กำลังมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ว่างเปล่า สมองของกานต์ก็ว่างเปล่าเช่นกัน
ตอนที่รอให้เขารู้สึกได้ว่าตนเองทำอะไรลงไป ทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว
ไม่ใช่ว่าตามหาสิ่งที่โดนลบทิ้งไปกลับมาไม่ได้ เพียงแต่วินาทีนี้กานต์กลับปิดคอมพิวเตอร์ลงมาทันที แววตาประกายความแน่วแน่ออกมาเล็กน้อย
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว กานต์ก็ลุกขึ้นออกไปจากห้องน้ำ เขาพบว่าไอราไม่อยู่แล้ว จู่ๆในใจก็ว่างเปล่า
เขานั่งลงไปบนเตียงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
หลังจากที่หูไม่ได้ยิน สิ่งที่เขาทำบ่อยที่สุดก็คือการเหม่อลอย ปลดปล่อยทุกความรู้สึกของตนเอง แล้วเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น
ตอนที่นรมนกับบุริศร์กลับมา กานต์ก็หลับไปแล้ว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้แต่ในความฝันก็เหมือนมีเรื่องที่คิดไม่ตก เวลานี้ทำให้นรมนสงสารสุดหัวใจ
เธอเดินเข้าไป ดึงผ้าห่มบางๆขึ้นมาคลุมลูกชายเบาๆ
เมื่อก่อนกานต์เป็นคนที่ระมัดระวังตัวดีมาก เสียงฝีเท้าเพียงเล็กน้อยก็จะตื่นขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้กลับเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย กำลังหลับอย่างสงบ
นรมนพูดไม่ออกว่าตอนนี้ในใจรู้สึกอะไร เธอกำลังมองลูกชายด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา
บุริศร์ปวดใจ แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจยังไง
ผ่านไปสักพัก นรมนถึงได้วางของกินไว้บนโต๊ะข้างๆ แล้วลุกขึ้นออกไปจากห้องคนไข้
บุริศร์ตามออกไป ก็ได้ยินนรมนพูดขึ้น: “ฉันจะโทรหาพี่ฉัน ให้เขากลับมาดูกานต์หน่อย ฉันไม่เชื่อว่าหูของกานต์จะไม่ได้ยิน เขาอายุยังน้อยขนาดนั้น เขา……”
“ที่รัก หูของกานต์สูญเสียการได้ยินแค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมวานคนไปถามมาแล้ว ตอนที่เขาทำภารกิจโดนลูกระเบิดระเบิดขึ้นที่ข้างหู ทำให้หูสูญเสียการได้ยินชั่วคราว คุณวางใจเถอะ หูของเขาต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่างมากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ก็จะฟื้นฟูกลับมา”
บุริศร์รีบอธิบาย
“งั้นถ้าไม่ใช่ชั่วคราวล่ะ? ล่าช้าไปหนึ่งสัปดาห์ก็จะสูญเสียช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรักษาไปแล้ว”
ตอนนี้ในหัวของนรมนมีแต่เรื่องหูของลูกชาย
บุริศร์ลูบๆจมูกไม่พูดไม่จาแล้ว
นรมนเห็นบุริศร์ไม่พูด จึงค่อนข้างกลัดกลุ้มขึ้นมาทันที
“คุณไม่เห็นด้วยกับความคิดของฉันเหรอ?”
