“คนของเรานี่!”
ในขณะที่ถูกพยุง เจตต์ก็มองเห็นเฮลิคอปเตอร์ที่ลอยอยู่บนฟ้ามีสัญลักษณ์สหภาพQTกับอาณาจักรรัติกาล เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
โสธรเองก็เช่นเดียวกัน
ดูเหมือนรองหัวหน้าจะหาวินเซนต์แห่งสหภาพQTเจอแล้ว?
“ฉันให้วินเซนต์ไปตามหาคนของอาณาจักรรัติกาลเองล่ะ”
ราวกับบุริศร์รู้ว่าโศธรกำลังคิดอะไรในใจ เขาตบไหล่ของโสธร แล้วพูดเสียงเบาว่า “ผู้หญิงคนนี้สำคัญกับนายมากใช่ไหม?”
สำคัญ?
โสธรนิ่งไปเล็กน้อย
ใช่
เธอสำคัญกับเขามาก!
เหมือนเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง!
ทว่าบุริศร์กลับพูดออกมาว่า “ดูแลเธอให้ดีๆหน่อยนะ ที่ออกมาตกระกำลำบากเพื่อปฏิบัติภารกิจข้ามประเทศกับนายขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในสายเลือด ก็คงไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก ถ้านรมนรู้ว่านายมีแฟนต้องดีใจมากแน่ๆ นายสบายใจได้ ฉันจะหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาเธอ รับรองว่าจะไม่ให้มีโรคแทรกซ้อนแน่นอน”
จู่ๆโสธรก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เขามองมาที่บุริศร์ เขาค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถปกปิดความรู้สึกที่มีต่อนรมนได้เลยจากสายตาที่ส่อแแววชัดเจนของบุริศร์
บางทีเขาอาจจะปิดบุริศร์ไม่ได้ตั้งแต่เริ่มเลยด้วยซ้ำ
เขารู้ดีว่าบุริศร์ขี้หึงมากขนาดไหน แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่เคยเผยพิรุธ ยังคงปฏิบัติกับเขาเหมือนอย่างเคย นั่นหมายความว่าบุริศร์เชื่อใจเขาและเชื่อใจนรมน
ใช่
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนไม่มีใครสามารถเข้าไปแทรกได้อยู่แล้ว
เขารู้อยู่แล้วว่าความฝันที่เขามี สักวันก็ต้องมีคนมาปลุกให้ตื่น เพื่อกลับสู่ความเป็นจริง
“ผมรู้ ผมจะดูแลเธอให้ดี”
“โสธร ชีวิตของคนเราแตกต่างกันก็จริง แต่ในทางความรู้สึกล้วนแล้วแต่เหมือนกันหมด บนโลกใบนี้ไม่มีใครยอมเสียอะไรไปโดยไม่มีสาเหตุหรอกนะ ก็เหมือนตอนที่นายแฝงตัวเข้าไปในถิ่นของศัตรูแล้วจงใจให้ตัวเองถูกตัดกำลังเพื่อช่วยนรมน ผู้หญิงคนนี้เองก็ยอมพุ่งเข้าหาความตายเพื่อนายไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดของบุริศร์ทำให้โสธรช็อก
ที่แท้เขาก็โป๊ะแตกตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วหรอกเหรอ
น่าเสียดายที่ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่สนสิ่งใดขนาดนั้น ถึงตอนที่รู้ตัวก็ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยพูดอย่างไรแล้ว
“ขอบคุณนะ ประธานบุริศร์”
“คนกันเองทั้งนั้น จะมาขอบคุณอะไรเล่า ถ้าจะให้พูดจริงๆ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย ขอบคุณที่นายห้ามไม่ให้นรมนมา และขอบคุณที่นายเสี่ยงอันตรายมาหาพวกฉัน”
“แต่ว่าพวกคุณไม่จำเป็นต้องให้พวกผมช่วยเหลือด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกผมวิ่งเข้ามาทำแผนของประธานเจตต์กับคุณพัง…..”
