จู่ๆนรมนก็ประหม่าขึ้นมา
บุริศร์ไม่ได้เห็นท่าทีหวาดระแวงอย่างนี้ของนรมนนานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะปวดใจและละอายใจ
“ทำใจสบายๆ ที่นี่เป็นอาณาเขตภายใต้การควบคุมของคุณไม่ใช่เหรอ? คนของอาณาจักรรัตติกาลไม่ง่ายที่จะต่อกรด้วยนะ คนพวกนั้นโดนกำจัดออกไปแล้ว คนที่มาตอนนี้เป็นได้แค่คนของเราเองเท่านั้น”
ได้ยินบุริศร์พูดอย่างนี้ นรมนถึงได้ตอบสนองกลับมา
ตั้งแต่มาที่สนามรบต่างประเทศ เธอไม่เคยได้พักผ่อนอย่างสงบเลยสักวัน จนกว่าบุริศร์จะกลับมา แต่กลับเกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้นอีก ตอนนี้เธอไม่กล้าวางใจเลยสักนิด
เสียงเคาะประตูดังขึ้น นรมนจัดการอารมณ์ของตนเองเล็กน้อย พูดขึ้น: “เข้ามา”
อีกฝ่ายผลักประตูเข้ามา เป็นนางพยาบาลคนหนึ่ง
เธอมองนรมนกับบุริศร์ แล้วพูดขึ้น: “หัวหน้ากิมจิให้ดิฉันมาบอกนายหญิงกับประธานบุริศร์ค่ะ ว่าคนพวกนั้นออกไปจากโรงพยาบาลเขตสนามรบก็โดนรถคันหนึ่งพาตัวไป”
สายตาของนรมนหม่นหมองลงเล็กน้อย แต่บุริศร์กลับไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่
นี่เป็นสไตล์ของคุณท่านขวัญชัย
“ทราบแล้ว ไปเถอะ”
บุริศร์โบกๆมือ พยาบาลคนนั้นจึงถอยออกไป
นรมนครุ่นคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องถามออกมา: “พวกเขาจะโดนพาตัวไปที่ไหน?”
“ที่นี่เป็นเขตกักตัว คนที่โดนกักตัวแล้วปล่อยออกไปโดยปกติจะถูกเฝ้าติดตาม แต่ภารกิจของพวกเขาดันเป็นเรื่องแย่ๆ ตอนนี้คงรู้แล้วว่าไม่สำเร็จ ทางฝั่งคุณท่านขวัญชัยพวกนี้ก็คือคนที่ถูกทิ้ง แล้วผลลัพธ์ของคนที่ถูกทิ้งคืออะไรล่ะ? แน่นอนว่าคือการทำลาย ถ้าผมเดาไม่ผิด ไม่นานหลังจากนี้คงจะมีข่าวที่พวกเขาติดเชื้อจนทำให้เสียชีวิตแพร่ออกมา”
บุริศร์กลับพูดอย่างสงบนิ่ง
สร้างความลำบากให้นรมนในช่วงที่เขาหมดสติ เขายังไม่ทันได้ลงมือเลย แต่มีจุดจบอย่างนี้ก็ถือว่ารับผลจากการกระทำของตัวเองไปนะ
ยังคิดว่าเบื้องบนจะจัดการพาพวกเขาเข้าไปจริงๆงั้นเหรอ?
เพ้อเจ้อ!
เริ่มแรกเขามีความกดดันที่ทับอยู่บนหัวมากมายถึงได้ประคองอาณาจักรรัตติกาลเอาไว้ แค่คิดไม่ถึงว่าบางคนจะซื่อสัตย์จริงใจจนรนหาที่ตาย
“คุณวางแผนจะทำยังไงกับอาณาจักรรัตติกาล?”
“ยุบน่ะสิ! คุณดูๆหน่อยว่ายังมีที่ไหนรับสมัครพนักงานอีก ก็ดึงตัวพวกเขาเข้าไปเถอะ”
หัวใจของนรมนเย็นยะเยือกจนถึงที่สุดแล้ว
บุริศร์เห็นท่าทางนี้ของเธอก็รู้แล้วว่านรมนทนไม่ไหว
จริงๆแค่มีกานต์อยู่ ไม่ว่าธเนศพลจะได้นั่งหรือไม่ได้นั่งตำแหน่งนั้น พวกเขาสองสามีภรรยาก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งที่สุดของธเนศพล
น่าเสียดายที่คุณท่านขวัญชัยไม่ชัดเจนในจุดนี้ กลับทำเรื่องจนเสียหายไปหมด ทำให้พวกเขาค่อนข้างเจ็บปวด
สำหรับภรรยา บุริศร์เอาอกเอาใจเธอมาโดยตลอด ในเมื่อเธอไม่มีกะใจจะอยู่ที่ประเทศZแล้ว เขาก็จะไม่บังคับ ชีวิตในวันข้างหน้าคงสบายใจไม่น้อยเลย
“กลับไปคราวนี้คุณอยากจะไปเที่ยวที่ไหนไหม?”
