว จึงลากเจตต์กลับมา แล้วยิ้มพูดกับคมทิพย์อย่างรู้สึกผิด: “ขอโทษด้วยนะคะ วันนี้เขาดื่มเยอะน่ะค่ะ”
“ดื่มเยอะงั้นเหรอ? ดื่มเยอะแล้วจะพูดเหลวไหลยังไงก็ได้ใช่ไหม? เจตต์ คุณหมายความว่าไง? ฉันล่วงเกินคุณหรือไง? หรือฉันทำอะไรคุณ? วันนี้คุณพูดกับฉันแปลกๆ พ่นคำสกปรกใส่ฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะอะไร? คุณไม่พอใจฉันใช่ไหม?”
สีหน้าของคมทิพย์ก็เคร่งขรึม ดวงตาคู่นั้นจ้องไปที่เจตต์ บรรยากาศในห้องโถงค่อนข้างหายใจลำบากและน่าอึดอัดขึ้นมาทันที