โสธรไม่ได้โง่ เขามองออกว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเอง เจตต์ก็สามารถทนจนถึงตอนที่บุริศร์มาถึงได้
เขาแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง
บุริศร์ตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ไม่หรอก นายทำดีมาก”
ทุกคนถูกพากลับมาที่ชายแดน
สงครามต่างแดนจบไปอย่างราบเรียบเพราะการเจรจาของบุริศร์และเจตต์
เมื่อข่าวนี้ถูกส่งต่อมาในประเทศ หัวใจที่แขวนอยู่ตลอดเวลาของธเนศพลก็วางลงในที่สุด
เขารู้ว่าเจ้าบุริศร์เก่งกล้าสามารถอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด!
น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่ในกองทหารแล้ว
เจตต์ด้วยอีกคน
ธเนศพลส่งข้อความไปหาเจตต์ หวังให้เจตต์กลับเข้ากองทหารเพื่อมาช่วยเขา แต่น่าเศร้าที่เจตต์ปฏิเสธ
อีกฝ่ายบอกว่าตอนนี้ทนมองภาพนองเลือดไม่ได้ ทั้งยังใจอ่อนง่าย คงไม่เหมาะกับการทำสงครามแล้ว
ใครจะไม่อยากอยู่กับลูกกับเมียบ้าง?
จะว่าไป เมียของเจตต์ก็ท้องแล้วนี่นา
ธเนศพลรู้สึกเสียดาย แต่ยังดีที่มีพกฤษ์อยู่อีกคน
ขณะเดียวกันตระกูลนนท์สัจทัศน์ก็ได้ทราบข่าวนี้เช่นเดียวกัน
สีหน้าของฟองน้ำย่ำแย่เป็นอย่างมาก เธอมองมาที่ผู้เป็นพ่อ แล้วเอ่ยพูดเสียงเบาว่า “พ่อ เราอุตส่าห์วางแผนมาตั้งนาน แต่สุดท้ายกลับถูกบุริศร์ทำแผนล่มไม่เป็นท่า ตอนนี้ทางผู้นำของประเทศWออกคำสั่งให้ตามจับตัวเราแล้ว เราต้องหนีไปจากที่นี่”
“หนี? สามสิบปีก่อนฉันเคยหนีจากประเทศZมาที่นี่ จนค่อยๆได้ทำหน้าที่เป็นมือซ้ายและมือขวาของผู้นำประเทศW ยังจำได้ไหม ว่าผู้นำคนนี้คือคนที่เราช่วยดันจนได้ขึ้นตำแหน่ง แต่ว่าตอนนี้กลับมาหักหลังเราเพียงเพราะบุริศร์คนเดียว แกคิดว่าถ้าเราหนีไปประเทศอื่น เราจะมีเวลาเป็นยี่สิบปีมาวางแผนและปั้นผู้นำคนใหม่อีกคนได้เหรอ?”
พายุเอ่ยอย่างเย็นชา และเจือปนไปด้วยแววเสียดสี
ฟองน้ำหันหน้ามามองพายุอย่างไม่อยากจะเชื่อ “พี่ ทำไมถึงเฉื่อยแบบนี้ล่ะ? ต่อให้เราไม่มีเวลาแล้ว แต่ก็ยังมีรุ่นต่อไปอีกไม่ใช่เหรอ? ตระกูลนนท์สัจทัศน์ต้องทำทุกอย่างตามที่คุณปู่ฝากฝังเอาไว้ให้สำเร็จ”
“ฝากฝัง? อะไรคือการฝากฝัง? การที่ให้ลูกหลานรุ่นหลังจากบ้านไกลเมืองไปอยู่ต่างแคว้นแดนไกลเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง เรียกว่าฝากฝังเหรอ? ถ้าใช่ ก็ไม่น่าทำตามเลยสักนิด”
สำหรับพายุแล้ว เขาเหนื่อยมากจริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะคำฝากฝังบ้าบอคอแตกอะไรนั่น เขาก็คงไม่ต้องแยกจากลูกสาวแท้ๆเป็นสิบยี่สิบปี และคงไม่ต้องห่างเหินกับลูกตัวเองอย่างนี้หรอก
เมื่อจรัลเห็นสองคนเถียงกัน ก็อดที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรตระกูลนนท์สัจทัศน์ปรองดองกันมาตลอด ต่อให้ต้องถึงขั้นออกคำสั่งก็ยังประณีประนอมให้กันได้ ทว่าในตอนนี้พายุกลับแสดงท่าทีหัวแข็งออกมาชัดเจน
สายตาของจรัลและฟองน้ำล้วนแล้วแต่ทอแววเยือกเย็นเหมือนกัน
“พายุ แกหมายความว่ายังไง? นี่แกคิดจะต่อต้านงั้นเหรอ?”