“ฉันแค่อยากนอนให้เต็มที่สามวันสามคืน เหนื่อยสุดๆเลย”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์เจ็บปวด
“งั้นตอนนี้คุณไปนอนเถอะ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาผมก็จะจับตาดูเอาไว้”
“อื้ม”
นรมนทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากแน่ใจว่าบุริศร์ไม่เป็นอะไรก็ขึ้นไปบนเตียงนอน
เธอหลับสนิทมาก รอยคล้ำที่ดวงตายิ่งทำให้บุริศร์ปวดใจ
เป็นอย่างที่บุริศร์คิดเอาไว้เลย ในวันที่สองที่คนพวกนั้นโดนพาตัวไปก็ติดเชื้อโรคช่วยชีวิตไม่ทันตายไปแล้ว
สำหรับผลลัพธ์อย่างนี้ นรมนแค่ฟังๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร บางครั้งความรู้สึกของคนเราไม่ใช่จะเย็นชาได้ในทันที บางเรื่องก็ไม่ใช่ว่าจะตัดสินใจออกมาได้ในทันทีเช่นกัน
หลังจากที่ความรู้สึกเย็นชาไปแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นจึงเบาบาง ทำให้เจ็บปวดน้อยลงไปโดยปริยาย
กิมจิกลับค่อนข้างเสียใจ แต่ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร
ธเนศพลโทรไปหาบุริศร์ในวันที่ห้า
บุริศร์ไม่ได้รับสายในทันทีเหมือนเมื่อก่อน หลังจากธเนศพลโทรมาอีกสามสี่รอบถึงได้กดรับ
“มีธุระเหรอ?”
บอกไม่ได้ว่าสนิทสนม แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเย็นชา ทว่าธเนศพลก็ฟังออกถึงความรู้สึกห่างเหินของบุริศร์
“บุริศร์ ไม่ใช่ความคิดของฉันนะ ไม่ใช่จริงๆ! ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้เรื่องเลย นายรู้จักฉันดี ถ้าเป็นฉันคงไม่ทำอย่างนี้แน่ๆ”
“ฉันรู้แล้ว”
สามคำที่เมินเฉยนี้ของบุริศร์กลับทำให้ธเนศพลไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง
เขาให้ความสำคัญกับมิตรภาพของบุริศร์มาโดยตลอด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพราะพ่อของตนเองครั้งนี้จึงมองหน้าบุริศร์ไม่ติดแล้ว
“บุริศร์ นายบอกมาได้เลยว่าทำยังไงนายถึงจะหายโกรธ? แค่นายพูดออกมา ฉันจะทำให้แน่นอน”
คุณชายธเนศพลที่น่าเกรงขามไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้กับใครทั้งนั้น แต่สำหรับเขาแล้วบุริศร์คู่ควร
แต่บุริศร์กลับพูดนิ่งๆ: “ไม่จำเป็นหรอก อีกอย่างนายก็ไม่ได้เป็นคนทำด้วย นายจะมาอวดความสามารถอะไรล่ะ”
“บุริศร์!”
“เอาเถอะ ฉันยังไม่พ้นช่วงกักตัว หลังจากพ้นแล้วกลับไปค่อยว่ากัน”
พูดจบบุริศร์ก็ไม่สนใจว่าธเนศพลยังอยากพูดอะไรอีก ตัดสายไปทันที
ธเนศพลแค่ได้ยินเสียงสายไม่ว่างที่ด้านนี้ก็ไม่นึกเลยว่าจะลนลานขึ้นมา
“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ธเนศพลโมโหถีบม้านั่งที่อยู่ต่อหน้า แล้วเข้าไปในห้องหนังสือของคุณท่านขวัญชัยทันที
แม้แต่ประตูเขาก็ไม่เคาะ เตะประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไป
“พ่ออยากจะให้ผมเป็นเหมือนพ่อใช่ไหม ให้ผมกลายเป็นคนโดดเดี่ยวถึงจะพอใจสินะ? พ่อรู้อยู่ชัดๆว่าบุริศร์สำคัญกับผมมากขนาดไหน พ่อทำอย่างนี้กับภรรยาของเขา พ่อไม่ชอบที่เขาไม่แตกคอกับผมงั้นเหรอ?”
