เมื่อสมจิตเห็นชัยยศแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าแปลกใจมากมายขนาดนั้น ดวงตาทั้งคู่ที่ว้าวุ่นนั้นในที่สุดก็สงบลงบ้างแล้ว
“ฉันเพียงแต่อยากจะอยู่เงียบๆคนเดียว”
“อึม ผมจะนั่งเป็นเพื่อนคุณอย่างเงียบๆ”
ชัยยศนั่งลงข้างกายเธอ มองดูกับข้าวที่ยังไม่เคยแตะต้องเลย จึงถามว่า “ไม่ถูกปากเหรอ? อยากกินอะไรล่ะ? ผมจะไปทำมาให้คุณ”
ทันใดนั้นสมจิตก็น้ำตาคลอเบ้า
น้ำเสียงของเธอแหบแห้งมาก พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ฉันอยากกินลูกชิ้นเปรี้ยวหวานที่แม่ฉันทำ อยากกินข้าวผัดไข่ที่แม่ทำ ฉันยังอยาก…….” พูดไปพูดมาน้ำตาของสมจิตก็ไหลนองเต็มหน้า
ในใจชัยยศก็รู้สึกเจ็บแป๊บขึ้นมา
เขาก็ดึงสมจิตเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แล้วพูดเสียงเบาว่า “คนตายไม่อาจฟื้นคืนมา คุณจะต้องทำใจให้ได้ ความจริงการจบอย่างนี้สำหรับพวกเขาแล้ว น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยที่สุด ถ้าต้องถูกจำคุกตลอดชีวิตแล้ว สูญเสียอิสรภาพตลอดไปละก็ คนที่รู้สึกดีก็คงมีแต่คุณเท่านั้น ส่วนคนอย่างพ่อแม่คุณเช่นนั้นจะใช้ชีวิตอยู่ในคุกตลอดชีวิตได้ยังไงกัน? ยังไงเสียก็ยังได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าคนหนึ่ง สมจิต คุณก็อย่าเห็นแก่ตัวเกินไปเลยนะ”
“ฉันรู้ว่าที่คุณพูดมาถูกต้องหมดทุกอย่าง แต่ว่าฉันยังทำใจไม่ได้ ยังปล่อยวางไม่ลง ถ้าฉันรู้มาก่อนว่าพวกเขาตัดสินใจเช่นนี้แล้วละก็ ฉันจะไม่ทำหมางเมินกับพวกเขาอย่างนั้นหรอก ความจริงแล้วหลังจากนั้นฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ ฉันกลัวว่าถ้าดีกับพวกเขามากเกินไป ถึงเวลาแล้วฉันก็จะตัดใจไม่ได้ แต่ฉันนึกไม่ถึงว่า…….”
สมจิตรู้สึกสำนึกผิดเสียใจจนแทบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
ชัยยศก็ตบหลังเธอเบาๆแล้วพูดว่า “ในโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลังขายหรอกนะ ดังนั้นคุณยังคิดจะเอาเรื่องที่ทำผิดพลาดไปแล้วมาเป็นต้นเหตุในการทรมานผม หลังจากนั้นก็เกิดเสียใจภายหลังอีกครั้งเหรอ?”
สมจิตรู้สึกอึ้งเล็กน้อย มองดูผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ตอนแรกก็ยังรู้สึกว่าเขายังเด็กและเป็นคนขี้ขลาด มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษของบุริศร์เลย ราวกับว่าเป็นตำแหน่งที่เสริมขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้สมจิตเพิ่งจะพบว่า ที่จริงแล้วลูกน้องของบุริศร์ยังไม่มีคนโง่เลยแม้แต่คนเดียว
“ฝีปากคุณร้ายกาจมากนะ”
สมจิตผลักออกจากอ้อมอกของเขา แล้วเช็ดน้ำตาให้แห้ง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าหลายวันที่ผ่านมานั้นเหมือนกับเป็นฝันร้าย
ใช่แล้ว
เธอถึงกับยังดื้อรั้นดันทุรังอยู่อีก ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของชัยยศละก็ เธออาจจะยัง หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดิมๆต่อไป
การตายของพ่อแม่เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของเธอมากที่สุด แต่ว่า ชีวิตที่เหลือของเธอยังอีกยาวไกล เรื่องที่เธอจะต้องทำก็ยังมีอีกมากมาย
เมื่อมองผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว สมจิตก็ถามด้วยเสียงเบาว่า “แล้วงานศพของแม่ฉัน……”
“ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วครับ โกฏิบรรจุอัฐิก็เก็บไว้ในศาลบรรพบุรุษแล้ว รอให้พวกเรากลับประเทศก่อนแล้วค่อยพากลับไปด้วยกัน อัฐิของพ่อและปู่คุณ รวมทั้งป้าของคุณรวมอยู่ด้วยกันจนแยกไม่ออกแล้ว ผมจึงให้พวกเขารวมอยู่ด้วยกัน หากคุณต้องการ ประเดี๋ยวก็ไปเอากลับมาได้ ผมยังได้สืบรู้มาว่าบ้านเกิดเดิมของตระกูลนนท์สัจทัศน์พวกคุณอยู่ที่ไหน ถ้าคุณต้องการ หลังจากที่พวกเรากลับประเทศไปแล้วก็จะเอาไปฝังไว้ที่บ้านเกิดของพวกเขา ผมได้ชื่อที่ดินไว้เรียบร้อยแล้ว กำลังก่อสร้างอยู่ รอให้พวกเรากลับไปถึงก็คงสร้างเสร็จแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินชัยยศได้จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรตกหล่นเลย ในใจของสมจิตก็รู้สึกซาบซึ้งมาก แต่ว่าปากก็พูดออกไปว่า “ใครให้คุณมายุ่งด้วยล่ะ?”