“ไม่ใช่ ที่รักพูดถูกทั้งนั้นเลย เดี๋ยวผมจะโทรหาพี่ชายคุณ แต่ว่าช่วงนี้หงส์เพิ่งคลอดลูกคนที่สองได้ไม่นาน คุณแน่ใจใช่ไหมว่าจะโทรหาพี่ชายคุณ?”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนชะงักทันที
ใช่สิ
สิบปีก่อนหงส์ได้รับการรักษาภาวะมีบุตรยากจากจณัตว์จนหายดี ให้กำเนิดลูกชายจ้ำม่ำคนหนึ่ง แต่เนื่องจากการที่หงส์คลอดลูกเสี่ยงอันตรายจนเกินไป ทำให้เสียเลือดมาก จณัตว์จึงตกใจแทบแย่ ดังนั้นเป็นตายยังไงเขาก็ไม่ยอมให้หงส์ท้องอีกแล้ว
ใครจะคิดว่าสิบปีให้หลังหงส์จะท้องอีกครั้ง ตอนที่รู้ก็เกือบจะสี่เดือนแล้ว สองสามีภรรยาทำได้เพียงเก็บเด็กคนนี้ไว้ ไม่นานนี้หงส์เพิ่งจะคลอดเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้นับๆดูแล้วยังไม่ครบเดือนเลย
เวลานี้ถ้าดึงตัวจณัตว์มาแน่นอนว่าไม่ค่อยมีมนุษยธรรมจริงๆ
นรมนพูดอย่างว่างเปล่า: “โทรหากิจจา ตอนนี้น้องเขาเป็นอย่างนี้แล้ว เขากลับมาดูคงไม่เกินไปใช่ไหม?”
“กิจจากำลังเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศ ไปเป็นตัวแทนของประเทศ ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงโทรไปหรอก คาดว่าคุณส่งโทรเลขไปก็คงไม่ได้รับ”
บุริศร์ก็ร้อนรนเรื่องหูของกานต์ แต่เขาค่อนข้างมีสติมากกว่า
หลายปีนี้เรื่องของลูกๆกลับทำให้นรมนอ่อนไหวง่าย
แต่บุริศร์ไม่กล้าพูด ถ้าภรรยาโกรธขึ้นมาจะทำยังไง? ทำได้แค่ตามน้ำไปเรื่อยๆ
นรมนแค่ได้ฟังข่าวคราวของทั้งสองคนก็ทำให้เธออึดอัดใจ กำลังคิดว่าจะให้ปวีรามาดู ก็เห็น ปวีราพาคนที่สวมเครื่องแบบทหารหลายๆคนเดินมาที่ด้านนี้
“คุณป้านรมน คุณลุงบุริศร์ สวัสดีค่ะ”
หลายปีก่อนปวีราได้รับการผ่าตัดจากจณัตว์ ตอนนี้พอที่จะพูดจาได้เหมือนคนปกติแล้ว เธอรับช่วงต่อสิ่งที่สืบทอดมาจากป้องกับโพนี่ สอบเข้าวิทยาลัยแพทย์ทหารได้ ตอนนี้จบการศึกษาแล้วรับผิดชอบหน้าที่หมออยู่ในโรงพยาบาลทหาร
เห็นปวีราเข้ามา นรมนกลับดีใจอยู่บ้าง จับมือปวีราพูดขึ้น: “ปวีรา หูของกานต์……”
“คุณป้านรมน วางใจเถอะค่ะ หูของกานต์จะไม่เป็นไรแน่นอน ฉันตรวจเขาอย่างละเอียดแล้ว แค่เป็นเพราะได้รับเสียงดังสะเทือนอย่างฉับพลันจึงทำให้เกิดอาการหูดับชั่วคราว คาดว่าบ่ายพรุ่งนี้ก็จะค่อยๆฟื้นตัวกลับมาค่ะ”
ปวีรายิ้มบางๆพูดขึ้น
เธออ่อนโยน เหมือนกับพี่สาวคนโต
ได้ยินปวีราพูดอย่างนี้ ในที่สุดนรมนก็คลายกังวลลงได้
“ตั้งแต่เด็กเธอกับกานต์ก็ดีต่อกันมาโดยตลอด เรื่องนี้ฝากเธอดูแลกานต์หน่อยนะ”
“สบายใจเถอะค่ะ คุณป้านรมน ฉันทำได้อยู่แล้วค่ะ!”
ปวีราตบหลังมือของนรมน แล้วดึงมือของตนเองออกมาจากมือของนรมน พาคนพวกนั้นเข้าไปในห้องของกานต์ตามกฎระเบียบ
นรมนขมวดคิ้วเล็กน้อย ลึกๆในใจค่อนข้างกระวนกระวายอยู่ลางๆ กำลังคิดว่าจะเดินตามเข้าไป แต่กลับโดนบุริศร์ห้ามเอาไว้
“คุณทำอะไรน่ะ?”