มือที่กำลังคัดตัวอักษรของคุณท่านขวัญชัยชะงักเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ: “ไอ้นิสัยอย่างนี้เมื่อไหร่จะสงบลงได้? อีกอย่างนะ แกไม่มีมารยาทเลยหรือไง? เข้าห้องถึงไม่รู้จักเคาะประตูน่ะ?”
“เคาะประตู? พ่อคิดว่าตอนนี้ผมยังมีอารมณ์มาเคาะประตูงั้นเหรอ? พ่อ พ่อไม่ได้อยากให้ผมนั่งในตำแหน่งนี้เหรอ? ตอนนี้คืออะไรล่ะ? พ่อกำลังขัดขวางผมหรือกำลังฝีกฝนผมกันแน่? จำเป็นต้องลงมือกับอาณาจักรรัตติกาลด้วยหรือไง? แค่องค์กรเอกชนองค์กรหนึ่ง พ่อก็กลัวงั้นเหรอ?”
ธเนศพลแทบจะไม่เข้าใจความคิดของคุณท่านขวัญชัยเลย
หลายปีนี้พฤติกรรมของเขาสุดโต่งขึ้นเรื่อยๆแล้ว
มือของคุณท่านขวัญชัยสั่นเล็กน้อย ตัวอักษรใต้มือสูญเสียรูปทรงที่ตนเองต้องการไปแล้ว
เขาจึงขยำตัวอักษร โยนทิ้งไปในถังขยะด้านข้างทันที นี่ถึงได้มองธเนศพลอย่างดุดันพูดขึ้น: “ถึงอาณาจักรรัตติกาลจะเป็นองค์กรเอกชน แต่ที่สนามรบต่างประเทศครั้งนี้กลับมีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะทหารที่บาดเจ็บเหล่านั้น เอาแต่พูดถึงอาณาจักรรัตติกาลไม่ได้หยุด”
“นั่นก็เป็นผลที่บุริศร์กับนรมนทุ่มเทออกไปถึงได้แลกกลับมา! เผชิญหน้ากับศัตรู วิธีการของพวกเขาสองสามีภรรยาไม่มีข้อบกพร่องเลยสักนิด พ่อกำลังทำอะไร? กลัวว่าชื่อเสียงของเขาจะส่งผลกระทบงั้นเหรอ? ไม่นึกว่าจะใช้วิธีนี้บีบให้พวกเขายอมอยู่ใต้อำนาจ พวกเขาจำเป็นต้องอยู่ใต้อำนาจใช่ไหม?”
“ถ้าไม่จำเป็นทำไมบุริศร์ถึงย้ายทรัพย์สินไปที่ต่างประเทศ? อยู่ในประเทศก็สบายดีไม่ใช่เหรอ? สี่คุณชายแห่งเมืองชลธีก็ทำได้ดี ไปอยู่ต่างประเทศทำไม? แกเคยคิดหรือเปล่า ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลโตเล็กถ้าไปสนับสนุนประเทศFแล้วก่อตั้งขึ้นใหม่อีกครั้ง ไม่นานหรอก ประเทศFก็จะพัฒนากลายเป็นประเทศที่แข็งแกร่ง ถ้าเวลานั้นราเชนคิดไม่ซื่อกับพวกเรา แกคิดว่าบุริศร์จะช่วยใคร? แกเหรอ? แกมันแค่เพื่อนต่างเพศจะเทียบกับภรรยาและพี่ชายของภรรยาเขาได้ไหมล่ะ? ธเนศพล แกมันอ่อนหัดเกินไป!”
บางทีคุณท่านขวัญชัยอาจจะตื่นเต้นเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะอย่างอื่น เมื่อเขาพูดจบจู่ๆก็ไอออกมาอย่างรุนแรง แล้วก็กระอักเลือดออกมาทันที สาดกระจายอยู่บนโต๊ะเสียดแทงเข้าไปในสายตา ทำให้ธเนศพลตกอกตกใจ
“พ่อ เป็นอะไรไป?”