“ต่อต้าน?”
จู่ๆพายุก็หัวเราะออกมา
เขามองมาที่พ่อและน้องสาว แล้วชี้ขาทั้งสองข้างของตัวเองพร้อมพูดว่า “ขาสองข้างของผมพิการได้ยังไงพ่อยังจำได้ไหม?”
ความโศกเศร้าและเสียใจพาดผ่านดวงตาของจรัลเพียงชั่ววูบ
“ฉันจะให้คนพวกนั้นได้ชดใช้”
“แต่รู้ไหมทำไมพวกเขาถึงทำอย่างนี้กับพวกเรา? นั่นก็เพราะว่าเราทำเรื่องร้ายแรงต่อประเทศและประชาชนยังไงล่ะ พ่อ หลายปีที่ผ่านมาการที่ไม่มีสมจิตอยู่ข้างกาย ผมคิดอยู่ตลอดเลยว่าเป็นเพราะพระเจ้ากำลังลงโทษผมหรือเปล่า เราทำเรื่องผิดบาปมากเกินไป มากถึงขนาดที่พระเจ้าทนมองต่อไปไม่ได้ ถึงได้ทำกับเราอย่างนี้ไง ตอนนี้เรากลับตัวกลับใจยังทันนะ ทรัพย์สินเราก็ไม่ได้มีน้อยๆ เราเปลี่ยนชื่อแล้วไปใช้ชีวิตในประเทศเล็กๆก็ได้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องถึงเล่นถึงความตาย? คำฝากฝังของปู่มันก็แค่ความต้องการส่วนตัวของเขาเท่านั้น…..”
“คุณปู่ทำเพื่อชื่อเสียงของตระกูลเรา!”
ฟองน้ำพูดตัดบทพายุ
“พี่ เมื่อก่อนพี่ไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่ เพราะสมจิตมาพูดอะไรกับพี่ใช่ไหม? พี่ลืมคติอันยิ่งใหญ่ของคุณปู่ไปแล้วเหรอ? เขาหวังให้ตระกูลของเรากลายเป็นที่เคารพของผู้อื่น! แล้วเรา….”
“เรากำลังฝันลมๆแล้งๆยังไงล่ะ! เพื่อให้ตระกูลได้เหยียบขึ้นไปบนจุดสูงสุดของโลกเลยต้องแลกกับการที่คนอื่นสูญเสียเลือดเนื้องั้นเหรอ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ทำแบบนี้! ไม่ใช่คติอะไรทั้งนั้น!”
เป็นครั้งแรกที่พายุพูดจาไม่เข้าหูออกมาแบบนี้ จนทำให้จรัลโมโหขึ้นมาชั่วพริบตา
“ไอ้ลูกเวร! ฉันว่าตอนนี้สมองแกน่าจะกระทบกระเทือน! ใครก็ได้ มาจับพายุไปขังแล้วเฝ้าเอาไว้ ทุกอย่างที่เป็นของเขาให้ฟองน้ำดูแลแทนนับแต่นี้เป็นต้นไป”
หลังจากที่ประกาศกร้าว เสียงเรียบนิ่งก็ดังมาจากข้างนอก
“ไหนใครกล้าทำพ่อของฉัน?”
สมจิตเดินเข้ามาจากข้างนอก เธอมัดระเบิดไว้กับตัว สีหน้าไร้ความรู้สึกทำให้จรัลกับฟองน้ำต่างนิ่งอึ้ง