นรมนถลึงตาใส่เขา
บุริศร์พูดขึ้นเบาๆ: “นี่เป็นขั้นตอนตามปกติ คนของสำนักงานทหารต้องเข้ามาทำการบันทึก คุณกับผมเข้าไปมันไม่เหมาะสม”
“นั่นลูกชายของฉันนะ!”
ถึงนรมนจะพูดอย่างนี้ แต่ก็ยังหยุดฝีเท้าลง ถึงกับโดนบุริศร์พาออกไปให้ห่างจากห้องคนไข้ระยะหนึ่ง
ปวีราพาคนพวกนั้นเดินเข้ามา กานต์ก็ตื่นอยู่ตั้งนานแล้ว
จริงๆตอนที่นรมนออกไปจากห้องเขาก็ตื่นแล้ว แค่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับนรมนบ้าง จึงถือโอกาสแกล้งหลับซะเลย
ตอนนี้เห็นคนของสำนักงานทหาร กานต์กลับค่อนข้างสงบนิ่ง
แววตาของปวีราแสดงความปวดใจออกมาเล็กน้อย เดินเข้าไปตรวจเขา แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน: “ไม่ต้องเครียดเกินไปนะ แค่งานที่ทำตามปกติเท่านั้น”
เธอกำลังพูดกับกานต์ช้าๆทีละคำทีละคำ เธอรู้ว่ากานต์เข้าใจ
กานต์ยิ้มเล็กน้อย พูดสบายๆ: “พี่ปวีรา พี่ออกไปก่อนเถอะ ผมไม่เป็นไร”
“พี่อยู่เป็นเพื่อนนายดีกว่า”
ปวีราบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร เอาแต่รู้สึกว่าหลังจากที่กานต์ได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ก็ผิดปกติอยู่นิดหน่อย
กานต์กลับไม่ได้พูดอะไรอีก แต่มองคนของสำนักงานทหารที่เข้ามา เอ่ยปากพูดขึ้นเรียบๆ
“เป็นความรับผิดชอบของฉันทั้งหมด ตอนที่ยิงปืนฉันใจลอย ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่อารมณ์และการเคลื่อนไหวของโจรลักพาตัว ตอนนั้นฉันแค่คิดจะขู่ให้โจรตกใจ ให้เขายอมจำนน แต่คิดไม่ถึงว่าขึ้นลำปืนเอาไว้แล้ว กระสุนจึงพุ่งออกไปทันที”
แค่กานต์พูดออกไป ปวีราก็เงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ รีบร้อนพูดขึ้น: “นายพูดเหลวไหลอะไร? กานต์ เวลานี้ทำตามใจตัวเองไม่ได้นะ! นายต้องรู้ด้วย ตอนนี้ทุกประโยคที่นายพูดจะเป็นตัวตัดสินอาชีพทหารของนายในวันหน้า”
“ผมพูดความจริง มันเป็นความผิดของผมทั้งหมด เป็นความรับผิดชอบของผม เป็นผมที่ไม่คำนวณทิศทางลมให้ดี ไม่หาช่วงเวลาที่แม่นยำในการยิงปืนล่วงหน้า ผมยอมรับในสิ่งที่ผมทำ!”
แววตาของกานต์เป็นประกายและแน่วแน่มาก
ปวีราอยากจะอุดปากของกานต์เอาไว้ แต่ไม่ทันแล้ว
คนของสำนักงานทหารมองหน้ากันไปมา ต่างก็รู้ว่ากานต์เป็นเสาหลักของกองทัพ เดิมทีคิดว่ามีความลับในใจอะไร แต่ตอนนี้เขายอมรับออกมาเองว่าตนเองรีบร้อนจึงก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรง แล้วพวกเขาจะเขียนยังไงดีล่ะ?