คมทิพย์กับพฤกษ์อยู่ในห้องจนเบื่อสักพักแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ก็วิ่งออกมาโดยสัญชาตญาณ จึงเห็นนรมนยืนอยู่บนที่โล่งกำลังมองเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ไกลๆบนท้องฟ้า สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม จึงอดไม่ได้ที่จะชะงักงัน
“เป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ให้โสธรออกไปดูรอบๆเฉยๆน่ะ ถึงยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ในประเทศ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตา อีกอย่างที่นี่มีแต่คนเจ็บ ฉันต้องรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา”
นรมนในตอนนี้ไม่อยากให้คมทิพย์รู้อะไรสักนิดเลย ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ท้องอยู่ด้วย ได้อยู่ดูแลพฤกษ์ใช้ชีวิตเรียบง่ายกันสองคนก็ไม่เลวแล้ว ถ้าเป็นไปได้ นรมนอยากส่งพวกเขากลับประเทศด้วยซ้ำ
กลับประเทศ?
จู่ๆนรมนก็รู้สึกว่าหนทางนี้เป็นไปได้
ตอนนี้คนเจ็บพวกนี้ต้องหยุดอยู่ที่นี่ก่อนเป็นเพราะคนเจ็บบางคนไม่เหมาะสมที่จะเคลื่อนย้าย อีกอย่างเป็นเพราะที่นี่โดนปิดกั้น ตอนนี้ลูกหลานของตระกูลนนท์สัจทัศน์อยากให้คนเจ็บพวกนี้กลับประเทศจะแย่แล้วสินะ ดังนั้นถือโอกาสส่งคนเจ็บพวกนี้กลับก็อาจจะเป็นเรื่องดี
เพราะคนเจ็บพวกนี้โสธรจึงให้เธออยู่ที่นี่ แต่ถ้าคนเจ็บพวกนี้ไม่อยู่แล้วล่ะ?
นรมนตบๆไหล่ของคมทิพย์ ยิ้มพูดขึ้น: “เธอนี่เป็นดาวนำโชคของฉันจริงๆ”
“ห๊ะ?”
คมทิพย์ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าประโยคไหนของตนเองที่ทำให้นรมนดีใจ แต่ถึงยังไงได้เห็นท่าทางมีความสุขของนรมน เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย
“ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ ฉันกับพฤกษ์พวก……”
“ฉันรู้ พวกเธอคืนดีกันแล้ว”
คำพูดของนรมนทำให้คมทิพย์เข้าใจได้ในทันที
“ดีนักนะ เธอแอบฟังพวกเราคุยกัน! นรมน เธอแอบฟังอยู่ที่มุมกำแพงได้ยังไง? เธอคือคุณนายนะ! ระวังตัวตนของเธอหน่อยดีไหม?”
พูดๆอยู่เธอก็จะเข้าไปจั๊กจี้นรมน แต่นรมนกลับหลบไปได้
“ฉันแอบฟังที่ไหนล่ะ? เธอเสียงดังจนได้ยินกันทั้งทางเดินแล้ว ฉันฟังอย่างโจ่งแจ้งเลยเข้าใจไหม?”
“เธอยังมีหน้ามาพูดอีก!”
เพราะเรื่องของพฤกษ์คมทิพย์จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หยอกเย้ากับนรมนอยู่สักพักก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงนั่งพักอยู่บนเก้าอี้
มองเมฆขาวที่ขอบฟ้า คมทิพย์พูดอย่างสบายใจ: “ฉันไม่เคยสังเกตเลยว่าท้องฟ้าด้านนี้มันฟ้าดีจัง”
นรมนก็นั่งอยู่ข้างเธอ ยิ้มพูดขึ้น: “นั่นเป็นเพราะคนที่เธอเป็นห่วงไม่อยู่ไง จึงไม่ได้สังเกตสิ่งเหล่านี้เลย”
อย่างเช่นเธอในตอนนี้
เพราะบุริศร์ไม่อยู่ เธอมองอะไรก็ไร้สีสันไปหมดเลย โดยเฉพาะตอนนี้ไม่รู้ว่าบุริศร์เป็นยังไงบ้าง
ราวกับฟังความคิดถึงที่อยู่ในคำพูดของนรมนออก คมทิพย์ชะงักเล็กน้อย นึกถึงเฮลิคอปเตอร์ก่อนหน้านี้อยู่สักพัก จู่ๆก็พูดขึ้น: “บุริศร์เกิดเรื่องแล้วใช่ไหม?”