“ผมสมัครใจที่จะทำอย่างนั้นเอง อีกอย่างคุณเคยบอกว่ารอให้ภารกิจคราวนี้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจะแต่งงานกับผมไม่ใช่เหรอ? คุณสมจิต ผมอยากถามคุณสักคำว่า เมื่อไหร่คุณจะยอมแต่งงานกับผมสักทีครับ?”
สมจิตมองดูสายตาของชัยยศที่มีแต่ความจริงใจก็รู้สึกซาบซึ้งมาก
“คุณไม่รังเกียจที่ฉันเป็นทายาทของตระกูลนนท์สัจทัศน์เหรอ?”
“ผมแต่งงานกับคุณ ไม่ได้แต่งงานกับตระกูลนนท์สัจทัศน์ ผมจะไปสนใจเรื่องพวกนั้นทำไมล่ะ? อีกอย่างตอนที่ผมรู้จักคุณครั้งแรก คุณก็เป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดเท่านั้นนะ คุณสมจิตครับ”
เมื่อได้ยินชัยยศพูดเช่นนั้นแล้ว สมจิตก็หัวเราะออกมาทันที
“ฉันไม่เคยคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องแต่งงาน ในแผนการชีวิตของฉันไม่เคยวางแผนที่จะต้องแต่งงานมีลูกอย่างนี้เลย”
“ไม่เป็นไร แผนการสู้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วไม่ได้ พวกเราค่อยๆปรับเปลี่ยน ก็ยังทันอยู่นะ”
ตอนนี้ชัยยศก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปตามสถานการณ์
สมจิตพบว่าตั้งแต่ที่เขาเป็นประธานดูแลเขตพื้นที่บริษัทแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะควบคุมเขายากมากยิ่งขึ้นแล้ว
“ฉันมีสูตรยาที่ควบคุมสถานการณ์โรคระบาดได้ คุณนายให้ฉันมา เอาไปให้พวกเขาใช้เถอะ หลังจากกักตัวอีกสักพักก็กลับประเทศได้แล้ว ฉันอยากกลับบ้าน”
“ได้”
เมื่อชัยยศได้เห็นสมจิตหลุดพ้นจากความเศร้าแล้ว จึงรู้สึกโล่งอก
หญิงสาวคนนี้นับว่ายังไม่สิ้นหวังจนหมดสภาพ
ทางนี้ก็ได้วางแผนกันอย่างรอบคอบ ทางด้านบุริศร์ก็รีบนำหนังสือแผนการร่วมมือ ส่งกลับประเทศไปก่อนเป็นอันดับแรก ตัวเขาเองกลับมาถึงที่โรงพยาบาลสนามแทน
นรมนกำลังดูแลจัดการคนป่วยติดเชื้ออยู่ มองดูเงาร่างที่กำลังวุ่นวายของเธอแล้ว ดวงตาของบุริศร์ก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย
อยู่ต่างประเทศเขากลัวจริงๆว่าจะไม่ได้เห็นหน้านรมนและลูกๆอีกแล้ว
ที่แท้แล้วสิ่งที่คนเราเสาะแสวงหามาชั่วชีวิตนอกจากความเชื่อมั่นศรัทธาแล้ว ก็ยังมีสายใยความผูกพันทางสายเลือดอีกด้วย
เขาค่อยๆเดินมาข้างหลังนรมนอย่างช้าๆแล้วโอบกอดเธอจากข้างหลัง
ลมหายใจที่คุ้นเคยทำให้นรมนสะดุ้งเล็กน้อย ในใจเธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที ความห่วงใยและไม่สบายใจในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ก็หายสาบสูญไปจนหมดสิ้นแล้ว
“คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
“ครับ ลำบากคุณแล้วนะ”
บุริศร์วางคางของตัวเองลงบนไหล่ของนรมน รู้สึกพอใจและมั่นคงเป็นพิเศษ
ยังไงก็ต้องมีใครสักคน ที่ทำให้คุณไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะต้องคิดถึงด้วยความโหยหาและห่วงใยเสมอ
สูดดมกลิ่นจากเส้นผมของนรมนแล้ว บุริศร์ก็กระซิบเสียงเบาๆว่า “ผมคิดถึงคุณยังเลย”
“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ”
นรมนหันหน้ากลับมา มองดูบุริศร์ที่ผ่ายผอมไปเล็กน้อยในเวลาที่ผ่านมา ดวงตารู้สึก ร้อนผ่าวเล็กน้อย
“ฉันกลัวว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บจริงๆเลย บอกฉันหน่อยซิว่าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก แต่ว่าดูเหมือนเจตต์ได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลย ยังมีนิวราแล้วก็คนของโสธรด้วย”
ความจริงแล้วบุริศร์อยากจะคุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบกับภรรยาตัวเอง แต่ว่าตอนนี้มีคนมากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นสถานที่กักตัว ต่อให้เขาคิดอยากจะจู๋จี๋กับภรรยาขนาดไหนก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อเรื่องคุยเป็นอย่างอื่นจะดีกว่า
นรมนจูงมือบุริศร์เข้าไปในห้องส่วนตัว เพิ่งเปิดประตูเข้าไปได้บุริศร์ก็รีบกดตัวเธอไว้กับบานประตู จากนั้นก็จุมพิตเธออย่างเร่าร้อนและรุนแรงในทันทีทันใด
นรมนก็กอดคอของเขาไว้แน่นด้วยแขนทั้งสองข้างอย่างร้อนแรงเช่นกัน
ทั้งสองคนได้พบกันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พบกันมานานต่างก็กอดกันจุมพิตอย่างเร่าร้อน เสื้อผ้าก็ทยอยถูกถอดออกแล้วโยนเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้นห้อง สุดท้ายแล้วทั้งสองก็ล้มลงนอนอยู่บนเตียง ต่างก็แสดงความรักที่มีต่อกันอย่างสุดซึ้ง
หลังจากผ่านไปสักครู่ นรมนก็ได้นอนซบอยู่บนแผ่นอกที่แข็งแกร่งของบุริศร์ พูดด้วย ลมหายใจที่สั่นไหวว่า “ฉันรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าการที่เป็นภรรยาทหารไม่ใช่ง่ายเลย ถึงแม้ว่าฉันจะเลื่อมใสศรัทธาทหารก็จริง แต่ฉันก็รู้สึกดีใจที่คุณไม่ได้ไปอยู่ในค่ายทหาร ไม่งั้นแล้วฉันคงไม่สบายใจ ฉันยอมรับว่าฉันใจไม่กว้างพอ ฉันเพียงแต่อยากจะเฝ้ามองดูผู้ชายของฉันตลอดทั้งวันทั้งคืน และมีชีวิตที่ยืนยาวตลอดไป การแยกกันอยู่ครั้งสองครั้งก็ยังพอไหว ถ้าหากเป็นตลอดชีวิตฉันคงจะบ้าตายซะก่อน”
บุริศร์ลูบผมของเธอ สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“นอกจากผมแล้วก็ยังมีคนจำนวนมากมายต้องมุ่งไปยังสนามรบ ในขณะที่ประเทศชาติ ต้องการผม ผมก็ย่อมต้องยื่นมือเข้าช่วย แต่ว่าโดยปกติแล้วผมก็ยังชอบอยู่กับคุณและลูกๆพร้อมหน้าพร้อมตากันมากกว่า นรมน ในที่สุดตระกูลนนท์สัจทัศน์ก็ล่มสลายแล้ว ต่อจากนี้ไป คุณชายธเนศพลก็เริ่มจัดการกับไพร่พลทหารที่พ่ายแพ้พวกนั้น แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องไปสนใจแล้ว คุณน่าจะลองคิดวางแผนว่า พวกเราควรจะไป ท่องเที่ยวที่ไหนจะดีกว่านะ”
ท่องเที่ยวเหรอ?
นี่ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
นรมนยิ้มด้วยความสุขใจ กลับไม่ได้เห็นว่ามีเงาร่างที่ลับๆล่อๆเว็บผ่านนอกหน้าต่างไป