นรมนชะงักไปทันที คิดจะปฏิเสธ แต่เห็นดวงตาที่เข้าใจทุกอย่างแล้วคู่นั้นของคมทิพย์ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพูดขึ้น: “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เธออย่าคิดมาก”
“ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เธอคงไม่มีสีหน้าท่าทีอย่างนี้หรอก นรมน เธอกับฉันไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาปีสองปีนะ บุริศร์ไปอาณาเขตของศัตรูแทนพฤกษ์ของฉัน ถ้าเกิดเรื่องจริงๆ คนร่าเริงสดใสอย่างพฤกษ์ คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เธออยากทำอะไรก็ไปทำ ถึงฉันจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่แค่เธอสั่งมา ตอนนี้ฉันยังพอจะทำได้”
เห็นสีหน้าของคมทิพย์ จู่ๆนรมนก็รู้สึกอบอุ่นใจ
เธอจับมือของคมทิพย์เอาไว้ พูดขึ้น: “เขาไม่เป็นอะไรจริงๆ อย่าคิดมาก ฉันแค่กังวลว่าอาณาเขตศัตรูที่ด้านนั้นจะลงมือกับคนเจ็บที่อยู่กับพวกเรา ถึงยังไงสถานการณ์สงครามที่แนวหน้ายังเอาชนะกันไม่ได้ ใครก็ไม่รู้ว่าวินาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนคนเจ็บที่ด้านนี้เป็นกลุ่มที่เปราะบางจริงๆ”
กำลังทหารทั้งหมดอยู่ที่แนวหน้า ไม่มีกำลังทหารที่พอจะสามารถเจียดเวลาออกมาดูแลที่ด้านนี้ได้เลย ถ้าเธอเป็นเขตของศัตรู ไม่แน่อาจจะให้ที่นี่เป็นเป้าหมายโจมตีก็ได้ ดังนั้นการครุ่นคิดของโสธรน่าจะถูกต้อง
คมทิพย์ได้ยินนรมนพูดอย่างนี้จึงตกตะลึงไปชั่วครู่
ตอนที่เธอแค่คิดว่าจะพยายามช่วยคนเจ็บด้วยแรงอันน้อยนิดของตนเอง นรมนกลับนึกไปถึงสถานการณ์ของสงครามแล้ว นี่อาจจะเป็นช่องว่างระหว่างเธอกับนรมนสินะ
จู่ๆคมทิพย์ก็รู้สึกว่านรมนที่รู้จักเมื่อก่อนราวกับค่อยๆเปลี่ยนแปลง ทำให้เธอรู้สึกสูงส่ง รู้สึกอบอุ่น รู้สึกปลอดภัย
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่แค่มีนรมนอยู่ เธอก็จะสบายใจ
คมทิพย์จับมือของนรมนพูดขึ้นทันที: “เธอวางแผนจะทำยังไง?”
“บาดแผลของพฤกษ์สาหัส แต่บาดแผลของเหล่าสมาชิกทีมที่ส่งเขากลับมายังพอไหว ฉันจึงวางแผนจะให้พวกเธอพาคนเจ็บพวกนี้กลับประเทศ”
“กลับประเทศ? ที่นี่โดนปิดกั้นไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นก็ฉีกบาดแผลเดิมที่ติดกันอยู่สิ แทนที่จะรอให้คนอื่นมาคิดบัญชีพวกเรา สู้พวกเราหาทางออกด้วยตนเองดีกว่า”
แววตาของนรมนในตอนนี้มาพร้อมกับความหนักแน่น ทำให้ใครก็มองข้ามไม่ได้
คมทิพย์มีเลือดร้อนๆฮึกเหิมขึ้นมาทันที
“เธอมีแผนแล้วเหรอ?”
“อืม แต่ว่าต้องใช้เวลาหน่อย เธอเข้าไปคุยๆกับพวกพฤกษ์ก่อน ฉันจะจัดการครู่หนึ่ง”
“ได้”
เดิมทีคมทิพย์คิดจะลุกขึ้น แต่กลับมองนรมน แล้วพูดอย่างจริงจัง: “ไม่ว่าตอนไหน เธอต้องใส่ใจความปลอดภัยของตัวเองนะ ไม่งั้นชีวิตนี้ฉันจะไม่ให้อภัยเธอเลย”
คำพูดนี้คุ้นหูขนาดนั้น เหมือนเธอเพิ่งจะพูดกับโสธรไปไม่นาน ตอนนี้ได้ยินคมทิพย์พูดอย่างนี้ นรมนจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ฉันรู้แล้วหน่า รีบไปเถอะ”
บางทีแค่มีคนที่ใส่ใจถึงได้ข่มขู่อีกฝ่ายอย่างนี้สินะ
หลังจากคมทิพย์ออกไป นรมนก็หยิบมือถือออกมา โทรไปหาอรรณพ
ตอนนี้ถ้าโทรหาธเนศพลคงไม่ทันการณ์แล้ว และทางนี้ค่อนข้างใกล้กับทางอรรณพมากกว่า
หลายปีมานี้ ประเทศYรักษาความเป็นกลางระหว่างประเทศมาโดยตลอด แต่ทว่าหลังจากอรรณพกลับไปรับช่วงต่อการบริหารประเทศ กลับมีความตั้งใจที่จะรักษามิตรภาพอันดีกับภายในประเทศเอาไว้
ตอนนี้เธอกลับไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องของประเทศกับประเทศมาขอร้อง เพียงแค่เรื่องของบุริศร์เรื่องเดียวอรรณพก็คงเคลื่อนกำลังพลมาช่วยเหลือแล้ว
อรรณพทางนั้นรับสายอย่างรวดเร็ว
“พี่มน ทางผมนี่เพิ่งจะตีห้าเองนะ พี่จะไม่ให้เวลาผมได้มีช่วงเวลาสนุกกับภรรยาของผมหน่อยเหรอ?”
เสียงของอรรณพยังคงแหบพร่า ชัดเจนว่าเพิ่งตื่นขึ้นมา
นรมนยิ้มพูดขึ้น: “ฉันไม่มีคนให้นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มน่ะ ถ้านายนอนกอดภรรยาของนายอยู่ ฉันยิ่งไม่สบายใจ ไม่โทรหานายตอนดึกดื่นก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“พี่มนนิสัยไม่ดีนะ”อรรณพหาวไปพูดไป
นรมนได้ยินเขาพูดกับรมิดาที่อยู่ข้างๆเบาๆ: “คุณนอนต่ออีกหน่อยนะ ผมไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงก่อน”
“อืม”
ชัดเจนว่ารมิดายังไม่ตื่น
นรมนค่อนข้างรู้สึกผิด แต่ทว่าตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว
อรรณพถือโทรศัพท์ไปที่ระเบียง เปิดหน้าต่าง ลมเย็นๆที่พัดเข้ามากลับทำให้ตื่นตัวได้ไม่น้อยเลย
“พี่มน โทรมาเช้าขนาดนี้มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า? ไม่มีคนให้นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มงั้นเหรอ แล้วพี่รองล่ะ?”
“เขาไปสนามรบแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ในโรงพยาบาลเขตสนามรบที่สนามรบต่างประเทศ”
แค่พูดคำนี้ออกไป อรรณพก็ตะลึงงันไปทันที